แชร์ประสบการณ์ซื้อเครื่องกรองอากาศเครื่องแรก

ที่มาที่ไปค่ะ

1. เคยแต่แชร์เรื่องไปเที่ยวค่ะ ไม่เคยคิดว่าจะได้มาแชร์เรื่องเครื่องกรองอากาศมาก่อนเลยค่ะ

2. ตอนนี้ว่างๆ รอไปเที่ยวตอนเมษา งานที่ office ก็ยังไม่ยุ่งมาก (แต่ถ้าช่วงยุ่งนี่แทบจะย้ายบ้านมาอยู่ office เลยค่ะ) เราเลยมาแชร์เรื่องซื้อเครื่องกรองอากาศไปพลางๆ ก่อนนะคะ

3. ที่มาที่ไปคือเรื่อง PM 2.5 นั้นแหละค่ะ อันนี้ตามที่เข้าใจนะคะ ปกติเจ้า PM2.5 มันก็เกิดมีอยู่ทุกฤดูค่ะ ฤดูร้อน ฝน หนาว ตราบใดที่ยังต้องใช้รถยนต์ มีการก่อสร้าง ฯลฯ หลีกเลี่ยงได้ยาก ส่วนใหญ่ก็จะโดนลมพัดไปหรือตกลงมาพร้อมกับฝนค่ะ

4. แต่ๆๆๆๆๆๆ ฤดูหนาวเจ้า PM2.5 จะเป็นปัญหาเยอะหน่อยโดยเฉพาะในปีนี้เพราะอากาศมันนิ่งๆ ไม่ค่อยมีลมพัด ติดๆ กันหลายวัน เจ้า PM2.5 ที่ลอยตุ๊บป่องๆ บนหัวเราเลยโอกาสเข้าไปในร่างกายเราเลยมีมากขึ้นค่ะ

5. ด้วยความที่เป็นเกิดและโตในสวนผลไม้ เราเลยค่อยข้างเป็นหญิงถึก ไม่ค่อยแพ้พวกฝุ่นหรือเกษรดอกไม้ค่ะ ยกเว้นแมลงสาบ โดยเฉพาะตอนมันบิน น่ากลัวที่ซู๊ดดดดดดดดดด..............

6. แม่เรายังเคยด่าเราเลยว่ากลัวไรกะแมลงสาบ ทีตะขาบ จิ้งจก ตุ๊กแก กิ้งกือ (แม่เรากลัวกิ้งกือ) ไม่เห็นเราจะกลัวเลย โดยเฉพาะกิ้งกือที่ตอนเด็กๆ ชอบจับใส่กระเป๋ากางเกงไปแกล้งแม่ 55555

7. ในระยะสั้นบางคนก็ลมพิษขึ้น บางคนถึงขั้นต้องเจ้ารพ. บางคนอาจจะไม่เป็นอะไรเลย แต่ในระยะยาวแล้ว เราไม่รู้ว่าเจ้า PM2.5 ที่สะสมในร่างกายเราจะส่งผลกระทบอะไรกับเราบ้างค่ะ

8. ด้วยเหตุนี้เราเลยสนใจจะซื้อเครื่องกรอกอากาศตัวแรกมาลองใช้ค่ะ

เลือกซื้อเครื่องกรองอากาศยังไงดี

1. ตามที่เข้าใจนะคะ ในเครื่องกรองจะมีพัดลมไว้ดูดอากาศเข้ามาในเครื่อง อากาศที่เข้ามาจะวิ่งผ่าน filter ฝุ่น มลพิษ และเชื้อโรคต่างๆ จะถูก filter ดักไว้ แต่อาจจะมีเชื้อโรคบางตัวสามารถเล็ดรอดผ่าน filter มาได้ เขาเลยใช้ประจุไฟฟ้ามาฆ่าเชื้อโรคเหล่านี้อีกทีค่ะ

2. บอกตรงๆ ว่าความรู้กี่ยวกับการกรองอากาศของเรานี่เท่ากับ 0

3. จริงๆ ก็อยากจะเดินไปห้างฯ แล้วหยิบๆ มาตัวนึง แต่พอไปเห็นที่ห้างแล้ว ร้องเห้ยยยยยย.....  ดังๆ เลย ไม่คิดว่าจะมีหลายรุ่นหลายยี่ห้อ และที่สำคัญไม่คิดว่าราคามันจะแพงขนาดนี่ มีตั้งแต่หลักพันกลางๆ จนไปถึง 6-7 หมื่นค่ะ เลยต้องรีบถอยมาตั้งหลักก่อน เอาไงดีเรา

4. สุขภาพของตัวเราๆ ก็ต้องดูแล สุขภาพกระเป๋าตังเราก็ต้องดูแลให้ดียิ่งกว่าค่ะ

5. อากู๋เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดในเวลานี้ค่ะ ค้นไปค้นมาเราเจอ Blueair Performance Book อ่านแล้วคิดว่าข้อมูลในเล่มน่าจะมีประโยชน์สำหรับคนที่กำลังเลือกซื้อเครื่องกรองอากาศเลยขอเอามาแชร์นะคะ

6. เริ่มจากส่วนที่สำคัญที่สุดของเครื่องกรองอากาศนั่นก็คือ filter ค่ะ ถ้าจะป้องกันเจ้าPM2.5 filter ต้องสามารถกรองฝุ่นได้เล็กกว่า 2.5 micron ค่ะ ถ้ามีผลทดสอบให้ดูก็ช่วยให้เรามั่นใจได้มากขึ้นค่ะ เช่น blueair เขาเอา filter ไปทดสอบที่สถานบัน Camfil และ LMS ได้ผลทดสอบตามกราฟด้านล่างค่ะ กรองได้ละเอียดถึง 0.1 micron กรองได้เกือบๆ 100%



7. ส่วนผลการกรองเชื้อโรคต่างๆ ก็ได้ผลตามกราฟด้านล่างนี้ค่ะ สีฟ้าคือกรณีที่ไม่มี filter ส่วนสีแดงคือใช้ filter ค่ะ จะเห็นว่าหลังจากกรองอากาศไปประมาณ 10 นาที เชื้อโรคต่างๆ จะลดลงเกือบหมดเลยค่ะ



8. อันนี้เป็นผลการทดสอบการกรอง VOC, Formaldehyde, Deodorization, ควันบุหรี่ ค่ะ



9. VOC คือสารเคมีตกค้างที่มาจากผลิตภัณฑ์ทางเคมีที่เราใช้ในบ้านค่ะ เช่น ยาฆ่าแมลง น้ำยาฟอกสี ทินเนอร์ น้ำยาทำความสะอาด

10. Formaldehyde ก็คือ ฟอร์มาลีนที่เป็นแก็สค่ะ ส่วนมาแฝงมาในเฟอร์ฯ สีทาบ้าน wallpaper

11. Deodorization คือพวกกลิ่นไม่พึงประสงค์ทั้งหลายค่ะ รวมถึงตดด้วยค่ะ

12. ต่อไปก็เป็นเรื่องเสียงขณะทำงานค่ะ เรากะจะใช้ในห้องนอน นอนๆ อยู่แล้วมีเครื่องกรองอากาศมานั่งดูดอากาศเฮือกๆๆๆๆ คงนอนไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่นะคะ

13. ตารางข้างล่างเป็นระดับความดังของเสียงขณะเครื่องทำงานค่ะ เห็นเขาบอกว่าวางเครื่องวัดห่างจากตัวเครื่อง 1 เมตรนะคะ



14. อันนี้เป็นตารางความดังของเสียงระดับต่างๆ เพื่อใช้เปรียบเทียบค่ะ


ที่มา https://th.m.wikipedia.org/wiki/เดซิเบล

15. เราเลย load app ชื่อ soundmeter มาลองวัดระดับความดังของเสียงในห้องนอนเราโดยวางมือถือไว้บนหัวนอนเลย (ข้างๆ หูเลย) ในห้องเปิดแอร์ขนาด 22,000 btuh ยังไม่เปิดเครื่องกรอง ได้ค่าดังนี้ค่ะ



16. ยังไม่มีเครื่องกรองอากาศ ระดับความดังในห้องก็เกิน 50 dB ล่ะ เราวัดตรงหัวนอนเลยค่ะ

17. ต่อไปเป็นเรื่อง ozone ค่ะ เครื่องกรองอากาศที่ใช้สนามไฟฟ้าในการฆ่าเชื้อโรคอาจเป็นตัวสร้าง ozone ออกมาค่ะ ถ้าได้รับเข้าไปมากๆ ปอดอาจจะทำงานผิดปกติ สามารถเข้าไปเช็คได้ว่าเครื่องกรองอากาศกำลังจะซื้อมี ozone หลุดออกมาระหว่างการทำงานหรือเปล่าที่ http://www.arb.ca.gov/research/indoor/aircleaners/certified.htm  

18. เรื่อง ozone เราว่าสำคัญนะคะ เพราะส่วนใหญ่จะใช้ในห้องนอนกัน แถมเป็นห้องปิดอีกค่ะ

19. มาถึงอันที่ยากที่สุดละคะ ประสิทธิภาพของเครื่องกรองอากาศ และการเลือกขนาดของเครื่องกรองอากาศค่ะ

20. การเลือกขนาดของเครื่องกรองอากาศจะดูจากค่า ACH (Air Change per Hour) ค่ะ

21. ACH เป็นค่าที่บอกว่าหลังจากเปิดเครื่องกรองอากาศทั้งไว้ 1 ชม. เครื่องกรองจะสามารถกรองอากาศในห้องนั้นได้กี่ครั้ง และมลพิษจะลดลงไปได้เท่าไหร่ค่ะ โดยมีค่ามาตรฐานคือ ถ้าชม.นึงกรองอากาศไป 1 ครั้ง (1ACH) ควรจะกรองมลพิษออกไปได้ 60% ถ้ากรอง 5 ครั้ง/ชม. หรือ 5ACH ควรจะกรองออกไปได้ 90% ค่ะ ค่าที่ยอมรับกันคือที่ 5ACH ค่ะ

22. กราฟด้านซ้ายเป็นค่ามาตรฐานค่ะ ส่วนตารางด้านขาวเป็นอัตราการกรองของเครื่องรุ่นต่างๆ ในห้องขนาดต่างๆ ค่ะ รุ่นเดียวกันแต่ขนาดห้องต่างกัน ACH ก็จะเปลี่ยนไปนะคะ



23. จากกราฟด้านซ้ายนะคะ ถ้าต้องการลดมลพิษในห้องลงไป 90% เครื่องกรองอากาศต้องสามารถกรองอากาศในห้องได้ 5 ครั้งภายใน 1 ชม. หรือก็คือ 5ACH ค่ะ ดังนั้น 5ACH จึงเป็นเป้าหมายที่สำคัญในการใช้เครื่องกรองอากาศค่ะ

24. จากตารางด้านขวานะคะ ถ้าห้องเราขนาด 35 ตรม. แล้วเราใช้เครื่องกรองรุ่น sense เราจะกรองได้แค่ 2ACH ค่ะ เท่ากับว่าเครื่องกรองสามารถกรองมลพิษออกไปได้ 80% หลังจากเปิดไปแล้ว 1 ชม. แต่ถ้าเราใช้รุ่น 400 Series จะกรองได้ 5ACH หรือกรองไปได้ถึง 90% ตามเป้าหมายค่ะ

25. จากข้อ 21 และ 24 นะคะ จะเห็นว่าครื่องกรองอากาศยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน แต่เอาไปใช้ในห้องขนาดต่างกัน จะได้ค่า ACH ไม่เท่ากันนะคะ ดังนั้นการเลือกขนาดเครื่องกรองอากาศให้เหมาะสมพับพื้นที่ที่จะเอาไปใช้จึงเป็นเรื่องสำคัญค่ะ

26. อันสุดท้ายคือดูว่าเครื่องกรองกาศจะส่งอากาศที่กรองแล้วออกมาได้เท่าไหร่ซึ่งเป็นการวัดประสิทธิภาพของเครื่องค่ะ อันนี้จะดูจากค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) หาดูได้จากเวปนี่ค่ะ http://www.ahamdir.com/aham_cm/site/pages/search_airCleaners.html

27. สามารถเข้าไปเปรียบเทียบแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นได้ที่เวปนี้ค่ะ http://www.ahamdir.com/aham_cm/site/pages/search_airCleaners.html;jsessionid=72BAB2317CF75E24418BBB649DCBA458.node1
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่