สวัสดีครับ เพื่อนๆ พันทิป
ช่วงนี้มีกระทู้ถามเรื่องการเรียนปริญญาเอกเยอะ และคนที่ตั้งกระทู้แชร์ประสบการณ์หลายท่านอาจแชร์เรื่องความทรมาน เครียด ระหว่างเรียน
เมื่อวานนี้คณะกรรมการวิทยานิพนธ์ของผมแจ้งว่าทุกท่านพร้อมเซ็นใบอนุมัติจบ (ตอนนี้เหลือต้องเก็บรายละเอียดนิดหน่อย แต่อาจารย์บอกให้เตรียมฉลองกันได้) ผมเลยมาขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวของผมบ้าง เผื่อจะได้มุมมองอีกแบบนึง
หมายเหตุ: กระทู้นี้มีเนื้อหาต่อจาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้กระทู้แชร์ประสบการณ์สมัครเรียนต่อ
https://pantip.com/topic/30061197
กระทู้แชร์ประสบการณ์ใช้ชีวิต
https://pantip.com/topic/32087530
กระทู้แชร์ประสบการณ์ในเคนยา
https://pantip.com/topic/32309049
ไม่นับกระทู้หลงทางในชีวิต อินเลิฟอกหักรักคุดทั้งหลายที่ผมเคยตั้งไว้เน้อ
Brief สั้นๆ
ทำไมอยากเรียน ป.เอก
- อยากฝึกวิชาครับ ผมรู้สึกว่าตนเองเข้าใจการวิเคราะห์ข้อมูลบ้าง แต่ยังไม่สามารถอภิปรายเรื่องต่างๆ และเขียนเปเปอร์ให้ดีได้ ... อยากรู้ว่าต่างชาติทำงานด้านนี้ยังไงด้วย มีวิธีการ approach ชีวิตนอกวงการวิชาการและการอยู่ร่วมกันอย่างไร ทำยังไงถึงสร้างคนที่มีคุณภาพมาได้ตลอด
ทำไมเลือกมหาลัย University at Buffalo (แปลเป็นไทยได้ว่า "มหาวิทยาลัยควาย")
- ผมเคยนัดเจออาจารย์ที่ปรึกษาตอนผมทำงานที่บังกลาเทศ เจอกันไม่ถึงชั่วโมงมั้ง คุยกันถูกคอ อาจารย์ดูมีอุดมการณ์ ถึงมหาลัยจะ ranking ไม่สูงเท่าที่อื่น แต่อาจารย์ดูน่าจะ match กันดีที่สุด เลือกที่นี่แหละ
เรียนอะไร ทำทีสิสด้านไหน เรื่องอะไร
- เรียนสาขาวิทยาการระบาด ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของสาธารณสุข ดูเรื่องการกระจายตัวของโรคและปัจจัยเสี่ยง และประยุกต์ความรู้ที่ได้มาในการป้องกันและควบคุมโรค
- ทีสิสดูความสัมพันธ์ระหว่างบรรทัดฐานสังคม (social norm) กับพฤติกรรมการล้างมือ และประเมินผลของโครงการเปลี่ยนพฤติกรรมการล้างมือในโรงเรียนและในชุมชน ได้เก็บข้อมูลพื้นฐานของเปเปอร์นึงที่เคนยา และใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากเนปาลและบังกลาเทศในอีกสองเปเปอร์
จบแล้วทำอะไรต่อ
- ตอนแรกตั้งใจจะอยู่เมกาแล้วทำ OPT สักสองปีค่อยกลับไทย ต่อมาชีวิตเปลี่ยนผัน เลยต้องเปลี่ยนแผน กลับไทยเลยก็แล้วกันครับ ลงไปทำงานในมหาวิทยาลัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
สรุปวิถีชีวิตช่วงที่ผ่านมา
ทีมงานวิจัย เพื่อนในทีม เพื่อนในภาควิชา
- ทีมเน้นงานด้านที่เกี่ยวกับสุขภาพแม่และเด็กในประเทศรายได้ต่ำ มีหน่วยงานด้านการพัฒนาจ้างอาจารย์และทีมงานไปเป็นคอนซัลท์ค่อนข้างบ่อย เวลามีงานภาคสนามเราก็มาคุยกันว่าจะให้ใครเดินทางไปเมื่อไหร่ มีบทบาทอะไรบ้าง บรีฟและเตรียมงาน เตรียมวีซ่ากันแล้วก็ไป ผมเป็นชายโสดไม่มีพันธะทางครอบครัวเลยเดินทางได้บ่อย ช่วงที่ผมเรียนก็ไปได้เฉพาะตอนปิดเทอม ช่วงที่เริ่มทำทีสิสแล้วก็ไปได้ตามความต้องการของโปรเจค เวลาเรียน 5.5 ปีนี่ผมอยู่ภาคสนามราวๆ 6 เดือนครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้- มีแชร์ประสบการณ์อยู่นิดนึงที่นี่ครับ https://pantip.com/topic/38374703/comment10
ภาพจากตอนออกภาคสนาม ถ่ายมาจากหลายๆ ประเทศในแอฟริกาตะวันออกครับ
- ทีมวิจัยมีประมาณ 5-10 คน ตอนผมเข้าไปผมเป็นผู้ชายคนเดียว นอกนั้นเป็นสาวๆ อเมริกัน ... ช่วงหลังๆ มีความหลากหลายมากขึ้น สัดส่วนชาย-หญิง เริ่มเท่ากัน และมีต่างชาติมากขึ้น ... เพื่อนอเมริกันส่วนใหญ่เป็นแนวอุดมการณ์สูงและอยากเห็นโลกกว้าง หลายคนไปทำงานจิตอาสาใน Peace Corps สองปี แล้วกลับมา อยากทำงานแนวนี้ต่อที่เมกา งานของแต่ละคนก็ต่างกันไป ส่วนใหญ่นักศึกษาแพทย์หรือเด็ก ป.ตรี/ป.โท ก็เขียนบทความ review ที่ออฟฟิศในทีม พวกที่ได้ออกพื้นที่ส่วนใหญ่จะจบ ป.โท ขึ้นไป
- อยู่กับทีมนี้แล้วรู้สึกเหมือนเป็นอีกครอบครัวนึงเลย เพราะได้เจอกันและทำงานด้วยกันตลอด นั่งทำงานสักพักก็จะมีคนรำลึกความหลังครั้งหนึ่งในแอฟริกา เมาท์กันไปมา สนิทกันเร็ว ... ได้เจอครอบครัวของเพื่อนเรื่อยๆ เห็นลูกเพื่อนตั้งแต่เพิ่งเกิดจนตอนนี้เข้าอนุบาลแล้ว
- เพื่อนในภาควิชาส่วนใหญ่ก็แนวเดียวกัน ค่อนข้างเน้นอุดมการณ์ (ไม่งั้นไม่มาเรียนสาธารณสุข) สนิทกันค่อนข้างเร็วเช่นกัน ผมเป็น TA ให้รุ่นน้องเทอมนึง พอช่วงปิด winter break ก็นัดไปเล่นไอซ์สเก็ตด้วยกันแล้ว
- เวลามีวิกฤตในชีวิตส่วนตัว เพื่อนในภาควิชาก็มีส่วนช่วยได้เยอะ ปรับทุกข์กันไป สักพักรุ่นน้องคนอเมริกันก็ชวนไปบ้านและไปแคมปิ้งทริป เอ้า ขอบคุณ
- ในห้องนักศึกษาจะมีเก้าอี้ตัวนึงอยู่ที่มุมห้อง เรียกกันว่า crying chair เวลาใครท้อหรืออยากบ่นอะไรก็ไปนั่ง เดี๋ยวก็มีเพื่อนมาช่วยคุยและปรับทุกข์ ฮาาาาา
ที่พัก:
- ปีที่ 1-2 พัก on-campus apartment เดือนละ 770 เหรียญ พบว่ามันแพงเกินไป แทบไม่เหลือตังค์กินข้าวและจ่าย fees ต่างๆ แคมปัสอยู่แถว suburbs เลยไปไหนมาไหนลำบาก ชีวิตออกแนวต่างคนต่างอยู่มาก เพื่อนบ้านชื่ออะไรไม่รู้จัก แถมตอนปิดเทอมไม่มีคนอยู่ในแคมปัสเลย บางทีไม่ได้เห็นหน้ามนุษย์คนอื่นเลย 3-4 วัน ใกล้บ้าเต็มทน เศร้า เหงา โดดเดี่ยว ไม่ไหวแล้ว หนีดีกว่า
- ปีที่ 3-4 พักบ้านสหกรณ์ (housing cooperative) เป็นคฤหาสถ์เก่าในเมือง มีคนอเมริกันแนวฮิปสเตอร์/ฮิปปี้ เช่าอยู่สิบกว่าคน (บ้านมี 14 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ) เป็น LGBTQ ซะครึ่งนึง ผมเป็นคนต่างชาติคนเดียว ... ช่วงสองปีนั้นเลยได้เรียนรู้เรื่องวิถีชีวิตทางเลือก และการอยู่ต่างวัฒนธรรมค่อนข้างเยอะ ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำเยอะ (โชว์ควงกระบองไฟ เดิน Pride Parade ฯลฯ) และไม่เคยเหงาอีกเลย (เพื่อนๆ ก็เป็นคนแถวนั้น ช่วงวันหยุดเลยไม่ต้องอยู่คนเดียว สนุกดี แต่สักพักก็ถึงจุดอิ่มตัว ก็ย้ายออก ตอนนี้ก็อยู่กับเพื่อนที่เคยเช่าบ้านใหญ่อยู่ด้วยกัน) ... ออกมาข้างนอกประหยัดกว่าเยอะ ตอนนี้ค่าน้ำ-ไฟ-อาหารที่ซื้อรวมกัน ตกเดือนละไม่ถึง 500 เหรียญ จะไปซื้อของกินอะไรก็ง่ายกว่า อยู่ในเมืองเดินถึงทุกที่
อาหารการกิน
- ช่วงที่มาถึงแรกๆ อ่ะ ทำอาหารฝรั่งเยอะ ช่วงหลังๆ นี่ทำอาหารไทยเป็นหลัก เพื่อนๆ ฝรั่งก็ดันชอบ ก็เลยทำประจำเลย
- อาหารที่ทำบ่อยที่สุดช่วงหลังๆ คือ ไก่ปิ้ง (พยายามใช้ไก่ฮาลาลเพื่อให้เพื่อนมุสลิมทานได้) บางทีก็หุงข้าวเหนียวไว้ด้วย ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อนนี่ตั้งเตาบาร์บีคิวกันเลย เอาน้ำซอสแยกไว้ต่างหากแล้วใช้แปรงทาไปเรื่อยๆ ... เคยทำไป 100 ไม้ หมดในเวลาราวๆ สิบนาที (เด็กๆ ลูกเพื่อนจะชอบ) สามีเพื่อนที่เป็นคนเซเนกัลบอกว่าเหมือนที่เขากินที่บ้านเขาเลย (อาหารปิ้งย่างไทยไม่แพ้ใครในโลก โอ้วเย้)
- เวลาไปซื้อกับข้าว ช่วงหลังๆ จะหิ้วเป้ไปใบนึง ไปร้านขายของ ที่เป็นของคนอเมริกันเชื้อสายอิตาลีดั้งเดิมแถวนั้น (เป็น local small biz ครับ) ผัก-ผลไม้ดี ไม่แพง และรู้สึกว่าได้ช่วยอุดหนุนคนในพื้นที่มากกว่าบริษัทห้างร้านใหญ่ๆ
เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้
- สองปีแรกไป Walmart ทุกสองอาทิตย์ เพราะเป็นที่เดียวที่มีรถจากมหาลัย ผูกขาดกันเห็นๆ
- ไม่งั้นก็ไปร้านแนวๆ Fallas ใกล้มหาลัย ซื้อเสื้อผ้าแนวถูกหน่อย บางทีของไม่ค่อยดี ก็เปลี่ยนไปซื้อจาก Target บ้าง
- แต่ช่วงหลังๆ คุยกับเพื่อนในบ้านสหกรณ์ กับรุ่นน้องที่เรียนแนวๆ สถาปัตย์-ผังเมือง แนวความคิดเรื่อง eco-friendly lifestyle เข้ามาเรื่อยๆ เลยเปลี่ยนไปหาเสื้อผ้ามือสองที่ Amvets หรือไม่ก็ Goodwill Store ตัวละ 6 เหรียญ มาซัก อบ แล้วใส่ ก็โอเคนะ ได้เสื้อ Chaps button-down shirt ขนาดพอดีตัว ไม่บอกก็ไม่รู้ว่าเป็นเสื้อมือสอง
- สามปีหลัง พวกข้าวของเครื่องใช้ก็ซื้อจาก Dollar Store หรือไม่ก็ Discount store ของคนจีน ช่วงหลังๆ นี่แทบไม่ได้เข้า Walmart เลย ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็ลดลง
- นอกนั้นก็สั่งของจากเว็บอะเมซอนครับ
นอกเหนือจากเรียนแล้วทำอะไรบ้าง
- ช่วงสองปีแรกก็เต้นซัลซ่า เข้าไปเรียนเท่าที่ไปได้ ช่วงที่อยู่ในแคมปัส เวลาชมรมนักศึกษาละตินอเมริกันมีจัดเต้นที่ Student Union ทุกคืนวันอังคารก็ไปเต้นกับเขา ... ตอนที่มีแข่งฟุตบอลภายใน ผมก็ลงชื่อไปเตะบอลกับน้องๆ หลานๆ ด้วย เพื่อนในภาควิชาแซวว่าผมซ่ามาก
- ช่วงสองปีแรกทำชมรมอนามัยระหว่างประเทศด้วย ผมก็ช่วยชวน guest speaker มาพูดแชร์ประสบการณ์ เข้าประชุมกับสมาคมบัณฑิตศึกษาทุกเดือน จัดอีเวนท์ใหญ่ประจำปี
- ช่วงสามปีหลังเริ่มเปลี่ยนแนว ช่วงที่อากาศอบอุ่นก็ขี่จักรยานไปไหนมาไหน มีการไปเที่ยวที่อื่นบ้าง ไม่เยอะ สองปีก่อนเดินทางบ่อย ได้ไมล์สะสมเยอะ มีรุ่นน้องโต๊ะข้างๆ เป็นต่างชาติเหมือนกัน นางบอกว่าจะซื้อทัวร์ไปเที่ยวแคลิฟอร์เนีย ผมก็ถามเขาว่าถ้าจะจ่ายเยอะแบบนี้ แบ็คแพ็คลงไปเม็กซิโกด้วยกันเลยดีกว่าไหม สุดท้ายก็เลยได้ไปเที่ยว-ดำน้ำด้วยกัน สนุกดี
แถวบ้าน และเม็กซิโก
ภาวะวิกฤตและปัญหา
- เหตุการณ์แรก ตอบสอบ preliminary exams (ที่อื่นเรียก qualifying exam) หลังเรียนจบรายวิชาทั้งหมด ผมดันสอบผ่านข้อเขียนแต่ไม่ผ่านสอบปากเปล่า คณะกรรมการบอกว่าต้องสอบใหม่ปีหน้า ระหว่างนี้ให้อ่านหนังสือเตรียมพร้อมอย่างเดียวเลย ถ้าสอบตกเป็นครั้งที่สองก็ต้องออกจากการเรียน ป.เอก
- ตอนนั้นเซ็งและรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว แต่ไม่อยากเศร้าซึม เลยพยายามถามใจตัวเองว่าเราทุกข์ที่ตรงไหน ได้ข้อสรุปว่าเรากลัวว่าอาจารย์มองเราไม่ดี คิดว่าเราไม่ตั้งใจ (ผมกับอาจารย์ท่านนั้นค่อนข้างสนิทกัน) วันต่อมาเลยไปสวัสดีอาจารย์ แล้วบอกว่าผมยอมรับผลนะ แค่อยากให้อาจารย์รู้ว่าตอนนั้นผมพยายามเต็มที่แล้ว อาจารย์แกก็บอกว่าแกเข้าใจ ไม่ต้องห่วง หลังจากนั้นก็พอตั้งตัวได้ ปีถัดมาก็สอบผ่าน เครียดสุดๆ นะ แต่ผ่าน ตอนอาจารย์บอกว่าผ่านนี่แบบยิ่งกว่าภูเขาออกจากอก อาจารย์คนเดิมก็เข้ามากอดแสดงความยินดี ... แล้วผมก็วิ่งไปกินเสต็กจานโตที่ร้านข้างแคมปัส เป็นการฉลองหลังจากที่เล็งเมนูนั้นมาปีนึง
- เหตุการณ์ที่สอง ขอไม่เล่ารายละเอียดอะไรมาก .... คุณพ่อผมป่วยหนัก ผมบอกอาจารย์หมอแล้วรีบบินกลับบ้านโดยทันที อาจารย์หมอให้ผมทำงานวิทยานิพนธ์จากเมืองไทยได้ พร้อมจ่ายเงินเดือนให้เท่าเดิมเหมือนผมยังอยู่เมกา คุณพ่อบอกเพื่อนๆ ว่าประทับใจในน้ำใจของอาจารย์หมอมากๆ
- อาจารย์หมอโทรติดตามสถานการณ์ตลอด จนกระทั่งคุณพ่อเสีย หลังจากนั้นผมก็อยู่เมืองไทยต่ออีกประมาณเดือนกว่า พอมีโปรเจคที่แทนซาเนียเข้ามา ผมก็บินจากไทยไปแทนซาเนีย ทำงานที่นั่นประมาณเดือนนึง แล้วก็บินกลับเมกา ทำทีสิสต่ออีกราวครึ่งปีก็สอบดีเฟนแล้วก็ส่งเล่มนี่แหละครับ
ถ้าไม่นับเหตุการณ์ทั้งสองนี้แล้ว ชีวิตโดยรวมของผม ผมไม่เคย suffer เลยนะ
ทำอย่างไรให้เรียนแล้วแฮปปี้ ไม่ทรมาน (suffer)
ผมมองกลับมาแล้วคิดว่ามีสามปัจจัยหลัก
-
ปัจจัยแรก คือ ทัศนคติส่วนตัว มาเรียนด้วยความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ ทั้งในวิชาที่เรียนและวิถีชีวิตในโลกกว้าง เรียนรู้การอยู่ภายใต้วัฒนธรรมที่แตกต่าง ผมมาโดยไม่ได้รู้สึกว่าต้องการจะสร้างความประทับใจให้ใคร วาระเดียวของผมตลอดช่วงห้าปีนี้ คือ การทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด และทำตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อคนรอบข้าง
-
ปัจจัยที่สอง คือ คณาจารย์และกลุ่มเพื่อนของผมที่นี่ ทั้งในและนอกมหาลัย เราสามารถเชื่อมโยงเข้าหากันและกันได้ ก้าวข้ามความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้ ทำให้ผมมีชีวิตอย่างอื่นนอกเหนือจากการเรียนและทำงานค่อนข้างเยอะ มีการสนับสนุนทางสังคม (social support) ที่ดี ทำให้ cope กับวิกฤตต่างๆ ได้ ... โดยเฉพาะเพื่อนในทีมและอาจารย์หมอ (ทุกท่านคงสังเกตได้ว่าผมพูดเรื่องเพื่อนและอาจารย์ค่อนข้างเยอะ)
-
ปัจจัยที่สาม คือ ความรักและกำลังใจจากเพื่อนและครอบครัวของผมที่เมืองไทยครับ
วันสอบดีเฟนมีเซอร์ไพรส์!
ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อนละกันครับ มีอะไรถามมาได้นะครับ ขอบคุณทุกท่านครับ
นิสิต ป.เอก คนไทยในอเมริกา วันที่เรียนจบ ... ขอแชร์ ปสก. เรียนอย่างไรให้มีความสุขและไม่ suffer
ช่วงนี้มีกระทู้ถามเรื่องการเรียนปริญญาเอกเยอะ และคนที่ตั้งกระทู้แชร์ประสบการณ์หลายท่านอาจแชร์เรื่องความทรมาน เครียด ระหว่างเรียน
เมื่อวานนี้คณะกรรมการวิทยานิพนธ์ของผมแจ้งว่าทุกท่านพร้อมเซ็นใบอนุมัติจบ (ตอนนี้เหลือต้องเก็บรายละเอียดนิดหน่อย แต่อาจารย์บอกให้เตรียมฉลองกันได้) ผมเลยมาขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวของผมบ้าง เผื่อจะได้มุมมองอีกแบบนึง
หมายเหตุ: กระทู้นี้มีเนื้อหาต่อจาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Brief สั้นๆ
ทำไมอยากเรียน ป.เอก
- อยากฝึกวิชาครับ ผมรู้สึกว่าตนเองเข้าใจการวิเคราะห์ข้อมูลบ้าง แต่ยังไม่สามารถอภิปรายเรื่องต่างๆ และเขียนเปเปอร์ให้ดีได้ ... อยากรู้ว่าต่างชาติทำงานด้านนี้ยังไงด้วย มีวิธีการ approach ชีวิตนอกวงการวิชาการและการอยู่ร่วมกันอย่างไร ทำยังไงถึงสร้างคนที่มีคุณภาพมาได้ตลอด
ทำไมเลือกมหาลัย University at Buffalo (แปลเป็นไทยได้ว่า "มหาวิทยาลัยควาย")
- ผมเคยนัดเจออาจารย์ที่ปรึกษาตอนผมทำงานที่บังกลาเทศ เจอกันไม่ถึงชั่วโมงมั้ง คุยกันถูกคอ อาจารย์ดูมีอุดมการณ์ ถึงมหาลัยจะ ranking ไม่สูงเท่าที่อื่น แต่อาจารย์ดูน่าจะ match กันดีที่สุด เลือกที่นี่แหละ
เรียนอะไร ทำทีสิสด้านไหน เรื่องอะไร
- เรียนสาขาวิทยาการระบาด ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของสาธารณสุข ดูเรื่องการกระจายตัวของโรคและปัจจัยเสี่ยง และประยุกต์ความรู้ที่ได้มาในการป้องกันและควบคุมโรค
- ทีสิสดูความสัมพันธ์ระหว่างบรรทัดฐานสังคม (social norm) กับพฤติกรรมการล้างมือ และประเมินผลของโครงการเปลี่ยนพฤติกรรมการล้างมือในโรงเรียนและในชุมชน ได้เก็บข้อมูลพื้นฐานของเปเปอร์นึงที่เคนยา และใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากเนปาลและบังกลาเทศในอีกสองเปเปอร์
จบแล้วทำอะไรต่อ
- ตอนแรกตั้งใจจะอยู่เมกาแล้วทำ OPT สักสองปีค่อยกลับไทย ต่อมาชีวิตเปลี่ยนผัน เลยต้องเปลี่ยนแผน กลับไทยเลยก็แล้วกันครับ ลงไปทำงานในมหาวิทยาลัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
สรุปวิถีชีวิตช่วงที่ผ่านมา
ทีมงานวิจัย เพื่อนในทีม เพื่อนในภาควิชา
- ทีมเน้นงานด้านที่เกี่ยวกับสุขภาพแม่และเด็กในประเทศรายได้ต่ำ มีหน่วยงานด้านการพัฒนาจ้างอาจารย์และทีมงานไปเป็นคอนซัลท์ค่อนข้างบ่อย เวลามีงานภาคสนามเราก็มาคุยกันว่าจะให้ใครเดินทางไปเมื่อไหร่ มีบทบาทอะไรบ้าง บรีฟและเตรียมงาน เตรียมวีซ่ากันแล้วก็ไป ผมเป็นชายโสดไม่มีพันธะทางครอบครัวเลยเดินทางได้บ่อย ช่วงที่ผมเรียนก็ไปได้เฉพาะตอนปิดเทอม ช่วงที่เริ่มทำทีสิสแล้วก็ไปได้ตามความต้องการของโปรเจค เวลาเรียน 5.5 ปีนี่ผมอยู่ภาคสนามราวๆ 6 เดือนครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- ทีมวิจัยมีประมาณ 5-10 คน ตอนผมเข้าไปผมเป็นผู้ชายคนเดียว นอกนั้นเป็นสาวๆ อเมริกัน ... ช่วงหลังๆ มีความหลากหลายมากขึ้น สัดส่วนชาย-หญิง เริ่มเท่ากัน และมีต่างชาติมากขึ้น ... เพื่อนอเมริกันส่วนใหญ่เป็นแนวอุดมการณ์สูงและอยากเห็นโลกกว้าง หลายคนไปทำงานจิตอาสาใน Peace Corps สองปี แล้วกลับมา อยากทำงานแนวนี้ต่อที่เมกา งานของแต่ละคนก็ต่างกันไป ส่วนใหญ่นักศึกษาแพทย์หรือเด็ก ป.ตรี/ป.โท ก็เขียนบทความ review ที่ออฟฟิศในทีม พวกที่ได้ออกพื้นที่ส่วนใหญ่จะจบ ป.โท ขึ้นไป
- อยู่กับทีมนี้แล้วรู้สึกเหมือนเป็นอีกครอบครัวนึงเลย เพราะได้เจอกันและทำงานด้วยกันตลอด นั่งทำงานสักพักก็จะมีคนรำลึกความหลังครั้งหนึ่งในแอฟริกา เมาท์กันไปมา สนิทกันเร็ว ... ได้เจอครอบครัวของเพื่อนเรื่อยๆ เห็นลูกเพื่อนตั้งแต่เพิ่งเกิดจนตอนนี้เข้าอนุบาลแล้ว
- เพื่อนในภาควิชาส่วนใหญ่ก็แนวเดียวกัน ค่อนข้างเน้นอุดมการณ์ (ไม่งั้นไม่มาเรียนสาธารณสุข) สนิทกันค่อนข้างเร็วเช่นกัน ผมเป็น TA ให้รุ่นน้องเทอมนึง พอช่วงปิด winter break ก็นัดไปเล่นไอซ์สเก็ตด้วยกันแล้ว
- เวลามีวิกฤตในชีวิตส่วนตัว เพื่อนในภาควิชาก็มีส่วนช่วยได้เยอะ ปรับทุกข์กันไป สักพักรุ่นน้องคนอเมริกันก็ชวนไปบ้านและไปแคมปิ้งทริป เอ้า ขอบคุณ
- ในห้องนักศึกษาจะมีเก้าอี้ตัวนึงอยู่ที่มุมห้อง เรียกกันว่า crying chair เวลาใครท้อหรืออยากบ่นอะไรก็ไปนั่ง เดี๋ยวก็มีเพื่อนมาช่วยคุยและปรับทุกข์ ฮาาาาา
ที่พัก:
- ปีที่ 1-2 พัก on-campus apartment เดือนละ 770 เหรียญ พบว่ามันแพงเกินไป แทบไม่เหลือตังค์กินข้าวและจ่าย fees ต่างๆ แคมปัสอยู่แถว suburbs เลยไปไหนมาไหนลำบาก ชีวิตออกแนวต่างคนต่างอยู่มาก เพื่อนบ้านชื่ออะไรไม่รู้จัก แถมตอนปิดเทอมไม่มีคนอยู่ในแคมปัสเลย บางทีไม่ได้เห็นหน้ามนุษย์คนอื่นเลย 3-4 วัน ใกล้บ้าเต็มทน เศร้า เหงา โดดเดี่ยว ไม่ไหวแล้ว หนีดีกว่า
- ปีที่ 3-4 พักบ้านสหกรณ์ (housing cooperative) เป็นคฤหาสถ์เก่าในเมือง มีคนอเมริกันแนวฮิปสเตอร์/ฮิปปี้ เช่าอยู่สิบกว่าคน (บ้านมี 14 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ) เป็น LGBTQ ซะครึ่งนึง ผมเป็นคนต่างชาติคนเดียว ... ช่วงสองปีนั้นเลยได้เรียนรู้เรื่องวิถีชีวิตทางเลือก และการอยู่ต่างวัฒนธรรมค่อนข้างเยอะ ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำเยอะ (โชว์ควงกระบองไฟ เดิน Pride Parade ฯลฯ) และไม่เคยเหงาอีกเลย (เพื่อนๆ ก็เป็นคนแถวนั้น ช่วงวันหยุดเลยไม่ต้องอยู่คนเดียว สนุกดี แต่สักพักก็ถึงจุดอิ่มตัว ก็ย้ายออก ตอนนี้ก็อยู่กับเพื่อนที่เคยเช่าบ้านใหญ่อยู่ด้วยกัน) ... ออกมาข้างนอกประหยัดกว่าเยอะ ตอนนี้ค่าน้ำ-ไฟ-อาหารที่ซื้อรวมกัน ตกเดือนละไม่ถึง 500 เหรียญ จะไปซื้อของกินอะไรก็ง่ายกว่า อยู่ในเมืองเดินถึงทุกที่
อาหารการกิน
- ช่วงที่มาถึงแรกๆ อ่ะ ทำอาหารฝรั่งเยอะ ช่วงหลังๆ นี่ทำอาหารไทยเป็นหลัก เพื่อนๆ ฝรั่งก็ดันชอบ ก็เลยทำประจำเลย
- อาหารที่ทำบ่อยที่สุดช่วงหลังๆ คือ ไก่ปิ้ง (พยายามใช้ไก่ฮาลาลเพื่อให้เพื่อนมุสลิมทานได้) บางทีก็หุงข้าวเหนียวไว้ด้วย ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อนนี่ตั้งเตาบาร์บีคิวกันเลย เอาน้ำซอสแยกไว้ต่างหากแล้วใช้แปรงทาไปเรื่อยๆ ... เคยทำไป 100 ไม้ หมดในเวลาราวๆ สิบนาที (เด็กๆ ลูกเพื่อนจะชอบ) สามีเพื่อนที่เป็นคนเซเนกัลบอกว่าเหมือนที่เขากินที่บ้านเขาเลย (อาหารปิ้งย่างไทยไม่แพ้ใครในโลก โอ้วเย้)
- เวลาไปซื้อกับข้าว ช่วงหลังๆ จะหิ้วเป้ไปใบนึง ไปร้านขายของ ที่เป็นของคนอเมริกันเชื้อสายอิตาลีดั้งเดิมแถวนั้น (เป็น local small biz ครับ) ผัก-ผลไม้ดี ไม่แพง และรู้สึกว่าได้ช่วยอุดหนุนคนในพื้นที่มากกว่าบริษัทห้างร้านใหญ่ๆ
เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้
- สองปีแรกไป Walmart ทุกสองอาทิตย์ เพราะเป็นที่เดียวที่มีรถจากมหาลัย ผูกขาดกันเห็นๆ
- ไม่งั้นก็ไปร้านแนวๆ Fallas ใกล้มหาลัย ซื้อเสื้อผ้าแนวถูกหน่อย บางทีของไม่ค่อยดี ก็เปลี่ยนไปซื้อจาก Target บ้าง
- แต่ช่วงหลังๆ คุยกับเพื่อนในบ้านสหกรณ์ กับรุ่นน้องที่เรียนแนวๆ สถาปัตย์-ผังเมือง แนวความคิดเรื่อง eco-friendly lifestyle เข้ามาเรื่อยๆ เลยเปลี่ยนไปหาเสื้อผ้ามือสองที่ Amvets หรือไม่ก็ Goodwill Store ตัวละ 6 เหรียญ มาซัก อบ แล้วใส่ ก็โอเคนะ ได้เสื้อ Chaps button-down shirt ขนาดพอดีตัว ไม่บอกก็ไม่รู้ว่าเป็นเสื้อมือสอง
- สามปีหลัง พวกข้าวของเครื่องใช้ก็ซื้อจาก Dollar Store หรือไม่ก็ Discount store ของคนจีน ช่วงหลังๆ นี่แทบไม่ได้เข้า Walmart เลย ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็ลดลง
- นอกนั้นก็สั่งของจากเว็บอะเมซอนครับ
นอกเหนือจากเรียนแล้วทำอะไรบ้าง
- ช่วงสองปีแรกก็เต้นซัลซ่า เข้าไปเรียนเท่าที่ไปได้ ช่วงที่อยู่ในแคมปัส เวลาชมรมนักศึกษาละตินอเมริกันมีจัดเต้นที่ Student Union ทุกคืนวันอังคารก็ไปเต้นกับเขา ... ตอนที่มีแข่งฟุตบอลภายใน ผมก็ลงชื่อไปเตะบอลกับน้องๆ หลานๆ ด้วย เพื่อนในภาควิชาแซวว่าผมซ่ามาก
- ช่วงสองปีแรกทำชมรมอนามัยระหว่างประเทศด้วย ผมก็ช่วยชวน guest speaker มาพูดแชร์ประสบการณ์ เข้าประชุมกับสมาคมบัณฑิตศึกษาทุกเดือน จัดอีเวนท์ใหญ่ประจำปี
- ช่วงสามปีหลังเริ่มเปลี่ยนแนว ช่วงที่อากาศอบอุ่นก็ขี่จักรยานไปไหนมาไหน มีการไปเที่ยวที่อื่นบ้าง ไม่เยอะ สองปีก่อนเดินทางบ่อย ได้ไมล์สะสมเยอะ มีรุ่นน้องโต๊ะข้างๆ เป็นต่างชาติเหมือนกัน นางบอกว่าจะซื้อทัวร์ไปเที่ยวแคลิฟอร์เนีย ผมก็ถามเขาว่าถ้าจะจ่ายเยอะแบบนี้ แบ็คแพ็คลงไปเม็กซิโกด้วยกันเลยดีกว่าไหม สุดท้ายก็เลยได้ไปเที่ยว-ดำน้ำด้วยกัน สนุกดี
ภาวะวิกฤตและปัญหา
- เหตุการณ์แรก ตอบสอบ preliminary exams (ที่อื่นเรียก qualifying exam) หลังเรียนจบรายวิชาทั้งหมด ผมดันสอบผ่านข้อเขียนแต่ไม่ผ่านสอบปากเปล่า คณะกรรมการบอกว่าต้องสอบใหม่ปีหน้า ระหว่างนี้ให้อ่านหนังสือเตรียมพร้อมอย่างเดียวเลย ถ้าสอบตกเป็นครั้งที่สองก็ต้องออกจากการเรียน ป.เอก
- ตอนนั้นเซ็งและรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว แต่ไม่อยากเศร้าซึม เลยพยายามถามใจตัวเองว่าเราทุกข์ที่ตรงไหน ได้ข้อสรุปว่าเรากลัวว่าอาจารย์มองเราไม่ดี คิดว่าเราไม่ตั้งใจ (ผมกับอาจารย์ท่านนั้นค่อนข้างสนิทกัน) วันต่อมาเลยไปสวัสดีอาจารย์ แล้วบอกว่าผมยอมรับผลนะ แค่อยากให้อาจารย์รู้ว่าตอนนั้นผมพยายามเต็มที่แล้ว อาจารย์แกก็บอกว่าแกเข้าใจ ไม่ต้องห่วง หลังจากนั้นก็พอตั้งตัวได้ ปีถัดมาก็สอบผ่าน เครียดสุดๆ นะ แต่ผ่าน ตอนอาจารย์บอกว่าผ่านนี่แบบยิ่งกว่าภูเขาออกจากอก อาจารย์คนเดิมก็เข้ามากอดแสดงความยินดี ... แล้วผมก็วิ่งไปกินเสต็กจานโตที่ร้านข้างแคมปัส เป็นการฉลองหลังจากที่เล็งเมนูนั้นมาปีนึง
- เหตุการณ์ที่สอง ขอไม่เล่ารายละเอียดอะไรมาก .... คุณพ่อผมป่วยหนัก ผมบอกอาจารย์หมอแล้วรีบบินกลับบ้านโดยทันที อาจารย์หมอให้ผมทำงานวิทยานิพนธ์จากเมืองไทยได้ พร้อมจ่ายเงินเดือนให้เท่าเดิมเหมือนผมยังอยู่เมกา คุณพ่อบอกเพื่อนๆ ว่าประทับใจในน้ำใจของอาจารย์หมอมากๆ
- อาจารย์หมอโทรติดตามสถานการณ์ตลอด จนกระทั่งคุณพ่อเสีย หลังจากนั้นผมก็อยู่เมืองไทยต่ออีกประมาณเดือนกว่า พอมีโปรเจคที่แทนซาเนียเข้ามา ผมก็บินจากไทยไปแทนซาเนีย ทำงานที่นั่นประมาณเดือนนึง แล้วก็บินกลับเมกา ทำทีสิสต่ออีกราวครึ่งปีก็สอบดีเฟนแล้วก็ส่งเล่มนี่แหละครับ
ถ้าไม่นับเหตุการณ์ทั้งสองนี้แล้ว ชีวิตโดยรวมของผม ผมไม่เคย suffer เลยนะ
ทำอย่างไรให้เรียนแล้วแฮปปี้ ไม่ทรมาน (suffer)
ผมมองกลับมาแล้วคิดว่ามีสามปัจจัยหลัก
- ปัจจัยแรก คือ ทัศนคติส่วนตัว มาเรียนด้วยความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ ทั้งในวิชาที่เรียนและวิถีชีวิตในโลกกว้าง เรียนรู้การอยู่ภายใต้วัฒนธรรมที่แตกต่าง ผมมาโดยไม่ได้รู้สึกว่าต้องการจะสร้างความประทับใจให้ใคร วาระเดียวของผมตลอดช่วงห้าปีนี้ คือ การทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด และทำตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อคนรอบข้าง
- ปัจจัยที่สอง คือ คณาจารย์และกลุ่มเพื่อนของผมที่นี่ ทั้งในและนอกมหาลัย เราสามารถเชื่อมโยงเข้าหากันและกันได้ ก้าวข้ามความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้ ทำให้ผมมีชีวิตอย่างอื่นนอกเหนือจากการเรียนและทำงานค่อนข้างเยอะ มีการสนับสนุนทางสังคม (social support) ที่ดี ทำให้ cope กับวิกฤตต่างๆ ได้ ... โดยเฉพาะเพื่อนในทีมและอาจารย์หมอ (ทุกท่านคงสังเกตได้ว่าผมพูดเรื่องเพื่อนและอาจารย์ค่อนข้างเยอะ)
- ปัจจัยที่สาม คือ ความรักและกำลังใจจากเพื่อนและครอบครัวของผมที่เมืองไทยครับ
วันสอบดีเฟนมีเซอร์ไพรส์!
ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อนละกันครับ มีอะไรถามมาได้นะครับ ขอบคุณทุกท่านครับ