สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคน ยินดีต้อนรับเข้าสู่ชาแนล Who Askk นะครับ ตอนนี้คุณอยู่กับผมอีกครั้ง “ลัก” ครับ
.
คำว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าใคร” คงใช้กับประเทศญี่ปุ่นไม่ได้แน่นอนครับ เพราะถึงแม้บ้านเค้าจะมีเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าสุดๆ แต่ก็มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงมาก และสาเหตุหลักๆ ก็มาจากเรื่องหน้าที่การงาน และความกดดันนี่แหละ
.
สำหรับใครที่ขี้เกียจอ่านสามารถดูคลิปแทนได้เลยน้าาา : )

คนญี่ปุ่นจะมีความเชื่อเป็นธรรมเนียมฝังหัวว่า ตัวเองต้องทำงานเยอะ ทำงานหนัก ถึงจะเป็นคนที่มีคุณค่า และเสพติดการประสบความสำเร็จ ซึ่งบ้านเค้ามักจะทำงานกันแบบหามรุ่งหามค่ำ หนักกว่าบ้านเราหลายเท่ามากๆ สาเหตุก็มาจากช่วงเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั่นแหละ
.
เพราะจากที่รบราฆ่าฟันกัน หลังจบศึก บ้านเค้าก็ตัดสินคนที่ผลงาน แถมในช่วงฟองสบู่นี่ก็ต้องยิ่งทำงานให้หนักเข้าไปใหญ่ ไม่อย่างงั้นก็อาจล้มหายตายจาก ไม่มีเงินมาใช้ ทีนี้แหละครับ คนก็จากที่แข่งขันกันอยู่แล้ว ก็ยิ่งแข่งขันกันมากเข้าไปใหญ่ ขยันทำงานแบบลืมตาย งานหนัก แต่ค่าตอบแทนไม่คุ้ม จะไม่ทำก็ไม่ได้ สุดท้ายพอทำไปเรื่อยๆ จนมันชินแล้ว ก็กลายเป็นวัฒนธรรมที่ยากต่อการเปลี่ยนแปลง

.
ทีนี้แหละครับทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กรสุดชั่วร้ายขึ้น เพราะมีหลายๆ บริษัทพยายามใช้ข้อได้เปรียบตรงนี้แหละในการต่อรองกับพนักงาน ทำให้พนักงานต้องทำงานหนักแบบถวายชีวิตเหมือนเป็นทาสของบริษัทนั้นๆ เลย ไม่ใช่แค่ให้เงินน้อยอย่างเดียวนะ แต่เค้ายังมีเงื่อนไขสุดบ้าบอคอยขูดเลือดขูดเนื้อตลอดเวลา ทั้งมาก่อน กลับทีหลัง ต้องรายงานตัวตลอดเวลา ห้ามพักเกิน 20 นาที บลาๆๆ เยอะมากจนถูกขนาดนามจากชาวเน็ตญี่ปุ่นว่า “Black Company” หรือบริษัทมืดนั่นเอง
.
บริษัทพวกนี้จะเอาเปรียบพนักงานมาก เหมือนเป็นโรงงานนรกเลย คือจะใช้ให้พนักงานทำงานล่วงเวลา บางคนทำ OT เดือนนึงเป็นร้อยๆ ชั่วโมง แต่ที่โหดสุดคือ การกดขี่ข่มเหงจนพนักงานไม่เหลือความเป็นคนอยู่เลย

.
เบาๆ หน่อยก็คือ หัวหน้าจะด่าลูกน้องทุกคำ

แค่นี้ก็ทำไม่ได้ ไปตายเถอะคนอย่างแกน่ะ หมามันยังมีสมองมากกว่าเลย หรือถ้าหนักหน่อยก็อาจถึงขั้นลงไม้ลงมือเลย ซึ่งตรงนี้เชื่อว่าเพื่อนๆ คงมีความสงสัยเกิดขึ้นแน่ๆ ว่า แล้วจะไปงอมืองอเท้าทนให้เค้ากดขี่ทำไม มีมือมีตีนก้สู้กลับไปดิวะ ไม่ก็ลาออกไปจะได้จบๆ
.
แต่เพราะอย่างที่บอกไปไงว่า ที่ญี่ปุ่นการแข่งขันมันสูงมาก ถ้าเราลาออก คนอื่นเค้าก็มาทำงานแทนได้อยู่ดี แล้วออกไปแล้วก็หางานทำยากมากๆ จะเอาเงินที่ไหนใช้ ถูกป่ะ มันก็เหมือนต้องทนไปเพราะไม่มีตัวเลือกอื่นให้ชีวิตอีกแล้วนี่แหละครับ มันเลยเป็นฝันร้าย เป็นการตกนรกทั้งเป้นของจริงเลย

.
ต่อให้เราเป็นคนจิตแข็งแค่ไหน แต่ถูกด่า ถูกว่า โดนดูถูกเหยียดหยามสารพัดทุกวัน ความมั่นใจมันก็จะค่อยๆ หายไป เหมือนโดนล้างสมองให้เรากลายเป็นคนห่วยแตก ทำอะไรเองไม่ได้ รู้สึกว่าขาดบริษัทนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด ถ้าลาออกไปคนห่วยๆ อย่างเราจะมีใครเค้ารับเข้าทำงาน นี่แหละคือกลยุทธ์เด็ดที่ Black Company เค้าใช้ ทั้งได้ดูถูกเหยียดหยาม ทั้งได้ลูกจ้างราคาถูกมาไว้ใต้การใช้งาน ไม่มีอะไรจะคุ้มไปกว่านี้อีกแล้วล่ะครับ มันเป็นการควบคุมคนโดยอาศัยหลักจิตวิทยาที่หลายๆ ศาสนา หลายๆ ลัทธิใช้กัน
.
และนี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของ Black Company ที่โด่งดังมากๆ เพราะมันใช้งานคนเยี่ยงทาสแบบน่าสงสารสุดๆ เลย โดยบริษัทนี้มันมีพนักงานอยู่หลายคน เหมือนบริษัททั่วไป แต่ตัวเจ้าของบริษัทกลับซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงสุดๆ ให้พนักงาน 3 คน แล้วบอกว่า ของพวกนี้อ่ะ เค้ามอบให้ แต่ก็อย่างที่รู้ โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี คนพวกนี้ต้องชดใช้ด้วย โดยเค้าจะหักเงินจากเงินเดือนทุกเดือนเป็นค่ากระเป๋า

.
เอ้า ซื้อให้เองแล้วเกี่ยวไรกับกุเนี่ยยย ทีนี้มีคนนึงในนั้นก็เครียดมาก เลยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนที่ไม่ใช่คนในบริษัท ทีนี้ไปทำอีท่าไหนไม่รู้ เจ้านายดันจับได้ว่าไปปรึกษาคนนอกมา แล้วกฎบริษัทเค้าก็มีไว้ว่าห้าเมอาเรื่องภายในไปแพร่งพรายให้ใครเด็ดขาด นายจ้าง

เลยเล่นหนัก ทำสัญญากับไอคนนี้โดยการปรับเป้นเงิน 10 ล้านเยนนนน คือมันกะเอารวยเลยอ่ะ จากนั้นก็หักเงินทุกเดือนจากบัญชีเป็นค่าปรับของมัน
.
ทีนี้ทำไงล่ะครับ โดนหักเงินทั้งค่ากระเป๋าแบรนด์เนมที่ไอบ้านั่นซื้อให้ แถมยังโดนค่าปรับอีก เงินเดือนของตาคนนี้แกก็เลยเหลือ 0 เยน ทำงานฟรีใช้หนี้ซะอย่างงั้น พอไม่มีเงินไปจ่ายค่าเช่าห้อง เค้าก็เลยไปขอต่อรองกับเจ้าของบริษัท เจ้าของบอก แล้วจะไปเสียเงินเช่าอพาร์ทเมนท์ทำไม ก็มากินนอนที่บริษัทไปเลยจะได้จบๆ เอ้า!

.
ทีนี้ทั้ง 3 คนก็เลยย้ายมาอยู่กินนอนในบริษัทนี้ด้วยกันหมดเลย แต่ก็อย่างว่า เป็นแค่บริษัท มันก็ไม่มีเตียง ไม่มีอ่างอาบน้ำอะไรอยู่แล้ว พวกเค้าต้องเอาผ้าเช็กตัวมาปูนอน แล้วที่พีคคือ

หน้าเลือด

ถึงขนาดเก็บเงินค่าเช่าที่ด้วย อะไรจะเลวขนาดนั้น
.
และแน่นอนว่านอกจากค่าห้องพักต่างๆ แล้วมันก็ต้องมีค่าเน็ตมือถือรายเดือนอีกใช่ป่ะที่คนพวกนี้ต้องจ่าย แต่เงินต้องเอาไปผ่อนกระเป๋าแบรนด์เนมโง่ๆ กับค่าเช่าที่บริษัทนอน แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย ทีนี้เจ้านายมันก็เลยซื้อมือถือให้ทุกคนใช้ซะเลย แต่ไม่ใช่ใจปล้ำธรรมดานะ เพราะมันเป็นมือถือที่มีระบบ GPS ตามตัว ดูได้ว่าอยู่ไหนแล้ว ในบริษัทก้มีกล้องวงจรปิดเอาไว้ส่องอีกว่าทำงานอยู่รึเปล่า
.
และที่เป็นจุดแตกหักแบบชนิดที่ว่า เกินคนไปเยอะมากละ ก็คือ

ให้พนักงานทั้ง 3 คนรายงานตัวบอกมันด้วยว่ากำลังทำงานอยู่รึเปล่า ทุกๆ 5-10 นาที บ้าป่ะเนี่ย แค่ฟังแล้วยังโมโหแทนเลยว่ะ

.
ตลอดทุกวันที่ทั้ง 3 คนทำงาน ต้องเจอมันพูดจาถากถางดูถูกเสมอว่า “ที่ให้พวกแกยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแค่ไหนแล้ว เพราะแกมันช่างรกหูรกตาเหลือเกิน ช่วยไปเดินให้รถชนตายทีได้มั้ย เรื่องจะได้ไม่ยุ่งยาก”
.
สุดท้ายแล้วพอโดนแบบนี้ทุกวัน ทั้งสภาพร่างกาย รวมถึงสภาพจิตใจมันก็เหนื่อยล้า จนในที่สุดหนึ่งในลูกจ้างก็ยอมฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาชีวิตสุดหนักอึ้งที่เหมือนตกนรกทั้งเป็น จนในที่สุดเรื่องก็แดงถึงหูนักข่าว และสุดท้ายพฤติกรรมความโหดร้ายของอมนุษย์ตัวนี้ก็ถูกเปิดเผย จนทำให้ลูกจ้างอีก 2 คนที่เหลือ รวมกับพลังของสื่อ นักข่าว และผู้คนบนโลกออนไลน์ ก็พากันเอาใจช่วย และฟ้องร้องกลับเจ้าของบริษัทรายนี้ในที่สุด
.
นี่แหละครับ พอคนเราถูกใช้งานหนักมาก จนเหมือนทาส สมองของเราจะเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ จนไม่สามารถคิด วิเคราะห์สิ่งต่างๆ ออกมาได้อย่างถูกต้อง บวกกับพออยู่ภายใต้สถานการณ์กดดันแบบนี้ยิ่งทำให้แย่เข้าไปใหญ่ ถูกด่า ถูกว่า จนไม่สามารถแยกแยะผิดถูกได้ จนสมองสั่งการไปเองว่าเราเป็นฝ่ายผิด เราต้องชดใช้ และตกเป็นทาสให้เค้าย่ำยีอย่างแท้จริง นี่แหละ Black Company ที่แท้จริง
.
ถ้าเป็นเพื่อนๆ เจอกดดัน เจอด่า เจอทารุณทางกาย ทางใจสารพัดขนาดนี้จะหาทางออกยังไงกับเรื่องนี้ดี คอมเมนท์มามาบอกทีนะ
Black Company บริษัทมืดในญี่ปุ่น ใช้งานพนักงานจนตาย!!!
.
คำว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าใคร” คงใช้กับประเทศญี่ปุ่นไม่ได้แน่นอนครับ เพราะถึงแม้บ้านเค้าจะมีเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้าสุดๆ แต่ก็มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงมาก และสาเหตุหลักๆ ก็มาจากเรื่องหน้าที่การงาน และความกดดันนี่แหละ
.
สำหรับใครที่ขี้เกียจอ่านสามารถดูคลิปแทนได้เลยน้าาา : )
คนญี่ปุ่นจะมีความเชื่อเป็นธรรมเนียมฝังหัวว่า ตัวเองต้องทำงานเยอะ ทำงานหนัก ถึงจะเป็นคนที่มีคุณค่า และเสพติดการประสบความสำเร็จ ซึ่งบ้านเค้ามักจะทำงานกันแบบหามรุ่งหามค่ำ หนักกว่าบ้านเราหลายเท่ามากๆ สาเหตุก็มาจากช่วงเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั่นแหละ
.
เพราะจากที่รบราฆ่าฟันกัน หลังจบศึก บ้านเค้าก็ตัดสินคนที่ผลงาน แถมในช่วงฟองสบู่นี่ก็ต้องยิ่งทำงานให้หนักเข้าไปใหญ่ ไม่อย่างงั้นก็อาจล้มหายตายจาก ไม่มีเงินมาใช้ ทีนี้แหละครับ คนก็จากที่แข่งขันกันอยู่แล้ว ก็ยิ่งแข่งขันกันมากเข้าไปใหญ่ ขยันทำงานแบบลืมตาย งานหนัก แต่ค่าตอบแทนไม่คุ้ม จะไม่ทำก็ไม่ได้ สุดท้ายพอทำไปเรื่อยๆ จนมันชินแล้ว ก็กลายเป็นวัฒนธรรมที่ยากต่อการเปลี่ยนแปลง
ทีนี้แหละครับทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กรสุดชั่วร้ายขึ้น เพราะมีหลายๆ บริษัทพยายามใช้ข้อได้เปรียบตรงนี้แหละในการต่อรองกับพนักงาน ทำให้พนักงานต้องทำงานหนักแบบถวายชีวิตเหมือนเป็นทาสของบริษัทนั้นๆ เลย ไม่ใช่แค่ให้เงินน้อยอย่างเดียวนะ แต่เค้ายังมีเงื่อนไขสุดบ้าบอคอยขูดเลือดขูดเนื้อตลอดเวลา ทั้งมาก่อน กลับทีหลัง ต้องรายงานตัวตลอดเวลา ห้ามพักเกิน 20 นาที บลาๆๆ เยอะมากจนถูกขนาดนามจากชาวเน็ตญี่ปุ่นว่า “Black Company” หรือบริษัทมืดนั่นเอง
.
บริษัทพวกนี้จะเอาเปรียบพนักงานมาก เหมือนเป็นโรงงานนรกเลย คือจะใช้ให้พนักงานทำงานล่วงเวลา บางคนทำ OT เดือนนึงเป็นร้อยๆ ชั่วโมง แต่ที่โหดสุดคือ การกดขี่ข่มเหงจนพนักงานไม่เหลือความเป็นคนอยู่เลย
เบาๆ หน่อยก็คือ หัวหน้าจะด่าลูกน้องทุกคำ
.
แต่เพราะอย่างที่บอกไปไงว่า ที่ญี่ปุ่นการแข่งขันมันสูงมาก ถ้าเราลาออก คนอื่นเค้าก็มาทำงานแทนได้อยู่ดี แล้วออกไปแล้วก็หางานทำยากมากๆ จะเอาเงินที่ไหนใช้ ถูกป่ะ มันก็เหมือนต้องทนไปเพราะไม่มีตัวเลือกอื่นให้ชีวิตอีกแล้วนี่แหละครับ มันเลยเป็นฝันร้าย เป็นการตกนรกทั้งเป้นของจริงเลย
ต่อให้เราเป็นคนจิตแข็งแค่ไหน แต่ถูกด่า ถูกว่า โดนดูถูกเหยียดหยามสารพัดทุกวัน ความมั่นใจมันก็จะค่อยๆ หายไป เหมือนโดนล้างสมองให้เรากลายเป็นคนห่วยแตก ทำอะไรเองไม่ได้ รู้สึกว่าขาดบริษัทนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด ถ้าลาออกไปคนห่วยๆ อย่างเราจะมีใครเค้ารับเข้าทำงาน นี่แหละคือกลยุทธ์เด็ดที่ Black Company เค้าใช้ ทั้งได้ดูถูกเหยียดหยาม ทั้งได้ลูกจ้างราคาถูกมาไว้ใต้การใช้งาน ไม่มีอะไรจะคุ้มไปกว่านี้อีกแล้วล่ะครับ มันเป็นการควบคุมคนโดยอาศัยหลักจิตวิทยาที่หลายๆ ศาสนา หลายๆ ลัทธิใช้กัน
.
และนี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของ Black Company ที่โด่งดังมากๆ เพราะมันใช้งานคนเยี่ยงทาสแบบน่าสงสารสุดๆ เลย โดยบริษัทนี้มันมีพนักงานอยู่หลายคน เหมือนบริษัททั่วไป แต่ตัวเจ้าของบริษัทกลับซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงสุดๆ ให้พนักงาน 3 คน แล้วบอกว่า ของพวกนี้อ่ะ เค้ามอบให้ แต่ก็อย่างที่รู้ โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี คนพวกนี้ต้องชดใช้ด้วย โดยเค้าจะหักเงินจากเงินเดือนทุกเดือนเป็นค่ากระเป๋า
เอ้า ซื้อให้เองแล้วเกี่ยวไรกับกุเนี่ยยย ทีนี้มีคนนึงในนั้นก็เครียดมาก เลยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนที่ไม่ใช่คนในบริษัท ทีนี้ไปทำอีท่าไหนไม่รู้ เจ้านายดันจับได้ว่าไปปรึกษาคนนอกมา แล้วกฎบริษัทเค้าก็มีไว้ว่าห้าเมอาเรื่องภายในไปแพร่งพรายให้ใครเด็ดขาด นายจ้าง
.
ทีนี้ทำไงล่ะครับ โดนหักเงินทั้งค่ากระเป๋าแบรนด์เนมที่ไอบ้านั่นซื้อให้ แถมยังโดนค่าปรับอีก เงินเดือนของตาคนนี้แกก็เลยเหลือ 0 เยน ทำงานฟรีใช้หนี้ซะอย่างงั้น พอไม่มีเงินไปจ่ายค่าเช่าห้อง เค้าก็เลยไปขอต่อรองกับเจ้าของบริษัท เจ้าของบอก แล้วจะไปเสียเงินเช่าอพาร์ทเมนท์ทำไม ก็มากินนอนที่บริษัทไปเลยจะได้จบๆ เอ้า!
ทีนี้ทั้ง 3 คนก็เลยย้ายมาอยู่กินนอนในบริษัทนี้ด้วยกันหมดเลย แต่ก็อย่างว่า เป็นแค่บริษัท มันก็ไม่มีเตียง ไม่มีอ่างอาบน้ำอะไรอยู่แล้ว พวกเค้าต้องเอาผ้าเช็กตัวมาปูนอน แล้วที่พีคคือ
.
และแน่นอนว่านอกจากค่าห้องพักต่างๆ แล้วมันก็ต้องมีค่าเน็ตมือถือรายเดือนอีกใช่ป่ะที่คนพวกนี้ต้องจ่าย แต่เงินต้องเอาไปผ่อนกระเป๋าแบรนด์เนมโง่ๆ กับค่าเช่าที่บริษัทนอน แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย ทีนี้เจ้านายมันก็เลยซื้อมือถือให้ทุกคนใช้ซะเลย แต่ไม่ใช่ใจปล้ำธรรมดานะ เพราะมันเป็นมือถือที่มีระบบ GPS ตามตัว ดูได้ว่าอยู่ไหนแล้ว ในบริษัทก้มีกล้องวงจรปิดเอาไว้ส่องอีกว่าทำงานอยู่รึเปล่า
.
และที่เป็นจุดแตกหักแบบชนิดที่ว่า เกินคนไปเยอะมากละ ก็คือ
ตลอดทุกวันที่ทั้ง 3 คนทำงาน ต้องเจอมันพูดจาถากถางดูถูกเสมอว่า “ที่ให้พวกแกยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแค่ไหนแล้ว เพราะแกมันช่างรกหูรกตาเหลือเกิน ช่วยไปเดินให้รถชนตายทีได้มั้ย เรื่องจะได้ไม่ยุ่งยาก”
.
สุดท้ายแล้วพอโดนแบบนี้ทุกวัน ทั้งสภาพร่างกาย รวมถึงสภาพจิตใจมันก็เหนื่อยล้า จนในที่สุดหนึ่งในลูกจ้างก็ยอมฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาชีวิตสุดหนักอึ้งที่เหมือนตกนรกทั้งเป็น จนในที่สุดเรื่องก็แดงถึงหูนักข่าว และสุดท้ายพฤติกรรมความโหดร้ายของอมนุษย์ตัวนี้ก็ถูกเปิดเผย จนทำให้ลูกจ้างอีก 2 คนที่เหลือ รวมกับพลังของสื่อ นักข่าว และผู้คนบนโลกออนไลน์ ก็พากันเอาใจช่วย และฟ้องร้องกลับเจ้าของบริษัทรายนี้ในที่สุด
.
นี่แหละครับ พอคนเราถูกใช้งานหนักมาก จนเหมือนทาส สมองของเราจะเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ จนไม่สามารถคิด วิเคราะห์สิ่งต่างๆ ออกมาได้อย่างถูกต้อง บวกกับพออยู่ภายใต้สถานการณ์กดดันแบบนี้ยิ่งทำให้แย่เข้าไปใหญ่ ถูกด่า ถูกว่า จนไม่สามารถแยกแยะผิดถูกได้ จนสมองสั่งการไปเองว่าเราเป็นฝ่ายผิด เราต้องชดใช้ และตกเป็นทาสให้เค้าย่ำยีอย่างแท้จริง นี่แหละ Black Company ที่แท้จริง
.
ถ้าเป็นเพื่อนๆ เจอกดดัน เจอด่า เจอทารุณทางกาย ทางใจสารพัดขนาดนี้จะหาทางออกยังไงกับเรื่องนี้ดี คอมเมนท์มามาบอกทีนะ