สมมุตตินะคะว่าถ้าเป็นเพื่อนในพันทิปจะตัดสินใจยังไงดี เราเองก็ลำบากใจ
ขอเริ่มแรกเลย สาเหตุที่เราเลิกกับแฟนเก่านั้นก็เพราะเขาไม่ค่อยได้เรื่องค่ะ (คบมา 5 ปี)
ไม่ใช่เพราะเขา เจ้าชู้ ติดยา ติดการพนัน ติดเพื่อน บ้าเที่ยว ชอบทำร้ายหรืออะไรนะคะแต่เป็นผู้ชายประเภทแบบ
1.ไม่เก่งงานด้านที่ผู้ชายควรจะเป็น และไม่แมน ทำอะไรงกๆเงิ่นๆ
เช่น ให้ช่วยปีนต้นไม้ไปเลื่อยกิ่งไม้ ก็ทำแบบเหมือนเด็กหัดปีน แรงก็น้อย กว่าจะเลื่อยขาดสักกิ่งก็นานจนทนดูไม่ได้ เราเลยปีนไปจัดการเอง
ตอน เปลี่ยนหลอดไฟ ก็ทำไม่เป็น พอเสียบขาหลอดอีกคู่ ก็ใส่อีกคู่ไม่เข้า ทำไปทำมา หลอดไฟหลุด ตกแตก ดีที่ไม่โดนหัวเรา
ตอนทำอาหาร ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เวลาใช้ทอดของก็ทำตัวเหมือนอยู่ในหนังสงคราม เอาตลิวเป็นดาบเอาฝาหม้อเป็นโล่ สุดท้ายโดนน้ำมันประทุ
กระเด็นใส่มือ ก็หยุดทันทีและวิ่งหายามาทาแบบอยู่ไม่สุขและไม่ทำต่อแล้ว นอกจากเรื่องนี้ งานช่าง งานซ่อมก็ทำไม่เป็นสักอย่าง
2. ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็น และไม่คิดจะขี่
เนื่องจากตอนวัยรุ่นนั้น เขาเคยไปหัดขี่มอเตอร์ไซค์กับเพื่อน และเพื่อนเขาเกิดอุบัติเหตุ เจ็บหนัก เขามองว่าขนาดเพื่อนที่ยังขี่เก่ง ยังพลาด แล้วเขาล่ะ
ถ้าพลาดมาจะไม่ยิ่งกว่านั้นเหรอ อีกอย่าง เขาเคยเจออุบัติเหตุซึ่งหน้าต่อหน้าต่อตา เจอคนขี่มอไซค์โดนรถชน หัวไปฟาดฟุตบาท แขนขาหัก พอคนไปตรวจก็พบว่าตายแล้ว(ขนาดใส่หมวกกันน๊อค)ทำให้เขากลัว และบอกว่า เหล็กหุ้มเนื้อดีกว่าเนื้อหุ้มเหล็ก ยังไงก็ให้มีรถยนต์ก่อนดีกว่าแล้วค่อยหัด
ซึ่งทำให้ เวลาไปไหนมาไหน ก็เดินทาง ไป มาหาเราด้วยรถเมย์ ไม่ก็ซ้อนท้ายมอไซค์เรา บางครั้งเราก็อายนะ เวลาเพื่อนทักหรือคนอื่นมอง
3. จอมโปรเจค คิดโน่นคิดนี่ อยากรวย แต่ไปไม่เป็นสักอย่าง
เขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือค่ะ แต่จะเป็นหนังสือ แนว พ่อรวยสอนลูก แนวการตลาด สอนทำธุรกิจ และหนังสือที่จุดInspiration ของเศรษฐีต่างๆ
แต่อ่านอยู่นั่นแหละ อ่านอย่างเดียว แต่เอามาประยุกต์ใช้ไม่เป็น ได้แต่เสนอไอเดียธุรกิจที่ต้องใช้เงินเริ่มต้นเยอะๆทั้งนั้น
พอเราถามว่าถ้าจะเริ่มจากเงินน้อยๆก่อนทำยังไง เขาบอกว่า ไม่รู้สิ ขายขนมมั้ง ไม่ก็ของกิน….-_-
4.ร่วมค้าขายอะไรด้วยก็มีแต่ขาดทุน ไม่ก้าวหน้าสักอย่าง
ขอยกตัวอย่างสัก 3 แบบนะคะ (ตามจริงยังมีอีกมาก)
ถัดจากหัวข้อข้างบน ตอนที่เขาเรียนปีสุดท้าย ก็ได้ชวนกันทำขนมโคกับมะม่วงขายในเวลาว่าง เดินไปขายตามสวนสาธารณะ แบบแบ่งกันเดินขาย
ของกินแบบแห้งก็ทำเช่นกันเช่นพวกถั่วทอดและข้าวเกรียบ ก็ไปฝากตามร้านอาหาร ร้านกาแฟ ทำจนจบภาคเรียนสรุปหักต้นทุนและค่าใช้จ่าย ของเหลือ ก็ได้กำไรมาแค่ 1,800 ซึ่งไม่คุ้มค่าเหนื่อยซะเลย
หลังจากเขาเรียนจบ พอได้ทำงานออฟฟิส ผ่านโปรสามเดือน ก็ลาออก บอกไม่อยากเป็นลูกจ้าง และ ชวนเรามาเปิดร้านขายผัดไท และส้มตำ เงินเขาลงทุนและเช่าที่เปิดร้าน ปรากฎว่า ไม่ได้ดีอย่างที่คิด ห้องแถวที่เช่าหน้าแคบ เจอรถคันใหญ่จอดคันเดียวก็แทบมิดหน้าร้านแล้ว จะว่าใครเขาก็ไม่ได้เพราะเป็นถนนสาธารณะ อีกทั้งสายป่านไม่ยาวพอ เพราะธุรกิจเพิ่งเริ่ม ยังไม่เป็นที่รู้จัก ถึงจะอร่อยยังไง หรือแจกใบปลิวก็ยังช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นไม่กี่เดือนก็ต้องปิด
จากนั้น เรากับเขาก็มาเช่าที่ในงานเทศกาล ขายไส้กรอก กับ ไข้ม้วน แต่ก็ดันจับฉลากได้ล็อกด้านในบริเวณ ในบริเวณที่คนผ่านไม่มาก ก็พอขายได้บ้าง พอครบเจ็ดวัน รายได้หักค่าใช้จ่าย ก็ได้มาแค่ไม่กี่ร้อย
และบ่อยครั้งเรามักจะถามว่าทำไม่ไม่เอาความรู้ในหนังสือที่อ่านมาปรับใช้บ้าง เขาบอกว่าเขาไม่รู้ ทำไม่เป็น ยังหาทางไม่เจอ
5.ชอบให้เราทำตัวเป็นแม่ศรีเรือน เป็นกุลสตรีไทย แต่เราไม่ค่อยชอบ
เป็นธรรมดาของคนสมัยนี้นะ ที่ต้อง มีการทำสีผม ทำเล็บ แต่งหน้า นุ่งสั้นบ้าง เปรี้ยวบ้าง แต่เขาไม่ชอบค่ะ
เขาชอบแบบ แต่งตัวเรียบๆ สีผมดำธรรมชาติ หน้าไม่ต้องแต่ง เล็บไม่ต้องทา เขาว่าน่ารักเป็นธรรมชาติดี และเรารู้สึกอึดอัดหน่อยๆค่ะ เหมือนมันแกมบังคับยังไงก็ไม่รู้ แต่ตอนนั้นยังรักกันอยู่เราเลยไม่คิดอะไรมาก และทำตามที่เขาบอก
อีกเรื่องนะคะคือเรื่องงานบ้าน เขาไม่ชอบทำ และมักบอกว่าควรเป็นหน้าที่ผู้หญิง เวลาขอความร่วมมือ เขาก็ให้นะแต่ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก
6.ฝันสูงทะลุฟ้าไปไกล ฝันเฟื่อง แบบไม่ดูความสามารถตัวเอง หรือ ทุนทรัพย์ปัจจุบันที่มีเลย
เขามักบอกเสมอ เขาฝันว่าสักวันอยากจะเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวย มีเวลา มีความสบาย และอยากช่วยเหลือผู้คน
เช่น คอยดูนะถ้ารวยเป็นหมื่นล้าน เขาจะสร้าง โรงพยาบาลเอกชนแบบรัฐวิสาหกิจ ที่คิดราคาค่ารักษาแบบเป็นธรรม คือ แพงกว่า ร.พ.รัฐ พอประมาณ แต่ไม่แพงโหดร้าย เหมือน ร.พ.เอกชนหลายเจ้า แถมราคาถูกกว่าเกือบครึ่ง เอากำไรแบบพอควร
อยากจะสร้างศูนย์บำบัดคนเร่ร่อน คนบ้า แบบการกุศล พอเขาหายก็สอนงานเสริมอาชีพให้
อยากจะเปิดบ้านพักคนชราระยะสุดท้าย ที่โสดไม่มีทุนทรัพย์ให้มาอยู่ฟรีๆ และจะเปิดบริษัท เนิชเซอรี่คนแก่ เมื่อมีคนสนใจเป็นทีมงาน ก็จะให้ฝึกงานทดลองดูแล คนแก่ชุดแรกที่อยู่ฟรี โดยมีพี่เลี้ยงคอยสอนกำกับดูแล ให้หัดป้อนข้าวน้ำ ให้อาหารทางสาย หัดเช็ดของเสีย เปลี่ยนผ้าอ้อม ดูแลแผลคนแก่ติดเตียง และการบริการต่างๆ เมื่อทีมงานฝึกจนมีประสบการณ์แล้ว ก็จะส่งออกไปทำงาน หาเงินกับพวกลูกค้า ที่มีอันจะกิน และจะมีการติดกล้องสอดส่องดูพฤติกรรมทีมงานตลอดเวลางาน
เมื่อได้เงินมาแล้วก็จัดสรรแบ่งกัน ส่วนนึงก็จะแบ่งเอามาดูแลคนแก่อยู่ฟรีที่ทำหน้าที่คล้ายอาจารย์ใหญ่ ส่วนนึงก็เอาเข้าบริษัท อีกส่วนก็ค่าจ้างทีมงาน
เขาบอกว่า ยังมีอีกหลายอย่างนะที่จะช่วยพัฒนาสังคมได้ 555
เราก็สวนกลับไปว่า ก็ดีนะดูดีทีเดียวเลยที่จะพัฒนาสังคม แล้วเธอล่ะ พัฒนาตัวเองรึยัง วางแผนดูแลคนอื่น แล้วมองดูตัวเองหน่อยนะว่าจะดูแลตัวเองในปัจจุบัน หรืออนาคตอันใกล้ยังไง เขาก็ อ้ำๆอึ้งๆ แล้วก็บอกว่า เออน่า..คอยดูไปก่อน
อีกเรื่องคือเขาชอบรถหรูมากๆ พวก supercar นี่รู้แทบทุกรุ่น (อันนี้ขอไม่วิจารย์นะคะเพราะเป็นความชอบส่วนตัวแต่ละคน)
7.เป็นคู่คิดหรือที่ปรึกษาที่ดีไม่ได้
เวลาเรามีปัญหาหรือมีเรื่องหนักใจ มักจะไม่เสนอทางออกหรือทางเลือก มักจะฟัง แล้ว ก็บอก อ่อ… อืมๆ…
แล้วก็ปลอบว่าอย่าเครียดนะ ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง เดี๋ยวคงดีเอง ให้กำลังใจนะ เชื่อว่าเธอแก้ปัญหาได้เก่งอยู่แล้ว สู้ๆ
บางครั้งก็ชอบยิงมุขตลกแห้งๆเพื่อไม่ให้เราเครียด แต่กลายเป็นว่าไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย มุขไม่ฮาพาเพื่อนเครียด
8. เป็นคนที่ไม่ค่อย แอคทีฟ หัวช้า และทำงานค่อนข้างช้า
9. อยู่ในอานัติพ่อแม่มากเกินไป ไม่กล้าขัดคำสั่ง ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไปไหนต้องรายงานตลอด
10. ช่วงนึงเราเคยไปพักอยู่บ้านเขา แต่แม่เขาชอบพูดจุดเสียต่างๆของแฟนเราให้ฟัง และที่บ้านนั้นแม่เขามักจะไม่ค่อยเกรงใจมากนัก บางครั้งก็ตะคอกเสียงเรียกแฟนตอนเช้า บางครั้งก็ด่าแฟนเราให้ได้ยินต่อหน้า แต่แกก็ใจดีกับเรานะ แม้จะอึดอัดบ้าง เพราะแกเป็นกันเอ๊งกันเองมากไป แต่เราก็ได้เห็นข้อเสียจุกจิกเขาอีกเยอะเลย (ขืนอยู่บ้านนี้ต่อไปจะเป็นไงบ้างน้า)
แต่จะว่าไปแล้วคนเราจะมีแต่ข้อเสียก็ไม่ได้ ข้อดีเขาก็มีค่ะ คือ
1.เป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย ไม่พูดคำหยาบเลย นิสัยอ่อนหวาน นอบน้อม ผู้หลักผู้ใหญ่ชอบ
2.เป็นคนไม่ชอบโกหก คำไหนคำนั้น
3.เป็นคนซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่เคยเจ้าชู้
4. เป็นคนใจเย็น ไม่โกรธง่าย มีอารมณ์สุนทรีย์ ชอบศิลปะ ว่างๆมักจะชอบ วาดลวดลายต่างๆในกระดาษ
5. เป็นคนใจดี มีน้ำใจ เวลาไปไหนมาไหนมักจะซื้อของมาฝาก เวลากินข้าว ก็จะเลี้ยงเราตลอดไม่ให้เราออกเลย เขาบอกว่าเป็นหน้าที่ผู้ชายที่ควรดูแลเรื่องนี้ และเขาก็เต็มใจทำ
6. ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะมองดูตัวเองก่อนที่จะโทษคนอื่น
7. เป็นคนมีความมุ่งมั่นสูง ถ้าอยากจะได้อะไรแล้วก็จะพยามยามเต็มความสามารถ แม้จะไม่ขยันก็เถอะ
เอาล่ะค่ะ ที่กล่าวมาข้างต้น นั่นคือสาเหตุ แม้ว่าเขามีข้อดี แต่เมื่อหักลบกับข้อเสีย เราก็หนักใจเหมือนกัน
เมื่อคบกับเขา นานวันเข้าเรื่อยๆ เราก็รู้สึกเบื่อ รู้สึกความรักที่มีนั้นมันจืดจางลงเรื่อยๆ จนหมดรัก และเริ่มมีแต่ความเบื่อหน่ายและเหนื่อยใจ
เรามองย้อนดูตัวเองว่า เราก็มีความเก่งมีความสามารถ และก็มีทางเลือกมากมายที่จะทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แล้วทำไมไม่ลองดู
จะมาจมปลักกับคนแบบนี้ทำไมตั้ง 5 ปี เราเลยบอกกับเขาไปว่า ให้โอกาสเขาอีกห้าเดือนในการพัฒนาตัวเอง
แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ตอนคบกันช่วงแรกๆ เราก็รู้นะ ว่า เขาพยายามพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เห็นก้าวหน้าสักที และเรารู้นะว่าเขาจะพยายามมาก เพื่อเรา และเขาคิดอยากจะเป็นผู้นำครอบครัวเรา ในอนาคต
และเมื่อผ่านไปห้าเดือนทุกอย่างก็เหมือนเดิม ต่างกันหน่อยตรงที่เขากลับไปเป็นพนักงานออฟฟิสแบบเมื่อก่อน เราก็เลยรู้สึกว่า
พอกันที เราต้องตัดใจแล้ว เราเองก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ จะเสียเวลาชีวิตคบอยู่ต่ออีกทำไม ถ้าเรามีดีพอที่จะไปต่อ
ถ้าเกิดเรามีเรื่องเดือดร้อน เขาจะพึ่งพาได้ไหม ก็ไม่
ถ้าเกิดเขาอยากเป็นผู้นำครอบครัวเราจริง เขามีแววสามารถช่วยเหลือครอบครัวเราได้ไหม ก็ไม่
ถ้าเกิดเราเจ็บป่วยทำงานไม่ได้หลายเดือน จะฝากผีฝากไข้เป็นธุระด้วย ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
เราเลยตัดสินใจที่จะห่างออกจากเขา โดยการ ไปทำงานที่กรุงเทพ แล้วบอกว่าถ้ามีเวลาจะกลับมาหา
พอได้ทำงานที่ใหม่ เป็นผู้ช่วยไกด์ เราก็รู้สึกอิสระ จะทำอะไรก็ได้ทำ อยากทำสีผมแรงๆก็ทำ อยากแต่งหน้าจัดก็แต่ง อยากแต่งตัวแบบไหนก็จัดไปตามใจ และเราก็มีความสามารถที่คนในที่ทำงานต่างยกยอว่าเราเก่ง หลังจากนั้นไม่นานเราก็ไปสอบบัตรไกด์ได้ ก็ออกไปทำงานกับ บริษัททัวร์ ตอนนั้น เราก็มีความสุขดีนะ มีแฟนกับไม่มีแฟนก็ไม่ต่างกันมาก แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังโทรหาแฟนอยู่บ้าง แต่ยิ่งนานวัน เราก็เริ่มห่างเรื่อยๆ เริ่มโทรคุยกันน้อยลง ก็มีแต่เขาฝ่ายเดียวที่โทรหาเราอยู่
แต่แล้ววันหนึ่ง มีคนอินเดียคนหนึ่งมาชวนเราคุย (พูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดีย)ถามประมาณว่ามาทำงานที่นี่นานรึยัง งานเป็นไงบ้างหนักไหม ประมาณนี้ ตอนแรกๆเราก็เฉยๆนะ พอไปถามเจ้าของบริษัททัวร์ เขาก็ว่านั่นเพื่อนเขา รู้จักกัน ทำหน้าที่ช่วยเป็นมาเก็ตติ้งในการรับลูกค้าจากอินเดีย พอนานวันเข้า เขาก็เริ่มชอบเข้ามาคุยกับเราเรื่อยๆ จนเราเริ่มสนิทกัน และคุยถูกคอกันมากขึ้นอีก
ระยะเวลาผ่านไปได้ประมาณครึ่งปี เขาก็ขอเราเป็นแฟน ตอนนั้นเราก็ยินดีนะ ส่วนเรื่องแฟนเก่า เราก็พอติดต่อกันบ้าง
แต่เราก็รู้สึกเฉยๆกับเขาไปแล้ว มีอยู่วันหนึ่งเราตัดสินใจโทรไปบอกเลิก บอกให้เขาไปหาคนใหม่เถอะ เขาไม่ยอมค่ะ ขอร้องสารพัด บอกว่าให้เวลากันหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ไม่เป็นไรเขาขอเวลาทำใจ แต่อย่าตัดการติดต่อกับเขาเลย เขา
เราก็ตามใจค่ะ
ผ่านไปอีกสามเดือน ตอนนั้นคนเก่าโทรมาหาเรา ก็พูดคุยว่าชีวิตเป็นไงบ้าง เขาบอกว่า เขามาเปิดร้านขายบะหมี่ต้มยำได้ประมาณเดือนนึง ขายได้วันละ 2-5 ถ้วย และคุยเรื่องสัพเพเหระหัวเราะกันบ้าง ตอนนั้นเองแฟนอินเดียเราเดินมาถามว่าคุยกับใคร เราก็บอกไปว่าเพื่อนสมัยเรียน
จากนั้นไม่นาน ประมาณ 2 อาทิตย์ เราเผลอออกไปข้างนอกวางโน๊ตบุคไว้หน้าโต๊ะทำงานในออฟฟิสโดยไม่ได้ปิดจอเฟสบุคไว้ แล้วแฟนอินเดียเรา ก็มาดูการแชทระหว่างเรากับแฟนเก่าเรา แล้วแอบถ่ายรูปไปให้คนไทยแปลให้ วันรุ่งขึ้นเขาบอกว่า เรื่องแฟนเก่าน่ะ เลิกติดต่อได้ไหม เขาขอ
เราเองก็ตอบตกลง และลบเพื่อนโชว์ บล็อคเบอร์โชว์ เพื่อให้เขาไว้ใจและแสดงให้เห็นว่าเราจริงใจกับเขา โดยไม่คิดนอกใจไปหาแฟนเก่า ซึ่งตอนนั้นเราก็ทำด้วยความเต็มใจนะ เป็นแฟนกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างควรสบายใจต่อกันที่สุด
แฟนเก่าที่จากกัน10 ปีที่แล้ว ตอนนี้พัฒนาตัวเองไปมาก มาขอคบกับเราตอนที่เราแต่งงานแล้ว ทำไงดีคะ รู้สึกลำบากใจ
ขอเริ่มแรกเลย สาเหตุที่เราเลิกกับแฟนเก่านั้นก็เพราะเขาไม่ค่อยได้เรื่องค่ะ (คบมา 5 ปี)
ไม่ใช่เพราะเขา เจ้าชู้ ติดยา ติดการพนัน ติดเพื่อน บ้าเที่ยว ชอบทำร้ายหรืออะไรนะคะแต่เป็นผู้ชายประเภทแบบ
1.ไม่เก่งงานด้านที่ผู้ชายควรจะเป็น และไม่แมน ทำอะไรงกๆเงิ่นๆ
เช่น ให้ช่วยปีนต้นไม้ไปเลื่อยกิ่งไม้ ก็ทำแบบเหมือนเด็กหัดปีน แรงก็น้อย กว่าจะเลื่อยขาดสักกิ่งก็นานจนทนดูไม่ได้ เราเลยปีนไปจัดการเอง
ตอน เปลี่ยนหลอดไฟ ก็ทำไม่เป็น พอเสียบขาหลอดอีกคู่ ก็ใส่อีกคู่ไม่เข้า ทำไปทำมา หลอดไฟหลุด ตกแตก ดีที่ไม่โดนหัวเรา
ตอนทำอาหาร ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เวลาใช้ทอดของก็ทำตัวเหมือนอยู่ในหนังสงคราม เอาตลิวเป็นดาบเอาฝาหม้อเป็นโล่ สุดท้ายโดนน้ำมันประทุ
กระเด็นใส่มือ ก็หยุดทันทีและวิ่งหายามาทาแบบอยู่ไม่สุขและไม่ทำต่อแล้ว นอกจากเรื่องนี้ งานช่าง งานซ่อมก็ทำไม่เป็นสักอย่าง
2. ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็น และไม่คิดจะขี่
เนื่องจากตอนวัยรุ่นนั้น เขาเคยไปหัดขี่มอเตอร์ไซค์กับเพื่อน และเพื่อนเขาเกิดอุบัติเหตุ เจ็บหนัก เขามองว่าขนาดเพื่อนที่ยังขี่เก่ง ยังพลาด แล้วเขาล่ะ
ถ้าพลาดมาจะไม่ยิ่งกว่านั้นเหรอ อีกอย่าง เขาเคยเจออุบัติเหตุซึ่งหน้าต่อหน้าต่อตา เจอคนขี่มอไซค์โดนรถชน หัวไปฟาดฟุตบาท แขนขาหัก พอคนไปตรวจก็พบว่าตายแล้ว(ขนาดใส่หมวกกันน๊อค)ทำให้เขากลัว และบอกว่า เหล็กหุ้มเนื้อดีกว่าเนื้อหุ้มเหล็ก ยังไงก็ให้มีรถยนต์ก่อนดีกว่าแล้วค่อยหัด
ซึ่งทำให้ เวลาไปไหนมาไหน ก็เดินทาง ไป มาหาเราด้วยรถเมย์ ไม่ก็ซ้อนท้ายมอไซค์เรา บางครั้งเราก็อายนะ เวลาเพื่อนทักหรือคนอื่นมอง
3. จอมโปรเจค คิดโน่นคิดนี่ อยากรวย แต่ไปไม่เป็นสักอย่าง
เขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือค่ะ แต่จะเป็นหนังสือ แนว พ่อรวยสอนลูก แนวการตลาด สอนทำธุรกิจ และหนังสือที่จุดInspiration ของเศรษฐีต่างๆ
แต่อ่านอยู่นั่นแหละ อ่านอย่างเดียว แต่เอามาประยุกต์ใช้ไม่เป็น ได้แต่เสนอไอเดียธุรกิจที่ต้องใช้เงินเริ่มต้นเยอะๆทั้งนั้น
พอเราถามว่าถ้าจะเริ่มจากเงินน้อยๆก่อนทำยังไง เขาบอกว่า ไม่รู้สิ ขายขนมมั้ง ไม่ก็ของกิน….-_-
4.ร่วมค้าขายอะไรด้วยก็มีแต่ขาดทุน ไม่ก้าวหน้าสักอย่าง
ขอยกตัวอย่างสัก 3 แบบนะคะ (ตามจริงยังมีอีกมาก)
ถัดจากหัวข้อข้างบน ตอนที่เขาเรียนปีสุดท้าย ก็ได้ชวนกันทำขนมโคกับมะม่วงขายในเวลาว่าง เดินไปขายตามสวนสาธารณะ แบบแบ่งกันเดินขาย
ของกินแบบแห้งก็ทำเช่นกันเช่นพวกถั่วทอดและข้าวเกรียบ ก็ไปฝากตามร้านอาหาร ร้านกาแฟ ทำจนจบภาคเรียนสรุปหักต้นทุนและค่าใช้จ่าย ของเหลือ ก็ได้กำไรมาแค่ 1,800 ซึ่งไม่คุ้มค่าเหนื่อยซะเลย
หลังจากเขาเรียนจบ พอได้ทำงานออฟฟิส ผ่านโปรสามเดือน ก็ลาออก บอกไม่อยากเป็นลูกจ้าง และ ชวนเรามาเปิดร้านขายผัดไท และส้มตำ เงินเขาลงทุนและเช่าที่เปิดร้าน ปรากฎว่า ไม่ได้ดีอย่างที่คิด ห้องแถวที่เช่าหน้าแคบ เจอรถคันใหญ่จอดคันเดียวก็แทบมิดหน้าร้านแล้ว จะว่าใครเขาก็ไม่ได้เพราะเป็นถนนสาธารณะ อีกทั้งสายป่านไม่ยาวพอ เพราะธุรกิจเพิ่งเริ่ม ยังไม่เป็นที่รู้จัก ถึงจะอร่อยยังไง หรือแจกใบปลิวก็ยังช่วยไม่ได้ หลังจากนั้นไม่กี่เดือนก็ต้องปิด
จากนั้น เรากับเขาก็มาเช่าที่ในงานเทศกาล ขายไส้กรอก กับ ไข้ม้วน แต่ก็ดันจับฉลากได้ล็อกด้านในบริเวณ ในบริเวณที่คนผ่านไม่มาก ก็พอขายได้บ้าง พอครบเจ็ดวัน รายได้หักค่าใช้จ่าย ก็ได้มาแค่ไม่กี่ร้อย
และบ่อยครั้งเรามักจะถามว่าทำไม่ไม่เอาความรู้ในหนังสือที่อ่านมาปรับใช้บ้าง เขาบอกว่าเขาไม่รู้ ทำไม่เป็น ยังหาทางไม่เจอ
5.ชอบให้เราทำตัวเป็นแม่ศรีเรือน เป็นกุลสตรีไทย แต่เราไม่ค่อยชอบ
เป็นธรรมดาของคนสมัยนี้นะ ที่ต้อง มีการทำสีผม ทำเล็บ แต่งหน้า นุ่งสั้นบ้าง เปรี้ยวบ้าง แต่เขาไม่ชอบค่ะ
เขาชอบแบบ แต่งตัวเรียบๆ สีผมดำธรรมชาติ หน้าไม่ต้องแต่ง เล็บไม่ต้องทา เขาว่าน่ารักเป็นธรรมชาติดี และเรารู้สึกอึดอัดหน่อยๆค่ะ เหมือนมันแกมบังคับยังไงก็ไม่รู้ แต่ตอนนั้นยังรักกันอยู่เราเลยไม่คิดอะไรมาก และทำตามที่เขาบอก
อีกเรื่องนะคะคือเรื่องงานบ้าน เขาไม่ชอบทำ และมักบอกว่าควรเป็นหน้าที่ผู้หญิง เวลาขอความร่วมมือ เขาก็ให้นะแต่ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก
6.ฝันสูงทะลุฟ้าไปไกล ฝันเฟื่อง แบบไม่ดูความสามารถตัวเอง หรือ ทุนทรัพย์ปัจจุบันที่มีเลย
เขามักบอกเสมอ เขาฝันว่าสักวันอยากจะเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวย มีเวลา มีความสบาย และอยากช่วยเหลือผู้คน
เช่น คอยดูนะถ้ารวยเป็นหมื่นล้าน เขาจะสร้าง โรงพยาบาลเอกชนแบบรัฐวิสาหกิจ ที่คิดราคาค่ารักษาแบบเป็นธรรม คือ แพงกว่า ร.พ.รัฐ พอประมาณ แต่ไม่แพงโหดร้าย เหมือน ร.พ.เอกชนหลายเจ้า แถมราคาถูกกว่าเกือบครึ่ง เอากำไรแบบพอควร
อยากจะสร้างศูนย์บำบัดคนเร่ร่อน คนบ้า แบบการกุศล พอเขาหายก็สอนงานเสริมอาชีพให้
อยากจะเปิดบ้านพักคนชราระยะสุดท้าย ที่โสดไม่มีทุนทรัพย์ให้มาอยู่ฟรีๆ และจะเปิดบริษัท เนิชเซอรี่คนแก่ เมื่อมีคนสนใจเป็นทีมงาน ก็จะให้ฝึกงานทดลองดูแล คนแก่ชุดแรกที่อยู่ฟรี โดยมีพี่เลี้ยงคอยสอนกำกับดูแล ให้หัดป้อนข้าวน้ำ ให้อาหารทางสาย หัดเช็ดของเสีย เปลี่ยนผ้าอ้อม ดูแลแผลคนแก่ติดเตียง และการบริการต่างๆ เมื่อทีมงานฝึกจนมีประสบการณ์แล้ว ก็จะส่งออกไปทำงาน หาเงินกับพวกลูกค้า ที่มีอันจะกิน และจะมีการติดกล้องสอดส่องดูพฤติกรรมทีมงานตลอดเวลางาน
เมื่อได้เงินมาแล้วก็จัดสรรแบ่งกัน ส่วนนึงก็จะแบ่งเอามาดูแลคนแก่อยู่ฟรีที่ทำหน้าที่คล้ายอาจารย์ใหญ่ ส่วนนึงก็เอาเข้าบริษัท อีกส่วนก็ค่าจ้างทีมงาน
เขาบอกว่า ยังมีอีกหลายอย่างนะที่จะช่วยพัฒนาสังคมได้ 555
เราก็สวนกลับไปว่า ก็ดีนะดูดีทีเดียวเลยที่จะพัฒนาสังคม แล้วเธอล่ะ พัฒนาตัวเองรึยัง วางแผนดูแลคนอื่น แล้วมองดูตัวเองหน่อยนะว่าจะดูแลตัวเองในปัจจุบัน หรืออนาคตอันใกล้ยังไง เขาก็ อ้ำๆอึ้งๆ แล้วก็บอกว่า เออน่า..คอยดูไปก่อน
อีกเรื่องคือเขาชอบรถหรูมากๆ พวก supercar นี่รู้แทบทุกรุ่น (อันนี้ขอไม่วิจารย์นะคะเพราะเป็นความชอบส่วนตัวแต่ละคน)
7.เป็นคู่คิดหรือที่ปรึกษาที่ดีไม่ได้
เวลาเรามีปัญหาหรือมีเรื่องหนักใจ มักจะไม่เสนอทางออกหรือทางเลือก มักจะฟัง แล้ว ก็บอก อ่อ… อืมๆ…
แล้วก็ปลอบว่าอย่าเครียดนะ ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง เดี๋ยวคงดีเอง ให้กำลังใจนะ เชื่อว่าเธอแก้ปัญหาได้เก่งอยู่แล้ว สู้ๆ
บางครั้งก็ชอบยิงมุขตลกแห้งๆเพื่อไม่ให้เราเครียด แต่กลายเป็นว่าไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย มุขไม่ฮาพาเพื่อนเครียด
8. เป็นคนที่ไม่ค่อย แอคทีฟ หัวช้า และทำงานค่อนข้างช้า
9. อยู่ในอานัติพ่อแม่มากเกินไป ไม่กล้าขัดคำสั่ง ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไปไหนต้องรายงานตลอด
10. ช่วงนึงเราเคยไปพักอยู่บ้านเขา แต่แม่เขาชอบพูดจุดเสียต่างๆของแฟนเราให้ฟัง และที่บ้านนั้นแม่เขามักจะไม่ค่อยเกรงใจมากนัก บางครั้งก็ตะคอกเสียงเรียกแฟนตอนเช้า บางครั้งก็ด่าแฟนเราให้ได้ยินต่อหน้า แต่แกก็ใจดีกับเรานะ แม้จะอึดอัดบ้าง เพราะแกเป็นกันเอ๊งกันเองมากไป แต่เราก็ได้เห็นข้อเสียจุกจิกเขาอีกเยอะเลย (ขืนอยู่บ้านนี้ต่อไปจะเป็นไงบ้างน้า)
แต่จะว่าไปแล้วคนเราจะมีแต่ข้อเสียก็ไม่ได้ ข้อดีเขาก็มีค่ะ คือ
1.เป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย ไม่พูดคำหยาบเลย นิสัยอ่อนหวาน นอบน้อม ผู้หลักผู้ใหญ่ชอบ
2.เป็นคนไม่ชอบโกหก คำไหนคำนั้น
3.เป็นคนซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่เคยเจ้าชู้
4. เป็นคนใจเย็น ไม่โกรธง่าย มีอารมณ์สุนทรีย์ ชอบศิลปะ ว่างๆมักจะชอบ วาดลวดลายต่างๆในกระดาษ
5. เป็นคนใจดี มีน้ำใจ เวลาไปไหนมาไหนมักจะซื้อของมาฝาก เวลากินข้าว ก็จะเลี้ยงเราตลอดไม่ให้เราออกเลย เขาบอกว่าเป็นหน้าที่ผู้ชายที่ควรดูแลเรื่องนี้ และเขาก็เต็มใจทำ
6. ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะมองดูตัวเองก่อนที่จะโทษคนอื่น
7. เป็นคนมีความมุ่งมั่นสูง ถ้าอยากจะได้อะไรแล้วก็จะพยามยามเต็มความสามารถ แม้จะไม่ขยันก็เถอะ
เอาล่ะค่ะ ที่กล่าวมาข้างต้น นั่นคือสาเหตุ แม้ว่าเขามีข้อดี แต่เมื่อหักลบกับข้อเสีย เราก็หนักใจเหมือนกัน
เมื่อคบกับเขา นานวันเข้าเรื่อยๆ เราก็รู้สึกเบื่อ รู้สึกความรักที่มีนั้นมันจืดจางลงเรื่อยๆ จนหมดรัก และเริ่มมีแต่ความเบื่อหน่ายและเหนื่อยใจ
เรามองย้อนดูตัวเองว่า เราก็มีความเก่งมีความสามารถ และก็มีทางเลือกมากมายที่จะทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น แล้วทำไมไม่ลองดู
จะมาจมปลักกับคนแบบนี้ทำไมตั้ง 5 ปี เราเลยบอกกับเขาไปว่า ให้โอกาสเขาอีกห้าเดือนในการพัฒนาตัวเอง
แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ตอนคบกันช่วงแรกๆ เราก็รู้นะ ว่า เขาพยายามพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เห็นก้าวหน้าสักที และเรารู้นะว่าเขาจะพยายามมาก เพื่อเรา และเขาคิดอยากจะเป็นผู้นำครอบครัวเรา ในอนาคต
และเมื่อผ่านไปห้าเดือนทุกอย่างก็เหมือนเดิม ต่างกันหน่อยตรงที่เขากลับไปเป็นพนักงานออฟฟิสแบบเมื่อก่อน เราก็เลยรู้สึกว่า
พอกันที เราต้องตัดใจแล้ว เราเองก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ จะเสียเวลาชีวิตคบอยู่ต่ออีกทำไม ถ้าเรามีดีพอที่จะไปต่อ
ถ้าเกิดเรามีเรื่องเดือดร้อน เขาจะพึ่งพาได้ไหม ก็ไม่
ถ้าเกิดเขาอยากเป็นผู้นำครอบครัวเราจริง เขามีแววสามารถช่วยเหลือครอบครัวเราได้ไหม ก็ไม่
ถ้าเกิดเราเจ็บป่วยทำงานไม่ได้หลายเดือน จะฝากผีฝากไข้เป็นธุระด้วย ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
เราเลยตัดสินใจที่จะห่างออกจากเขา โดยการ ไปทำงานที่กรุงเทพ แล้วบอกว่าถ้ามีเวลาจะกลับมาหา
พอได้ทำงานที่ใหม่ เป็นผู้ช่วยไกด์ เราก็รู้สึกอิสระ จะทำอะไรก็ได้ทำ อยากทำสีผมแรงๆก็ทำ อยากแต่งหน้าจัดก็แต่ง อยากแต่งตัวแบบไหนก็จัดไปตามใจ และเราก็มีความสามารถที่คนในที่ทำงานต่างยกยอว่าเราเก่ง หลังจากนั้นไม่นานเราก็ไปสอบบัตรไกด์ได้ ก็ออกไปทำงานกับ บริษัททัวร์ ตอนนั้น เราก็มีความสุขดีนะ มีแฟนกับไม่มีแฟนก็ไม่ต่างกันมาก แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังโทรหาแฟนอยู่บ้าง แต่ยิ่งนานวัน เราก็เริ่มห่างเรื่อยๆ เริ่มโทรคุยกันน้อยลง ก็มีแต่เขาฝ่ายเดียวที่โทรหาเราอยู่
แต่แล้ววันหนึ่ง มีคนอินเดียคนหนึ่งมาชวนเราคุย (พูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดีย)ถามประมาณว่ามาทำงานที่นี่นานรึยัง งานเป็นไงบ้างหนักไหม ประมาณนี้ ตอนแรกๆเราก็เฉยๆนะ พอไปถามเจ้าของบริษัททัวร์ เขาก็ว่านั่นเพื่อนเขา รู้จักกัน ทำหน้าที่ช่วยเป็นมาเก็ตติ้งในการรับลูกค้าจากอินเดีย พอนานวันเข้า เขาก็เริ่มชอบเข้ามาคุยกับเราเรื่อยๆ จนเราเริ่มสนิทกัน และคุยถูกคอกันมากขึ้นอีก
ระยะเวลาผ่านไปได้ประมาณครึ่งปี เขาก็ขอเราเป็นแฟน ตอนนั้นเราก็ยินดีนะ ส่วนเรื่องแฟนเก่า เราก็พอติดต่อกันบ้าง
แต่เราก็รู้สึกเฉยๆกับเขาไปแล้ว มีอยู่วันหนึ่งเราตัดสินใจโทรไปบอกเลิก บอกให้เขาไปหาคนใหม่เถอะ เขาไม่ยอมค่ะ ขอร้องสารพัด บอกว่าให้เวลากันหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ไม่เป็นไรเขาขอเวลาทำใจ แต่อย่าตัดการติดต่อกับเขาเลย เขา
เราก็ตามใจค่ะ
ผ่านไปอีกสามเดือน ตอนนั้นคนเก่าโทรมาหาเรา ก็พูดคุยว่าชีวิตเป็นไงบ้าง เขาบอกว่า เขามาเปิดร้านขายบะหมี่ต้มยำได้ประมาณเดือนนึง ขายได้วันละ 2-5 ถ้วย และคุยเรื่องสัพเพเหระหัวเราะกันบ้าง ตอนนั้นเองแฟนอินเดียเราเดินมาถามว่าคุยกับใคร เราก็บอกไปว่าเพื่อนสมัยเรียน
จากนั้นไม่นาน ประมาณ 2 อาทิตย์ เราเผลอออกไปข้างนอกวางโน๊ตบุคไว้หน้าโต๊ะทำงานในออฟฟิสโดยไม่ได้ปิดจอเฟสบุคไว้ แล้วแฟนอินเดียเรา ก็มาดูการแชทระหว่างเรากับแฟนเก่าเรา แล้วแอบถ่ายรูปไปให้คนไทยแปลให้ วันรุ่งขึ้นเขาบอกว่า เรื่องแฟนเก่าน่ะ เลิกติดต่อได้ไหม เขาขอ
เราเองก็ตอบตกลง และลบเพื่อนโชว์ บล็อคเบอร์โชว์ เพื่อให้เขาไว้ใจและแสดงให้เห็นว่าเราจริงใจกับเขา โดยไม่คิดนอกใจไปหาแฟนเก่า ซึ่งตอนนั้นเราก็ทำด้วยความเต็มใจนะ เป็นแฟนกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างควรสบายใจต่อกันที่สุด