
ที่ผ่านมาคือแชร์ข้อมูลลงเพจตัวเองซะส่วนใหญ่ พอดีมีเวลาเลยมาแชร์ประสบการณ์ดีๆลงพันทิปดูบ้าง ยังไงก็ฝากเพจ “เที่ยวฟินกินแหลก” ด้วยนะคะ
จุดเริ่มต้นของทริปนี้มาจากการที่ได้ไป Company Trip ที่ญี่ปุ่นกับบริษัทที่เราทำงานอยู่ แล้วรู้สึกไม่สุด รู้สึกไม่เต็มที่ พอกลับมาก็มาอ้อนแฟนให้พาไปใหม่ แฟนก็ถามว่างบเท่าไร ตอนนั้นไม่ได้คิดไรก็บอกไป 25,000 เค้าเลยบ่นว่าถ้าไปอีกนี่ครั้งที่ 4 แล้วนะ ถ้าจัดทริปไปยุโรปด้วยงบ 30,000 ได้ จะพาไป เราก็อ้าวววว อย่ามาท้านะจ๊ะ รีบส่องหาตั๋วทันใด ปรากฎว่า งุ๊ยยยย มีตั๋วโปร ของ Eurowings ไปลงที่ Paris ราคา 8,xxx และขากลับจากมิลาน มา กรุงเทพ 8,xxx ก็ทำการขอวีซ่าเชงเก้น โดยขอผ่านสถานทูตฝรั่งเศสเพราะไปลงเป็นที่แรก ปรากฎว่า 3 วันรู้เรื่อง ผ่านจ้าาาา จองตั๋วอย่างไว แล้วก็หาตั๋วจากปารีส ไปอิตาลี่ ก็พบว่ามีโปรของ Ryanair จากปารีส ไปลงปิซา ราคา 7xx ไม่ผิดหรอก เจ็ดร้อยกว่าบาท บ้าไปแล้วววว พอได้ตั๋วถูก ทริปยุโรปสามหมื่นจึงบังเกิด ทริปนี้เดินทาง 4-9 ธันวาคม 2561 ซึ่งช่วงที่ปารีสกำลังมีประท้วงพอดี แต่เรารอดจ้า วันที่ไปไม่ได้ประท้วง เลยเที่ยวได้สบายใจ เดี๋ยวเราไปดูการเดินทางในทริปนี้กัน แล้วเดี๋ยวจะสรุปค่าใช้จ่ายให้ในตอนท้าย

เริ่มต้นด้วยการเช็คอินที่ Gate W แบคแพ็คคนละใบ ไม่ได้โหลดกระเป๋านะคะ สายการบิน Eurowings เป็นสายการบินต้นทุนต่ำ ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ Dusseldorf เยอรมัน ซึ่งที่เยอรมันมีตม. ถามนิดหน่อย ก็แค่บอกเค้าว่าเรามารอต่อเครื่อง ถึงปารีส สนามบิน CDG เดินตามป้ายทางออกมาเรื่อยๆ ก็ออกมาจากสนามบินแล้วต่อรสบัสได้เลย
Day 1 Paris
คือเรามีเวลาอยู่ปารีสเพียง 1 วันเท่านั้น เพราะตั๋วถูกที่จะบินไปปิซา อิตาลี่ ถูกที่สุดคือพรุ่งนี้ เราจึงต้องเที่ยวให้ได้มากที่สุดใน 1 วัน

พอมาถึงปารีส ก็ต้องเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่พักก่อน ซึ่งเราพักอยู่ที่ Auberge Internationale des Jeunes เป็น Hostel ที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Gare de Lyon สามารถนั่งรถบัสจาก CDG มาลงที่นี่ได้โดยตรงเลย ราคาคืนละ1,5xx บาท จริงๆน่าจะแพงกว่านี้ แต่นี่จองผ่าน agoda/ktc ได้ส่วนลดแต่จำไม่ได้ว่ากี่เปอร์ ส่วนค่ารถจะอยู่ที่ 18EUR ต่อคนต่อเที่ยว

พอฝากกระเป๋าเสร็จก็ไม่รอช้า ซื้อตั๋ว Carnet ชุด 10 ใบ แบ่งกันคนละ 5 ใบ ราคา 14.90eur ตกเที่ยวละ 1.49eur ซึ่งถ้าซื้อตั๋ว 1 เที่ยว ราคาจะอยู่ที่ 1.90 eur ไม่รอช้ามุ่งหน้าสู่หอไอเฟลทันที เรานั่งรถไฟฟ้าสาย M8 จากLedru-Rollin ไปลง École Militaire ซึ่งทำเลที่เลือกไปลงคือฝั่งที่เป็นสวนหย่อม จะอยู่คนละฝั่งกับแม่น้ำ Seine เพราะถ้ามาทางนี้ คนจะน้อยกว่ามาก

ส่วนตัวไม่ค่อยชอบมุมมหาชนซักเท่าไรนัก ไม่ชอบเบียดเสียดผู้คน จึงต้องหาสถานที่ๆคนน้อยๆ

แล้วก็เดินลัดเลาะมาตามด้านข้าง เพื่อเดินข้ามสะพาน Pont de Bir-Hakeim

มันก็จะได้อีกมุมหนึ่งของหอไอเฟล

คนไม่พลุกพล่าน ไม่มีกรุ๊ปทัวร์ เดินชิลๆ ไปเรื่อยๆ

สะพานนี้มีทางคนเดิน จักรยานวิ่งได้ รถยนต์วิ่งด้านล่าง รถไฟฟ้าวิ่งด้านบน

จากนั้นก็นั่งรถเมล์ ไปชมสนามฟุตบอล Le Parc des Princes แต่ไม่ได้เข้าเพราะมันปิดแล้ว เลยได้แค่เดินเล่นในช็อปของที่ระลึก

จากนั้นเราก็เดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าสาย M10 สถานี Michel-Ange - Molitor เพื่อไปลงที่ Cluny - La Sorbonne เพื่อไป Notre Dame กัน ระหว่างทางเดิน ก็ได้ชมบ้านเมืองเค้า สวยงามจริงๆ

เป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ อดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ไม่ได้

ถึงแล้ว โบสถ์ Notre Dame เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกและเป็นที่ตั้งคาเทดราของอาร์ชบิชอปแห่งปารีส อาสนวิหารน็อทร์-ดามถือกันว่าเป็นโบสถ์ที่สวยงามที่สุดในลักษณะกอทิกแบบฝรั่งเศส โบสถ์นี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยเออแฌน วียอแล-เลอ-ดุก ผู้เป็นสถาปนิกคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของฝรั่งเศส ขอบคุณข้อมูลจาก Wikipidia

บรรยากาศโดยรอบ ก็จะคึกคักหน่อย มาช่วงใกล้เทศกาลคริสมาส จุดนี้คงจะหามุมปลอดคนไม่ได้จริงๆ

จากโบสถ์ เราก็จะเดินทางกันต่อ โดยเดินจาก Notre Dame ไปพิพิธภัณฑ์ลูฟกัน

นี่จะเป็นด้านในของพิพิธภัณฑ์ ใครชอบคนน้อย แนะนำเที่ยวตอนมืด แต่แน่นอนว่าถ้ามีเวลาควรจะเข้าชมด้านในนะ อันนี้ไม่มีเวลาไง ได้แต่เก็บรูปอย่างเดียว เข้าชมที่ไหนไม่ได้เลย ไว้คราวหน้าค่อยไปเก็บตกใหม่ละกันเนอะ

ปิดท้ายปารีสด้วยรูปถนน Champs-Élysées ทอดยาวไปยังประตูชัย Arc de Triomphe
Day 2 Pisa-Florence
วันนี้เราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปสนามบิน Paris Beauvais Airport ซึ่งเดินทางโดยรถ Shuttle Bus ค่ารถคนละ 15.90 eur ซึ่ง ถือว่าแพงนะ เกือบเท่าค่าเครื่องไปปิซา เลยอ่ะ จากนั้นก็เดินทางจากปารีส มุ่งสู่ปิซา เราจองที่พักไว้ที่ปิซาเพราะวางแผนว่าจะไปหอเอนแต่เช้าจะได้ไม่ต้องเจอนักท่องเที่ยวเยอะๆ เราจองที่พักที่ Hotel Moderno เป็นที่พักสำหรับ 2 คน เป็นห้องน้ำรวม โรงแรมอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Pisa Central Station มากกก สะดวกสุดๆ ราคาแค่คืนละ 1,3xx บาท จองผ่าน agoda/KTC ได้ลดราคาด้วย จำไม่ได้ว่ากี่เปอร์ พอเช็คอิน เก็บกระเป๋าเสร็จ ก็ออกเดินทางไป Florence กัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. เท่านั้น แต่กว่าเราจะไปถึงก็ค่ำแล้ว ซึ่งก็ตั้งใจไว้อย่างนั้น เพราะการเที่ยวตอนเย็น นักท่องเที่ยวจะน้อยกว่าตอนกลางวัน มิจฉาชีพก็เช่นกัน

ออกเดินทาง

พระเอกของเมืองนี้ อาสนวิหารฟลอเรนซ์ หรือชื่อเต็มคือ อาสนวิหารซันตามาเรียแห่งฟลอเรนซ์ ขึ้นชื่อว่าใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยุโรปเลยนะ เนื่องจากมีการบูรณะ ก็อาจจะไม่ได้มุมเต็มมา พยายามหามุมที่ไม่ติดนั่งร้าน แต่แค่นี้ก็ถือว่าสวยมากแล้ว ใครๆก็บอกว่า ฟลอเรนซ์เป็นเมืองที่ถ่ายรูปยังไงก็ไม่สวยเท่าของจริง เชื่อแล้วก็วันนี้ ต้องมาดูให้เห็นกับตาตัวเอง

ส่วนใครที่อยากให้วิหารเต็มๆตา ต้องขึ้นไปดูวิวบนหอระฆังนี้

วิวรอบๆวิหาร ช่วงพลบค่ำ คนน้อยสมใจเลย ชอบบบ

ส่วนบรรยากาศย่านช็อปปิ้งก็จะคึกคักหน่อย ที่นี่เค้าจะเด่นเรื่องเครื่องหนังนะ ใครมาต้องสอยกลับไปซักชิ้นสองชิน

จตุรัส Piazza della Repubblica เพลินไปกับเสียงไวโอลิน

จตุรัส Piazza della Signoria ที่มีรูปปั้นเดวิด จำลอง พ่อหนุ่มรูปงามตัวจริง เราคงไม่ได้เจอกัน ดูรูปปั้นจำลองไปก่อน

และที่นี่คือสะพานเวคคิโอ(Ponte Vecchio) เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองฟลอเรนซ์ สะพานแห่งนี้นั้นเดิมทีถูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อใช้เป็นทางสัญจรในการข้ามแม่น้ำอาร์โน แต่ปัจจุบันถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ภายในสะพานประกอบไปด้วยร้านค้าสีเหลืองสดใสและมีหน้าต่างรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ ส่วนใหญ่ขายอัญมณี และเครื่องทองต่างๆ ซึ่งมีขายตั้งแต่อัญมณีหายากราคาแพง ไปจนถึงอัญมณีธรรมดาๆ

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ซื้อไว้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว คือด้วยความที่อยากไปอิตาลี่มากกกก เค้าบอกว่าเป็นหนังสือเล่มเล็กที่พกง่ายและมีประโยชน์ เราก็ เอ๊อออ ซักวัน เราจะพักหนังสือเล่มนี้ไปถ่ายรูปกับสถานที่จริงของหน้าปกนี้ให้ได้ เฮ้ยยยย วันนี้เราทำสำเร็จละนะ
Day 3 Pisa-Manarola-La Spezia
วันนี้ตอนเช้าเราเริ่มต้นด้วยการไปลัลล้าที่หอเอน

สูดอากาศดีๆยามเช้าเข้าเต็มปอด อากาศก็เป็นใจ

โอ๊ยยยยย คือดี............... บรรยากาศยามเช้าที่ปราศจาคผู้คน

เราจะทำอะไรกับหอเอนก็ได้

จะจูบซักกี่ฟอดก็ได้

จะโอบอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขนก็ย่อมได้

ต้องบอกก่อนนะว่า ถ้าแค่มาถ่ายรูปด้านนอก คือมากี่โมงก็ได้ ไม่เสียตังค์ แต่ถ้าเข้าชมด้านในเค้าเปิด 10 โมง ซึ่งตอนที่เรามาถ่ายรูปประมาณ 7 โมงเช้า จะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว จะมีแต่คนท้องถิ่น เดินทางสัญจรไปมา เพื่อไปทำงาน ไปเรียน จากนั้นเราก็กลับโรงแรมไปเช็คเอาท์ เดินทางไป La Spezia ฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟ ค่าฝากใบละ 10 eur และต่อรถไฟท้องถิ่นไป Manarola

และแล้วก็มาถึงเมืองในฝันของเรา Manarola ชอบมากและอยากมาที่นี่มาก ในที่สุด ในที่ซู๊ดดดดดดด

ต้องบอกว่าฟินเบอร์แรงงง มันสวยมาก สวยบับไม่ไหวแล้ว มุมที่ถ่ายรูปคือมุมสูงขึ้นมากจากจุดชมวิวปกติ ซึ่งถ้าเป็นวิวปกติจะมีกรุ๊ปทัวร์ไปถ่ายรูปกันเยอะแยะเลย เราก็แบกร่างขึ้นมาอีกหน่อย ให้ได้วิวดีกว่า และคนน้อยกว่า

และต่อจากนี้คือประสบการณ์ การเที่ยวแบบนอกแผน เรื่องมีอยู่ว่า เราจะเดินทางไปเที่ยวชมเมืองข้างเคียงคือ Riomaggiore แต่!!!!!! เราจะไม่นั่งรถไฟไป เราหาข้อมูลมา ได้ข่าวมาว่า เค้ามีเส้นทางเดินเท้า และสามารถชมวิวที่สวยงามจากมุมสูงได้ด้วย เราจึงพึ่งเพื่อนคู่ใจคือ google map และให้นำทางเราไป อุ๊ย 1 กิโลเอง สบาย พอ ออกเดินทาง .....แม่เจ้าาาาาาาาาาา มันคือเส้นทางที่เดินข้ามภูเขา 1 ลูก ซึ่งลูกใหญ่มาก ทางชันมาก คือเราเดินมาจนถอยไม่ได้ละไง มันไกลเกินไปแล้ว ก็ทำได้แค่เดินหน้าไปเรื่อยๆ ข้างทางมีแต่ป่า ต้นไม้ ไม่มีคนสัญจร ไม่มีแม้แต่รอยเท้านักท่องเที่ยว เราก็เอาละไง ไม่มีรอยเท้าเลย มันชักจะยังไงๆ ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทางราบ 1 ชม. ผ่านไป เราก็มาถึงด้านบน

เริ่มมองเห็นเมืองข้างเคียงที่ว่า ก็ดีใจ ในที่สุดก็เห็นจุดหมายปลายทาง เดินๆๆๆๆ เดินมาถึงทางออก ........ประตูปิด......
(เดี๋ยวมาต่อ)
[CR] รีวิวเที่ยวยุโรป ฝรั่งเศส-อิตาลี่ 5 วัน 4 คืน แบคแพ็คเที่ยวเอง 35,000 รวมวีซ่าแล้ว
จุดเริ่มต้นของทริปนี้มาจากการที่ได้ไป Company Trip ที่ญี่ปุ่นกับบริษัทที่เราทำงานอยู่ แล้วรู้สึกไม่สุด รู้สึกไม่เต็มที่ พอกลับมาก็มาอ้อนแฟนให้พาไปใหม่ แฟนก็ถามว่างบเท่าไร ตอนนั้นไม่ได้คิดไรก็บอกไป 25,000 เค้าเลยบ่นว่าถ้าไปอีกนี่ครั้งที่ 4 แล้วนะ ถ้าจัดทริปไปยุโรปด้วยงบ 30,000 ได้ จะพาไป เราก็อ้าวววว อย่ามาท้านะจ๊ะ รีบส่องหาตั๋วทันใด ปรากฎว่า งุ๊ยยยย มีตั๋วโปร ของ Eurowings ไปลงที่ Paris ราคา 8,xxx และขากลับจากมิลาน มา กรุงเทพ 8,xxx ก็ทำการขอวีซ่าเชงเก้น โดยขอผ่านสถานทูตฝรั่งเศสเพราะไปลงเป็นที่แรก ปรากฎว่า 3 วันรู้เรื่อง ผ่านจ้าาาา จองตั๋วอย่างไว แล้วก็หาตั๋วจากปารีส ไปอิตาลี่ ก็พบว่ามีโปรของ Ryanair จากปารีส ไปลงปิซา ราคา 7xx ไม่ผิดหรอก เจ็ดร้อยกว่าบาท บ้าไปแล้วววว พอได้ตั๋วถูก ทริปยุโรปสามหมื่นจึงบังเกิด ทริปนี้เดินทาง 4-9 ธันวาคม 2561 ซึ่งช่วงที่ปารีสกำลังมีประท้วงพอดี แต่เรารอดจ้า วันที่ไปไม่ได้ประท้วง เลยเที่ยวได้สบายใจ เดี๋ยวเราไปดูการเดินทางในทริปนี้กัน แล้วเดี๋ยวจะสรุปค่าใช้จ่ายให้ในตอนท้าย
Day 1 Paris
คือเรามีเวลาอยู่ปารีสเพียง 1 วันเท่านั้น เพราะตั๋วถูกที่จะบินไปปิซา อิตาลี่ ถูกที่สุดคือพรุ่งนี้ เราจึงต้องเที่ยวให้ได้มากที่สุดใน 1 วัน
Day 2 Pisa-Florence
วันนี้เราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปสนามบิน Paris Beauvais Airport ซึ่งเดินทางโดยรถ Shuttle Bus ค่ารถคนละ 15.90 eur ซึ่ง ถือว่าแพงนะ เกือบเท่าค่าเครื่องไปปิซา เลยอ่ะ จากนั้นก็เดินทางจากปารีส มุ่งสู่ปิซา เราจองที่พักไว้ที่ปิซาเพราะวางแผนว่าจะไปหอเอนแต่เช้าจะได้ไม่ต้องเจอนักท่องเที่ยวเยอะๆ เราจองที่พักที่ Hotel Moderno เป็นที่พักสำหรับ 2 คน เป็นห้องน้ำรวม โรงแรมอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Pisa Central Station มากกก สะดวกสุดๆ ราคาแค่คืนละ 1,3xx บาท จองผ่าน agoda/KTC ได้ลดราคาด้วย จำไม่ได้ว่ากี่เปอร์ พอเช็คอิน เก็บกระเป๋าเสร็จ ก็ออกเดินทางไป Florence กัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. เท่านั้น แต่กว่าเราจะไปถึงก็ค่ำแล้ว ซึ่งก็ตั้งใจไว้อย่างนั้น เพราะการเที่ยวตอนเย็น นักท่องเที่ยวจะน้อยกว่าตอนกลางวัน มิจฉาชีพก็เช่นกัน
Day 3 Pisa-Manarola-La Spezia
วันนี้ตอนเช้าเราเริ่มต้นด้วยการไปลัลล้าที่หอเอน
(เดี๋ยวมาต่อ)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้