
บทความนี้ แชร์จากประสบการณ์ส่วนตัว ไม่มีอะไรเป็นทางการ อาจเขียนเกี่ยวกับความเชื่อเล็กน้อย เนื่องจากส่วนตัวเป็นคริสเตียน และเขียนเพื่อไว้อาลัยเพื่อนร่วมทีม
แด่ พี่ใหม่ พี่ชายที่แสนดี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25/01/2019
เริ่มจากเดือน Jan 2018 เลยละกัน ...
อ้าว แล้วทำไมเพิ่งมาเขียน ผ่านไปแล้วตั้ง 1 ปี ก็เพราะว่าว่างอยู่ไงละ 55+ แล้วมันก็เป็นความทรงจำที่ดี บทเรียนชีวิตที่ดีที่ไว้สอนและเตือนตัวเอง ไม่อยากให้ลืมไปมั้ง
เราเองก็เป็นพนักงานบริษัทคนหนึ่งเหมือนคนทั่วๆไปที่มีฝัน จบสถาปัตย์จาก ตจว. ทำที่บริษัทคอนซัลแห่งหนึ่ง เมื่อปลายปี 2017 บอกกับพระเจ้าว่า อยากไปทำงานที่ต่างประเทศจัง เที่ยวมาก็เยอะแล้ว ถ้าได้ไปทำงานคงจะได้เรียนรู้อะไรที่มากขึ้น คืนนั้นเราอธิฐานบนรถไฟในวันที่คนอื่นเคาท์ดาว ขอดราม่าหน่อย อยู่บนรถไฟกับเจ้าหนูแกสบี้ตัวน้อย เมื่อไรนะจะได้อยู่กับหนุ่มในฝันสักที 555+ อ่ะต่อ ... นั่งรถนอนชั้น 2 จากต่างจังหวัดกลับมากรุงเทพเพื่อพักผ่อนต่ออีกสักหน่อยก่อนจะเริ่มงานต้นปี พักเหนื่อยจากการจบโปรเจคโรงแรมในกรุงเทพ แล้วก็ฉลองเสร็จสับเรียบร้อย
ตัดต่อมาเลยละกันว่า ได้ไปมัลดีฟส์ได้ยังไง บริษัทโอนเนอร์เสนอให้บริษัทเราทำงานต่อเนื่องจากประทับใจผลงานที่เราทำโรงแรมให้เขาที่กรุงเทพ แต่อ่านะ งานหินมาก เพราะทีมเราไม่เคยมีใครทำงานที่มัลดีฟส์มาก่อน พอดีว่ามีอีกทีม ที่ PD เคยทำเป็นฝ่ายโอนเนอร์ หลังจากนั้น เขาเลยว่าจ้างต่อเสร็จสับ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเราจะได้ทำหรอกนะ เพราะเจ้าของบริษัท เปิดรับอาสาสมัครทุกคนที่อยากทำโปรเจคนี้ เราก็สมัครไป แต่คิดว่า เขาคงจะเลือกคนที่จบนอก เก่งไฟแรง ก็มีเยอะไป เราก็เลยบอกพระเจ้าว่า ถ้าพระเจ้าจะให้ไป ลูกก็จะไป แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สุดท้าย พระเจ้าก็เลือกเรา อิอิ ขอบคุณพระเจ้า
นี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้ไปทำงานที่ ตปท ครั้งแรกเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่เมกา ซึ่งเลือนลางไปมากละ
มัลดีฟส์นี้เราสามารถไปในฐานะนักท่องเที่ยวและอยู่ได้ถึง 30 วันโดยที่ไม่ต้องทำวีซ่า ใช้เวลาบิน 4 ชม.จากกรุงเทพถึงมาเลเมืองหลวงของมัลดีฟส์ และนั่ง Seaplane ต่ออีก 25 นาที Seaplane จอดกลางทะเลซึ่งจะมีท่าเล็กๆลอยอยู่ แล้วเรือของโรงแรมก็จะมารับเราไปที่เกาะอีกที
จนถึงเกาะร้างห่างรักของเรา 555+
สนามบินที่เราต้องไปต่อเครื่องขึ้น seaplane ดีที่โรงแรมได้ดีลกับ tma ให้เราเป็นแขก VIP เราจึงได้นั่งในเลานจ์ของ tma มีอาหารของหวานกาแฟ wifi นั่งชิวรอขึ้นเครื่อง

นี่คือหน้าตาของคนเขียน ถ้าใครรู้จักก็ไม่ต้องแซว ถ้าใครไม่รู้จักก็ สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก 555+

หน้าตา Seaplane ของ tma ครั้งแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบินน้ำ ลำเล็กขนาดนี้ ตื่นเต้นอย่างแรง เรื่องงงเรื่องงานไม่ได้คิดงะ ลืมหมดละ
นึกว่าไปเที่ยวอยู่ตอนนั้น 555+

ความฝันอีกอย่างของเราคือ อยากเป็นกัปตัน พอเห็นว่าไม่มีประตูกั้นระหว่างห้องนักบินเท่านั้นหล่ะ อีจันพุ่งไปนั่งหลังนักบินเลยจ้า 55+
สัญญากับตัวเองว่าจะเก็บตังไปเรียนขับเครื่องบินให้ได้ ฝันต่อไปวัยรุ่น

เมื่อเครื่องบนลอยขึ้นฟ้า ภาพเบลอหน่อยเพราะความรักมันบังตา ไม่ใช่!! เพราะมือถือใกล้หมดอายุละ เล่นเอง ชงเอง 555++

นี่ไม่ใช่ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 นะคะ ขออภัยด้วย ที่ภาพเบลอ แต่อยากเอาความจริงไม่นิยายมาบันทึก 555+
และเจ้าเรือลำนี้เป็นเรือของโรงแรมที่มารับเรา นั่งจากท่าไปถึงเกาะประมาณ 15-20 นาที แล้วแต่กัปตันจะเอาเราไปทิ้งท่าไหน ทิ้งท่าใกล้เกาะก็เร็วหน่อย
งานของเรารอบนี้คือไป survey เกาะ หรือสำรวจเกาะ และสำรวจโรงแรมเก่า เพราะเราต้องไปรีโนเวทโรงแรมนั่นเอง เฮื้อๆๆๆ

ออกจากกรุงเทพเช้า ถึงเกาะก็เย็นละ ดูเหมือนไม่ไกล แต่เดินทางหลายต่อ กินเวลาชมวิวไปเกือบทั้งวัน
พอถึงเกาะ ก็เข้าที่พักหรือโรงแรมเก่าที่ยังไม่รีโนเวท ที่โอนเนอร์ของเราได้เทคโอเวอร์มาทำต่อ

ทีมงานที่เดินร่วมทางวันนี้ก็มี ทีมดีไซด์เนอร์ ทีมโอนเนอร์ ทีมคอนซัล ทีม landscape หรือจัดสวน ส่วนทีมผู้รับเหมาเดินทางไปเจอกันที่เกาะ
ผู้ชายหมด ยกเว้นข้าพเจ้า ผญ คนเดียว ผญ 100% ไม่ใช่ทอมหรืออย่างอื่นแต่อย่างใด คริคริ

น้ำใสจนกระทั่งมองลงไปเห็นทุกสิ่งที่เคลื่อนไหว สวัสดีเจ้ากะเบนน้อย มาต้อนรับถึงที่ นี่เป็นที่แรกที่เราทำงานท่ามกลางธรรมชาติดิบๆขนาดนี้
ขอสารภาพว่า คืนแรกที่นอนที่นี่ ร้องไห้ เพราะคิดถึงปั้ปปี้ เจ้าหนูแกสบี้ ที่ทิ้งไว้ที่คอนโด โดยมีเพื่อนคอยช่วยดูแล เราก็วีดีโอคอลไปเลย คิดถึงหนักมาก
ไม่เข้าใจตัวเองว่า ครั้งที่แล้วที่ไปทำงานที่เมกา เมื่อนานมาแล้ว คืนแรกก็ร้องไห้เหมือนกัน แต่คืนแรกของการไปเที่ยวทริปอื่นๆไม่เห็นเป็น ไม่เข้าใจ
คนอื่นเป็นมั้ยเนี้ย

คอนเสป ออฟฟิตเรา ชุดเที่ยว ชุดทำงาน ชุดเดียวกัน แอบถ่ายเล่นตอนเจ้านายเผลอ 555+

ต่อไปก็คืองานสำรวจใต้น้ำ แน่นอนเราต้องทำการรีโนเวท คงต้องดูว่า เขาวางฐานรากกันยังไง ถ้าเป็นที่ไทย เราจะต้องตอกเสาเข็มแล้วก็ทำ Foundation ฐานรากนะ ไม่ใช่รองพื้น แต่ที่นี่ เขาทำแบบฐานแผ่ แล้วก็วางเสา และวางฐานรากบนทราบเลย เพราะ ทรายที่นี่ แน่นและละเอียดมาก ขาวละอาด อย่างกะแป้งพับเลยละ

เราก็เป็นคนหนึ่งที่ดำลงไปใต้น้ำ ถ้าสังเกตุให้ดี มองจากบนน้ำ ทะเลจะมีสีฟ้าอ่อนและสีน้ำเงินเข้มเลย มองไปใต้น้ำ นั่นคือเหว ครั้งนี้ เรากลัวมาก เลยยังไม่ลงน้ำลึก ว่ายสำรวจบริเวณน้ำสีฟ้าอ่อน เพราะเขาบอกว่า ในส่วนน้ำลึก มันลึกถึง 40 เมตร มันไม่ใช่ค่อยๆลาดไปเหมือนทะเลที่ไทยนะ มันหักลงเป็นเหวไปเลย โอเค งั้นไว้รอบหน้าละกัน
ก่อนหน้าที่เราจะไปทำงานที่นี่ เราเพิ่งไปเที่ยวที่สเปนและต่อด้วยเวียดนามอยู่เกือบเดือน (เสียตัง สนุก พักผ่อน พจญภัย ได้ประสบการณ์)
ขอบอกเลยว่า การไปทำงานต่างประเทศ กับ การไปเที่ยวต่างประเทศ คนละฟิวกันเลย คือ (ได้ตัง สนุก กดดัน เครียด เจอปัญหา เหนื่อย ... etc)
1. เราต้องแบกความรับผิดชอบ หน้าที่ ความกดดันไปด้วย
2. กลับมาต้องรีพอร์ท ดำเนินงานต่อ ประชุม คิด วางแผน ภาษา จุดอ่อนของข้าพเจ้าคือ ฟังแขกพูดภาษาอังกฤษไม่ออก ความเครียดก็มา
3. ความคาดหวังจากคนอื่นก็มา ส่งไปไกลขนาดนั้น ทำอะไรได้บ้างอ่ะเรา 555+
4. ทำงานมากกว่าอยู่ที่ไทย เนื่องจากเวลาเหลือบกัน 2 ชม. ทำที่มัลดีฟส์ 8 ชม + เมื่อออฟฟิตที่ไทยเราเริ่มงาน เราก็ต้องเริ่มไปด้วย = 10 ชม./วัน
โหดดดดดด.....
อาจจะไม่ได้แชร์ความรู้ด้านสายงานมากนัก อยากรู้อะไรในสายงานหลังไมค์ได้นะคะ หรือจะติดตามอ่านของเดือน Feb อิอิ
ของเดือน Feb ภาพไม่เบลอแล้วนะ ซื้อมือถือใหม่ละ 555+
< แชร์ > ประสบการณ์ไปทำงานที่มัลดีฟส์ (Jan - April 2018) จากสาวโสดเหมือนจะเหงาแต่ก็ไม่...
แด่ พี่ใหม่ พี่ชายที่แสนดี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25/01/2019
เริ่มจากเดือน Jan 2018 เลยละกัน ...
อ้าว แล้วทำไมเพิ่งมาเขียน ผ่านไปแล้วตั้ง 1 ปี ก็เพราะว่าว่างอยู่ไงละ 55+ แล้วมันก็เป็นความทรงจำที่ดี บทเรียนชีวิตที่ดีที่ไว้สอนและเตือนตัวเอง ไม่อยากให้ลืมไปมั้ง
เราเองก็เป็นพนักงานบริษัทคนหนึ่งเหมือนคนทั่วๆไปที่มีฝัน จบสถาปัตย์จาก ตจว. ทำที่บริษัทคอนซัลแห่งหนึ่ง เมื่อปลายปี 2017 บอกกับพระเจ้าว่า อยากไปทำงานที่ต่างประเทศจัง เที่ยวมาก็เยอะแล้ว ถ้าได้ไปทำงานคงจะได้เรียนรู้อะไรที่มากขึ้น คืนนั้นเราอธิฐานบนรถไฟในวันที่คนอื่นเคาท์ดาว ขอดราม่าหน่อย อยู่บนรถไฟกับเจ้าหนูแกสบี้ตัวน้อย เมื่อไรนะจะได้อยู่กับหนุ่มในฝันสักที 555+ อ่ะต่อ ... นั่งรถนอนชั้น 2 จากต่างจังหวัดกลับมากรุงเทพเพื่อพักผ่อนต่ออีกสักหน่อยก่อนจะเริ่มงานต้นปี พักเหนื่อยจากการจบโปรเจคโรงแรมในกรุงเทพ แล้วก็ฉลองเสร็จสับเรียบร้อย
ตัดต่อมาเลยละกันว่า ได้ไปมัลดีฟส์ได้ยังไง บริษัทโอนเนอร์เสนอให้บริษัทเราทำงานต่อเนื่องจากประทับใจผลงานที่เราทำโรงแรมให้เขาที่กรุงเทพ แต่อ่านะ งานหินมาก เพราะทีมเราไม่เคยมีใครทำงานที่มัลดีฟส์มาก่อน พอดีว่ามีอีกทีม ที่ PD เคยทำเป็นฝ่ายโอนเนอร์ หลังจากนั้น เขาเลยว่าจ้างต่อเสร็จสับ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเราจะได้ทำหรอกนะ เพราะเจ้าของบริษัท เปิดรับอาสาสมัครทุกคนที่อยากทำโปรเจคนี้ เราก็สมัครไป แต่คิดว่า เขาคงจะเลือกคนที่จบนอก เก่งไฟแรง ก็มีเยอะไป เราก็เลยบอกพระเจ้าว่า ถ้าพระเจ้าจะให้ไป ลูกก็จะไป แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สุดท้าย พระเจ้าก็เลือกเรา อิอิ ขอบคุณพระเจ้า
นี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้ไปทำงานที่ ตปท ครั้งแรกเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่เมกา ซึ่งเลือนลางไปมากละ
มัลดีฟส์นี้เราสามารถไปในฐานะนักท่องเที่ยวและอยู่ได้ถึง 30 วันโดยที่ไม่ต้องทำวีซ่า ใช้เวลาบิน 4 ชม.จากกรุงเทพถึงมาเลเมืองหลวงของมัลดีฟส์ และนั่ง Seaplane ต่ออีก 25 นาที Seaplane จอดกลางทะเลซึ่งจะมีท่าเล็กๆลอยอยู่ แล้วเรือของโรงแรมก็จะมารับเราไปที่เกาะอีกที
จนถึงเกาะร้างห่างรักของเรา 555+
สนามบินที่เราต้องไปต่อเครื่องขึ้น seaplane ดีที่โรงแรมได้ดีลกับ tma ให้เราเป็นแขก VIP เราจึงได้นั่งในเลานจ์ของ tma มีอาหารของหวานกาแฟ wifi นั่งชิวรอขึ้นเครื่อง
นี่คือหน้าตาของคนเขียน ถ้าใครรู้จักก็ไม่ต้องแซว ถ้าใครไม่รู้จักก็ สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก 555+
หน้าตา Seaplane ของ tma ครั้งแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบินน้ำ ลำเล็กขนาดนี้ ตื่นเต้นอย่างแรง เรื่องงงเรื่องงานไม่ได้คิดงะ ลืมหมดละ
นึกว่าไปเที่ยวอยู่ตอนนั้น 555+
ความฝันอีกอย่างของเราคือ อยากเป็นกัปตัน พอเห็นว่าไม่มีประตูกั้นระหว่างห้องนักบินเท่านั้นหล่ะ อีจันพุ่งไปนั่งหลังนักบินเลยจ้า 55+
สัญญากับตัวเองว่าจะเก็บตังไปเรียนขับเครื่องบินให้ได้ ฝันต่อไปวัยรุ่น
เมื่อเครื่องบนลอยขึ้นฟ้า ภาพเบลอหน่อยเพราะความรักมันบังตา ไม่ใช่!! เพราะมือถือใกล้หมดอายุละ เล่นเอง ชงเอง 555++
นี่ไม่ใช่ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 นะคะ ขออภัยด้วย ที่ภาพเบลอ แต่อยากเอาความจริงไม่นิยายมาบันทึก 555+
และเจ้าเรือลำนี้เป็นเรือของโรงแรมที่มารับเรา นั่งจากท่าไปถึงเกาะประมาณ 15-20 นาที แล้วแต่กัปตันจะเอาเราไปทิ้งท่าไหน ทิ้งท่าใกล้เกาะก็เร็วหน่อย
งานของเรารอบนี้คือไป survey เกาะ หรือสำรวจเกาะ และสำรวจโรงแรมเก่า เพราะเราต้องไปรีโนเวทโรงแรมนั่นเอง เฮื้อๆๆๆ
ออกจากกรุงเทพเช้า ถึงเกาะก็เย็นละ ดูเหมือนไม่ไกล แต่เดินทางหลายต่อ กินเวลาชมวิวไปเกือบทั้งวัน
พอถึงเกาะ ก็เข้าที่พักหรือโรงแรมเก่าที่ยังไม่รีโนเวท ที่โอนเนอร์ของเราได้เทคโอเวอร์มาทำต่อ
ทีมงานที่เดินร่วมทางวันนี้ก็มี ทีมดีไซด์เนอร์ ทีมโอนเนอร์ ทีมคอนซัล ทีม landscape หรือจัดสวน ส่วนทีมผู้รับเหมาเดินทางไปเจอกันที่เกาะ
ผู้ชายหมด ยกเว้นข้าพเจ้า ผญ คนเดียว ผญ 100% ไม่ใช่ทอมหรืออย่างอื่นแต่อย่างใด คริคริ
น้ำใสจนกระทั่งมองลงไปเห็นทุกสิ่งที่เคลื่อนไหว สวัสดีเจ้ากะเบนน้อย มาต้อนรับถึงที่ นี่เป็นที่แรกที่เราทำงานท่ามกลางธรรมชาติดิบๆขนาดนี้
ขอสารภาพว่า คืนแรกที่นอนที่นี่ ร้องไห้ เพราะคิดถึงปั้ปปี้ เจ้าหนูแกสบี้ ที่ทิ้งไว้ที่คอนโด โดยมีเพื่อนคอยช่วยดูแล เราก็วีดีโอคอลไปเลย คิดถึงหนักมาก
ไม่เข้าใจตัวเองว่า ครั้งที่แล้วที่ไปทำงานที่เมกา เมื่อนานมาแล้ว คืนแรกก็ร้องไห้เหมือนกัน แต่คืนแรกของการไปเที่ยวทริปอื่นๆไม่เห็นเป็น ไม่เข้าใจ
คนอื่นเป็นมั้ยเนี้ย
คอนเสป ออฟฟิตเรา ชุดเที่ยว ชุดทำงาน ชุดเดียวกัน แอบถ่ายเล่นตอนเจ้านายเผลอ 555+
ต่อไปก็คืองานสำรวจใต้น้ำ แน่นอนเราต้องทำการรีโนเวท คงต้องดูว่า เขาวางฐานรากกันยังไง ถ้าเป็นที่ไทย เราจะต้องตอกเสาเข็มแล้วก็ทำ Foundation ฐานรากนะ ไม่ใช่รองพื้น แต่ที่นี่ เขาทำแบบฐานแผ่ แล้วก็วางเสา และวางฐานรากบนทราบเลย เพราะ ทรายที่นี่ แน่นและละเอียดมาก ขาวละอาด อย่างกะแป้งพับเลยละ
เราก็เป็นคนหนึ่งที่ดำลงไปใต้น้ำ ถ้าสังเกตุให้ดี มองจากบนน้ำ ทะเลจะมีสีฟ้าอ่อนและสีน้ำเงินเข้มเลย มองไปใต้น้ำ นั่นคือเหว ครั้งนี้ เรากลัวมาก เลยยังไม่ลงน้ำลึก ว่ายสำรวจบริเวณน้ำสีฟ้าอ่อน เพราะเขาบอกว่า ในส่วนน้ำลึก มันลึกถึง 40 เมตร มันไม่ใช่ค่อยๆลาดไปเหมือนทะเลที่ไทยนะ มันหักลงเป็นเหวไปเลย โอเค งั้นไว้รอบหน้าละกัน
ก่อนหน้าที่เราจะไปทำงานที่นี่ เราเพิ่งไปเที่ยวที่สเปนและต่อด้วยเวียดนามอยู่เกือบเดือน (เสียตัง สนุก พักผ่อน พจญภัย ได้ประสบการณ์)
ขอบอกเลยว่า การไปทำงานต่างประเทศ กับ การไปเที่ยวต่างประเทศ คนละฟิวกันเลย คือ (ได้ตัง สนุก กดดัน เครียด เจอปัญหา เหนื่อย ... etc)
1. เราต้องแบกความรับผิดชอบ หน้าที่ ความกดดันไปด้วย
2. กลับมาต้องรีพอร์ท ดำเนินงานต่อ ประชุม คิด วางแผน ภาษา จุดอ่อนของข้าพเจ้าคือ ฟังแขกพูดภาษาอังกฤษไม่ออก ความเครียดก็มา
3. ความคาดหวังจากคนอื่นก็มา ส่งไปไกลขนาดนั้น ทำอะไรได้บ้างอ่ะเรา 555+
4. ทำงานมากกว่าอยู่ที่ไทย เนื่องจากเวลาเหลือบกัน 2 ชม. ทำที่มัลดีฟส์ 8 ชม + เมื่อออฟฟิตที่ไทยเราเริ่มงาน เราก็ต้องเริ่มไปด้วย = 10 ชม./วัน
โหดดดดดด.....
อาจจะไม่ได้แชร์ความรู้ด้านสายงานมากนัก อยากรู้อะไรในสายงานหลังไมค์ได้นะคะ หรือจะติดตามอ่านของเดือน Feb อิอิ
ของเดือน Feb ภาพไม่เบลอแล้วนะ ซื้อมือถือใหม่ละ 555+