ทางเจ้านายจึงอยากได้รวบรวมข้อมูลตั้งแต่ก่อนผ่าตัดมาให้อีกครั้งดังนี้ค่ะ
ก่อนผ่าตัดเมื่อเดือนก.ค. 55 PSA อยู่ที่ 14 และ ผล Gleason Score Grade 3+3 = 6/10 จากการตรวจ Biopsy ช่วงก่อนผ่าตัด
หลังผ่าตัดต่อมลูกหมากออกเมื่อเดือนสิงหาคม 55 PSA อยู่ที่ 0.05 และต่อมาทุก 3 เดือนไปวัด PSA ได้ดังนี้:-
- พฤศจิกายน 55 0.05
- กุมภาพันธ์ 56 0.05
- เมษายน 56 0.05
- กรกฎาคม 56 0.07
- ตุลาคม 56 0.09
- มกราคม 57 0.10
- เมษายน 57 0.22
หลังจากนั้น (หนึ่งปีครึ่ง) มาตกใจอีกครั้งในเดือนเมษายน 57 เมื่อ PSA ขึ้นจาก 0.1 ไปที่ 0.22 (หลังผ่าตัดแล้วไม่ยึดมาตรฐาน 4 แต่ให้สังเกตว่า PSA เพิ่มขึ้นแบบเร็วหรือไม่) จึงถูกชักนำให้ไปฉายแสง เพราะส่อให้เห็นว่า ตัวร้ายอาจจะยังอยู่ในร่างกาย จากนั้นแล้วก็ไปฉายแสงที่อีกโรงพยาบาลหนึ่งเมื่อเดือนสิงหาคม 57 เมื่อฉายแสงเสร็จลดลงเหลือ 0.065 จากนั้นวัด PSA ทุกไตรมาส มีผลดังนี้ (ภายในเวลาสี่ปีครึ่ง)
- พฤษภาคม 57 0.270 (ก่อนฉายแสง Radio Therapy (RT))
- สิงหาคม 57 0.065 (หลังฉายแสง RT)
- กันยายน 57 0.042
- ตุลาคม 57 0.044
- ธันวาคม 57 0.029
- มีนาคม 58 0.019
- มิถุนายน 58 0.011
- กันยายน 58 0.008
- ธันวาคม 58 0.015
- เมษายน 59 0.031
- กรกฎาคม 59 0.053
- พฤศจิกายน 59 0.074
- มีนาคม 60 0.093
- กันยายน 60 0.172
- ธันวาคม 60 0.193
- มิถุนายน 61 0.275
- กันยายน 61 0.265
- ธันวาคม 61 0.214
เห็นชัดเจนว่า PSA ลดลงมาโดยตลอด จากพฤษภาคม 57 จนมาถึงกันยายน 58 และเริ่มไต่ขึ้นจากเดือนธันวาคม 58 จนถึงเดือนกันยายน 61 (ช่วงที่กังวลว่ามีตัวร้ายยังอยู่ในร่างกาย) แต่พึ่งมีเค้าลดลงจากมิถุนายน 61 - ถึงปัจจุบัน จึงทำให้อุ่นใจในระดับหนึ่ง และจำต้องติดตามต่อไป โดยตนเองเริ่มคุมเรื่องอาหารและทานมะเขือเทศ แครนเบอร์รี่ และขมิ้นชัน)
โดยสรุปในเวลา 6 ปีนั้น ประสบการณ์เห็นชัดว่า โรคต่อมลูกหมากนี้ถึงแม้จะขึ้นอยู่กับวัดการขึ้น-ลงของ PSA แต่การวัด PSA นั้นไม่ได้พึ่งผลจากของตัวเนื้อร้ายในอย่างเดียว แต่การวัดรวมถึงมีตัวอิสระอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อร้ายเข้าไปปะปนด้วย ดังนั้น สรุปว่ามาตร PSA ไม่เด็ดขาดเหมือนมาตรอื่น ซึ่งเรียนรู้ได้จากหนังสือ The Key to Prostate Cancer : 30 Experts Explain 15 Stages of Prostate Cancer โดยคุณหมอ Mark Scholz (Amazon.com US$15.99 Kindle Edition) หาก PSA ไต่ขึ้นตลอดเวลาก็ส่อให้เห็นว่า เนื้อร้ายยังคงอยู่ แต่หากว่าไต่ขึ้นและลดลง ก็อาจจะอยู่ในข่ายการกระโดดของตัวอิสระ (Bounce) ซึ่งถือลางว่ายังไม่เด็ดขาดที่เนื้อร้ายยังคงอยู่ โดยสรุปการเฝ้ามองเรื่องต่อมลูกหมากเป็นสิ่งที่ไม่ถึงกับน่ากังวลเท่ากับมะเร็งประเภทอื่นๆ ดังหนังสือกล่าวว่าการเจริญเติบโตของมะเร็งในต่อมลูกหมากนั้นช้ากว่าที่อื่น บ่อยครั้งที่เชื้อร้ายยังคงอยู่แต่เสียชิวิตด้วยโรคอื่น โดยเฉพาะหมู่วัยชรา (ดังนั้น จึงมีการติดตลกว่าหากใครมาบังคับว่าตนต้องเลือกมะเร็งประเภทให้อยู่ในตัวก็ให้เลือกที่ต่อมลูกหมาก เพราะโดยทั่วไปมันเติบโตช้ากว่ามะเร็งที่อยู่ที่อื่นในร่างกาย)
ในหนังสือมีภาษาเทคนิคมาก แต่ก็เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้ได้ว่า คนไข้เองต้องเข้าใจการรักษาโรคนี้ด้วย หนังสือดังกล่าวที่มีคุณหมอ 30 คน ให้ข้อสังเกตว่า Gleason 3+1 ยังถือให้เฝ้าดู หากมากกว่า 3+3 หรือ 6 แล้วจะถือได้ว่าต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
การที่ PSA ของเจ้านายลดลง 0.214 ในเดือนธันวาคม 61 นั้น อาจจะเป็นผลจากความกังวลในเดือนมิถุนายน 61 และคุณหมอช่วงนั้นได้ให้ข้อสังเกตว่ามีผู้ทานขมิ้นชัน ที่เห็นผลทำให้ PSA ลดลงได้ จึงลองทานดู รวมทั้งแครนเบอร์รี่สดด้วย ที่เจ้านายทราบจากคนไข้รายหนึ่ง หาก PSA ยังลดลงได้บ้าง และขึ้นบ้าง (Bounce) ก็ยังไม่ถือว่ามีเค้าแน่ชัดว่ามีเนื้อร้ายในร่างกาย ตอนนี้ก็ได้แต่วัด PSA ทุกสามเดือน และเริ่มงดทานเนื้อแดง นม เนยที่ในหนังสือแนะนำว่าให้เลี่ยง และออกกำลังกาย เดิมไม่ได้เลี่ยงเพราะเข้าใจผิดคิดว่าต่อมลูกหมากตัดออกไปแล้ว ก็หมดไปและสบายใจได้ ซึ่งจากประสบการณ์นี้แล้ว ว่าเมื่อตัดออกแล้วไม่ใช่อิสระเสรี แต่ก็ยังต้องระวังอยู่ เพราะมันกำเริบได้ในช่วง 5 ปีแรก
หวนคำนึงถึงหกปีที่ผ่านมา เจ้านายสรุปได้ดังนี้ :-
1. วิธีที่ไม่ทำอะไรเลยเพียงแต่เฝ้าดู (watchful waiting) หรือ (active surveillance) ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่พี่ชายของเจ้านายได้ยึดไว้ PSA ของท่านเมื่อ 6 ปีที่แล้วอยู่ในระดับเกินเลขสองตัว และปัจจุบันยังเกินเลขสองตัวอยู่ เขาก็ยังปกติดี แต่มีข้อเสียคือ ลึกๆ เขากังวลอยู่ตลอด อย่างไรก็ดีเจ้านายก็นึกหวนหลังถึงทางเลือกนี้ เพราะตนทราบว่ามี PSA สูงตอนอายุ 71 ปีและครอบครัวมี PSA สูงอยู่แล้ว จากคุณพ่อลงมา เราทราบว่าคุณพ่อมี PSA สูงเมื่ออายุแปดสิบกว่า และไม่ได้รักษาและจากไปด้วยโรคชรา อีกประการหนึ่ง หากไม่ได้ทำอะไรเลยโดยเฝ้าวัดและดูอย่างเดียว ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดก็จะไม่มีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเมื่อผ่าตัดแล้ว (เสียอย่างเดียวหากไม่ผ่าตัดและหากกำเริบขึ้นมาและรักษาไม่ทันก็เข้าถึงกระดูกได้ ทั้งนี้ สถิติด้านนี้ว่ามีความเสี่ยงมากเพียงใดยังหาไม่พบ)
2. ตัดต่อมลูกหมากออกก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ 30% ที่อาจจะกำเริบอีกภายในระยะเวลา 5 ปีได้ ดังที่เกิดกับเจ้านาย (เข้าใจผิดมาก่อนว่าตัดไปแล้วจะไม่กำเริบอีก เลยไม่ได้ระมัดระวังเรื่องอาหารการกินเนื้อแดง หมู เนื้อ นม เนย ทานหมดปัจจุบันหยุดทานแล้ว และไม่ทานแม้แต่ชิ้นเดียว) และออกกำลังกายเหงื่อเต็มตัวทุกวัน
3. หากกำเริบหลังผ่าตัด เจ้านายก็ไปฉายแสง จากการฉายแสงแล้วก็อาจจะกำเริบได้อีกเหมือนกัน ให้เฝ้ามอง PSA ว่าเพิ่มขึ้นแบบรวดเร็วถึงสองเท่าหรือไม่ หากขึ้นลงและไม่เพิ่มขึ้นแบบเส้นตรงก็ยังถือว่าเป็นระดับที่น่าพอใจได้ เพราะมีเค้าว่าลดลงบ้าง
เนื่องจากมีการสอบถามเข้ามามากหลังจากมีการแชร์ข้อมูลครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงขอขยายประสบการณ์ต่อไป ทั้งนี้ การรักษาทุกอย่างควรอาศัยการรอบรู้ของคนไข้ด้วย เพื่อการตัดสินใจในทางเลือกที่สมควรในสภาพของตนเอง และปรึกษาคุณหมอหลายๆ ท่านด้วย เพราะโรคนี้ขึ้นอยู่กับทางเลือกหลาย
อย่างรวมทั้งความเสี่ยงที่ตนคิดว่ารับได้ กับคุณภาพชีวิตที่อาจจะทรงไว้หรือด้อยลงดังเปรียบเทียบได้ระหว่างตัวท่านเองที่ผ่านการผ่าตัดและฉายแสงกับพี่ชายที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
ทั้งนี้ การที่เจ้านายมาลงในเพจนี้ เป็นเพียงเพื่อการแชร์ข้อมูลที่ประสบมาในฐานะคนไข้คนหนึ่งที่อยากจะให้ผู้ตกอยู่ชะตากรรมเดียวกันมีความรู้บ้าง และเป็นพื้นฐานในการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ในแต่ละสาขา
ขอแชร์ประสบการณ์ของเจ้านายเกี่ยวกับการผ่าตัดและฉายแสงของ "มะเร็งต่อมลูกหมาก" (สรุปเพิ่มเติม)
ก่อนผ่าตัดเมื่อเดือนก.ค. 55 PSA อยู่ที่ 14 และ ผล Gleason Score Grade 3+3 = 6/10 จากการตรวจ Biopsy ช่วงก่อนผ่าตัด
หลังผ่าตัดต่อมลูกหมากออกเมื่อเดือนสิงหาคม 55 PSA อยู่ที่ 0.05 และต่อมาทุก 3 เดือนไปวัด PSA ได้ดังนี้:-
- พฤศจิกายน 55 0.05
- กุมภาพันธ์ 56 0.05
- เมษายน 56 0.05
- กรกฎาคม 56 0.07
- ตุลาคม 56 0.09
- มกราคม 57 0.10
- เมษายน 57 0.22
หลังจากนั้น (หนึ่งปีครึ่ง) มาตกใจอีกครั้งในเดือนเมษายน 57 เมื่อ PSA ขึ้นจาก 0.1 ไปที่ 0.22 (หลังผ่าตัดแล้วไม่ยึดมาตรฐาน 4 แต่ให้สังเกตว่า PSA เพิ่มขึ้นแบบเร็วหรือไม่) จึงถูกชักนำให้ไปฉายแสง เพราะส่อให้เห็นว่า ตัวร้ายอาจจะยังอยู่ในร่างกาย จากนั้นแล้วก็ไปฉายแสงที่อีกโรงพยาบาลหนึ่งเมื่อเดือนสิงหาคม 57 เมื่อฉายแสงเสร็จลดลงเหลือ 0.065 จากนั้นวัด PSA ทุกไตรมาส มีผลดังนี้ (ภายในเวลาสี่ปีครึ่ง)
- พฤษภาคม 57 0.270 (ก่อนฉายแสง Radio Therapy (RT))
- สิงหาคม 57 0.065 (หลังฉายแสง RT)
- กันยายน 57 0.042
- ตุลาคม 57 0.044
- ธันวาคม 57 0.029
- มีนาคม 58 0.019
- มิถุนายน 58 0.011
- กันยายน 58 0.008
- ธันวาคม 58 0.015
- เมษายน 59 0.031
- กรกฎาคม 59 0.053
- พฤศจิกายน 59 0.074
- มีนาคม 60 0.093
- กันยายน 60 0.172
- ธันวาคม 60 0.193
- มิถุนายน 61 0.275
- กันยายน 61 0.265
- ธันวาคม 61 0.214
เห็นชัดเจนว่า PSA ลดลงมาโดยตลอด จากพฤษภาคม 57 จนมาถึงกันยายน 58 และเริ่มไต่ขึ้นจากเดือนธันวาคม 58 จนถึงเดือนกันยายน 61 (ช่วงที่กังวลว่ามีตัวร้ายยังอยู่ในร่างกาย) แต่พึ่งมีเค้าลดลงจากมิถุนายน 61 - ถึงปัจจุบัน จึงทำให้อุ่นใจในระดับหนึ่ง และจำต้องติดตามต่อไป โดยตนเองเริ่มคุมเรื่องอาหารและทานมะเขือเทศ แครนเบอร์รี่ และขมิ้นชัน)
โดยสรุปในเวลา 6 ปีนั้น ประสบการณ์เห็นชัดว่า โรคต่อมลูกหมากนี้ถึงแม้จะขึ้นอยู่กับวัดการขึ้น-ลงของ PSA แต่การวัด PSA นั้นไม่ได้พึ่งผลจากของตัวเนื้อร้ายในอย่างเดียว แต่การวัดรวมถึงมีตัวอิสระอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อร้ายเข้าไปปะปนด้วย ดังนั้น สรุปว่ามาตร PSA ไม่เด็ดขาดเหมือนมาตรอื่น ซึ่งเรียนรู้ได้จากหนังสือ The Key to Prostate Cancer : 30 Experts Explain 15 Stages of Prostate Cancer โดยคุณหมอ Mark Scholz (Amazon.com US$15.99 Kindle Edition) หาก PSA ไต่ขึ้นตลอดเวลาก็ส่อให้เห็นว่า เนื้อร้ายยังคงอยู่ แต่หากว่าไต่ขึ้นและลดลง ก็อาจจะอยู่ในข่ายการกระโดดของตัวอิสระ (Bounce) ซึ่งถือลางว่ายังไม่เด็ดขาดที่เนื้อร้ายยังคงอยู่ โดยสรุปการเฝ้ามองเรื่องต่อมลูกหมากเป็นสิ่งที่ไม่ถึงกับน่ากังวลเท่ากับมะเร็งประเภทอื่นๆ ดังหนังสือกล่าวว่าการเจริญเติบโตของมะเร็งในต่อมลูกหมากนั้นช้ากว่าที่อื่น บ่อยครั้งที่เชื้อร้ายยังคงอยู่แต่เสียชิวิตด้วยโรคอื่น โดยเฉพาะหมู่วัยชรา (ดังนั้น จึงมีการติดตลกว่าหากใครมาบังคับว่าตนต้องเลือกมะเร็งประเภทให้อยู่ในตัวก็ให้เลือกที่ต่อมลูกหมาก เพราะโดยทั่วไปมันเติบโตช้ากว่ามะเร็งที่อยู่ที่อื่นในร่างกาย)
ในหนังสือมีภาษาเทคนิคมาก แต่ก็เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้ได้ว่า คนไข้เองต้องเข้าใจการรักษาโรคนี้ด้วย หนังสือดังกล่าวที่มีคุณหมอ 30 คน ให้ข้อสังเกตว่า Gleason 3+1 ยังถือให้เฝ้าดู หากมากกว่า 3+3 หรือ 6 แล้วจะถือได้ว่าต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
การที่ PSA ของเจ้านายลดลง 0.214 ในเดือนธันวาคม 61 นั้น อาจจะเป็นผลจากความกังวลในเดือนมิถุนายน 61 และคุณหมอช่วงนั้นได้ให้ข้อสังเกตว่ามีผู้ทานขมิ้นชัน ที่เห็นผลทำให้ PSA ลดลงได้ จึงลองทานดู รวมทั้งแครนเบอร์รี่สดด้วย ที่เจ้านายทราบจากคนไข้รายหนึ่ง หาก PSA ยังลดลงได้บ้าง และขึ้นบ้าง (Bounce) ก็ยังไม่ถือว่ามีเค้าแน่ชัดว่ามีเนื้อร้ายในร่างกาย ตอนนี้ก็ได้แต่วัด PSA ทุกสามเดือน และเริ่มงดทานเนื้อแดง นม เนยที่ในหนังสือแนะนำว่าให้เลี่ยง และออกกำลังกาย เดิมไม่ได้เลี่ยงเพราะเข้าใจผิดคิดว่าต่อมลูกหมากตัดออกไปแล้ว ก็หมดไปและสบายใจได้ ซึ่งจากประสบการณ์นี้แล้ว ว่าเมื่อตัดออกแล้วไม่ใช่อิสระเสรี แต่ก็ยังต้องระวังอยู่ เพราะมันกำเริบได้ในช่วง 5 ปีแรก
หวนคำนึงถึงหกปีที่ผ่านมา เจ้านายสรุปได้ดังนี้ :-
1. วิธีที่ไม่ทำอะไรเลยเพียงแต่เฝ้าดู (watchful waiting) หรือ (active surveillance) ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่พี่ชายของเจ้านายได้ยึดไว้ PSA ของท่านเมื่อ 6 ปีที่แล้วอยู่ในระดับเกินเลขสองตัว และปัจจุบันยังเกินเลขสองตัวอยู่ เขาก็ยังปกติดี แต่มีข้อเสียคือ ลึกๆ เขากังวลอยู่ตลอด อย่างไรก็ดีเจ้านายก็นึกหวนหลังถึงทางเลือกนี้ เพราะตนทราบว่ามี PSA สูงตอนอายุ 71 ปีและครอบครัวมี PSA สูงอยู่แล้ว จากคุณพ่อลงมา เราทราบว่าคุณพ่อมี PSA สูงเมื่ออายุแปดสิบกว่า และไม่ได้รักษาและจากไปด้วยโรคชรา อีกประการหนึ่ง หากไม่ได้ทำอะไรเลยโดยเฝ้าวัดและดูอย่างเดียว ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดก็จะไม่มีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเมื่อผ่าตัดแล้ว (เสียอย่างเดียวหากไม่ผ่าตัดและหากกำเริบขึ้นมาและรักษาไม่ทันก็เข้าถึงกระดูกได้ ทั้งนี้ สถิติด้านนี้ว่ามีความเสี่ยงมากเพียงใดยังหาไม่พบ)
2. ตัดต่อมลูกหมากออกก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ 30% ที่อาจจะกำเริบอีกภายในระยะเวลา 5 ปีได้ ดังที่เกิดกับเจ้านาย (เข้าใจผิดมาก่อนว่าตัดไปแล้วจะไม่กำเริบอีก เลยไม่ได้ระมัดระวังเรื่องอาหารการกินเนื้อแดง หมู เนื้อ นม เนย ทานหมดปัจจุบันหยุดทานแล้ว และไม่ทานแม้แต่ชิ้นเดียว) และออกกำลังกายเหงื่อเต็มตัวทุกวัน
3. หากกำเริบหลังผ่าตัด เจ้านายก็ไปฉายแสง จากการฉายแสงแล้วก็อาจจะกำเริบได้อีกเหมือนกัน ให้เฝ้ามอง PSA ว่าเพิ่มขึ้นแบบรวดเร็วถึงสองเท่าหรือไม่ หากขึ้นลงและไม่เพิ่มขึ้นแบบเส้นตรงก็ยังถือว่าเป็นระดับที่น่าพอใจได้ เพราะมีเค้าว่าลดลงบ้าง
เนื่องจากมีการสอบถามเข้ามามากหลังจากมีการแชร์ข้อมูลครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงขอขยายประสบการณ์ต่อไป ทั้งนี้ การรักษาทุกอย่างควรอาศัยการรอบรู้ของคนไข้ด้วย เพื่อการตัดสินใจในทางเลือกที่สมควรในสภาพของตนเอง และปรึกษาคุณหมอหลายๆ ท่านด้วย เพราะโรคนี้ขึ้นอยู่กับทางเลือกหลาย
อย่างรวมทั้งความเสี่ยงที่ตนคิดว่ารับได้ กับคุณภาพชีวิตที่อาจจะทรงไว้หรือด้อยลงดังเปรียบเทียบได้ระหว่างตัวท่านเองที่ผ่านการผ่าตัดและฉายแสงกับพี่ชายที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
ทั้งนี้ การที่เจ้านายมาลงในเพจนี้ เป็นเพียงเพื่อการแชร์ข้อมูลที่ประสบมาในฐานะคนไข้คนหนึ่งที่อยากจะให้ผู้ตกอยู่ชะตากรรมเดียวกันมีความรู้บ้าง และเป็นพื้นฐานในการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ในแต่ละสาขา