[CR] Time-Shift --> ย้อนเวลากลับไปล่าแสงเหนือที่ Iceland 2016




สวัสดีครับ ผมชื่อทอมนะครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้การท่องเที่ยวกระทู้แรกของผม ไม่รู้จะเรียกันว่าเป็นกระทู้ริวิวได้มั้ย (- -") เรียกมันว่าเป็น กระทู้บันทึกการเดินทางน่าจะดีกว่า...ทั้งที่ใจจะเขียนมาตั้งแต่กลับจาก Iceland ใหม่ๆ แต่...ขี้เกียจ
เลยทำให้ปล่อยให้มันล่วงเลยมาจนป่านนี้ (จะ 3 ปี ในเดือนหน้านี้แล้ว...บ้าบอมาก)
แต่ช่วงนี้รู้สึกอินกับการดูหลายต่อหลายคน ทั้งคนดังและกำลังจะดัง ทำ Vlog ท่องเที่ยวลง youtube แล้วรู้สึกว่า เฮ้ย!! เราก็ไปเที่ยวมาประมาณนึงนะ ทำไมเราไม่เคยคิดจะทำแบบนี้บ้างวะ แต่เราไม่เคยถ่าย footage ไว้เลยนี่หว่า มีแต่รูปถ่ายบ้างกับความทรงจำในสมอง...อีกทั้งช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่คนรู้จักหลายคนไปท่องเที่ยวล่าแสงเหนือกันมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
เลยขอย้อนเวลา (Time-Shift) กลับไปเขียนสิ่งที่ค้างคามาตั้งแต่ปี 2016 ซะเลย ฮ่าๆๆๆ


ช่วงแรก ตัวหนังสือจะเยอะหน่อยนะครับ...อยากเล่าเรื่อง แต่ไมีมีรูปเลย เพราะไม่ได้คิดว่าจะมาเขียนลงแบบนี้...
คิดซะว่าอ่านนิยายไปก่อนละกันนะครับ ฮ่าๆๆ



เริ่มต้นทริปนี้เกิดขึ้นช่วงกลางค่อนปลายปี 2015 โดยผมมีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่เจอกันตอนไปเรียน ป.โท ที่ Melbourne และพวกเราก็สนิทกันจนกลับมาไทยก็ยังคุยกันอยู่ วันนึง เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่ง ชื่อมิ้ว ได้ไลน์มาหาผมว่า “ทอม...สนใจไปล่าแสงเหนือที่ Iceland ด้วยกันมั้ย?” ซึ่งจริงๆ มันก็ถือเป็นสิ่งที่พวกเราเคยคุยเล่นกันตั้งแต่สมัยที่เรียน ป.โท ด้วยกันว่า การได้ไปล่าแสงเหนือเนี่ย คือสิ่งที่ในชีวิตจะต้องไปให้ได้ มันเป็นความใฝ่ฝันของลูกผู้ชายที่ชอบท่องเที่ยว เปิดโลกใหม่ๆ ให้ตัวเอง...เมื่อชวนมาแบบนี้
ผมก็ตอบตกลงทันทีโดยไม่ต้องคิด...แต่...ไปยังไง ใครไปบ้าง กินอยู่ยังไงล่ะ?

พอได้คุยในรายละเอียด ทำให้รู้ว่าจุดกำเนิดของทริปนี้เกิดมาจากมิ้วและเพื่อนสมัยเด็กของเค้าที่ชื่อต้อม ได้ไปอ่านกระทู้ของ “หมอๆ ตะลุยโลก” ที่พวกเค้าไปเที่ยว Iceland ล่าแสงเหนือด้วยตัวเอง ทำให้จุดประกายและจึงทำการรวบรวมสมาชิกเพื่อไปทริปนี้ด้วยกัน โดยที่แผนการเดินทางท่องเที่ยวก็จะล้อกับแผนการของหมอๆ ซะส่วนใหญ่...ซึ่งสไตล์การท่องเที่ยวของหมอๆ นั้นเป็นแบบประหยัด นอนบนรถและทำอาหารกินเองซะส่วนใหญ่ ไม่ค่อยเหมาะกับสุภาพสตรีที่ไม่ลุยมากนัก ทำให้ผมต้องไปคุยกับภรรยาก่อนว่า
...ทริปนี้ขอไปคนเดียวกับเพื่อนๆ นะ เพราะถ้าเธอไป เธอคงไม่สนุกแน่ๆ ซึ่งเธอก็โอเค


เวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน สุดท้ายเราก็ Final สมาชิกของทริปนี้ได้ โดยมีทั้งหมด 6 คน นั่นคือ 1. ผม 2. มิ้ว 3. ต้อม (เพื่อนมิ้ว) 4. โอ๊ต (น้องมิ้ว) 5. พี่นะ (เพื่อนต้อมที่สนิทกันที่ฟิตเนส) 6. พี่ซิ้น (เพื่อนบ้านมิ้ว)....เฮ้ย!! เอาจริงๆ 5 คนที่เหลือ ผมรู้จักแค่มิ้วคนเดียวเอง!!! จะรอดมั้ยเนี่ย? แต่มาถึงขั้นนี้ละ จะถอยก็คงไม่ใช่ ไปก็ไป!!!
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ต้องรีบตัดสินใจก็เพราะตั๋วเครื่องบิน เนื่องจากในเวลานั้นสายการบินระดับโลกอย่าง Qatar ได้มี Promotion Ticket ไปลงที่ Oslo, Norway ในราคา 24,490 บาท Full Service และเมื่อเราต้องเดินทางด้วยกันทั้ง 6 คน ก็ต้องจองพร้อมๆ กัน เพื่อไม่ให้ใครบางคนหลุดจากเที่ยวบินเดียวกัน...เมื่อเป็นแบบนั้นก็ถอยไม่ได้แล้ว กดจองเลยทันที เรื่องอื่นค่อยว่ากัน!!!
หลังจากจองตั๋วไปถึง Norway ได้แล้ว ต่อไปก็ตั๋วไปถึง Iceland ซึ่งพวกเราก็ไม่มีตัวเลือกอื่น นอกจาก Icelandic Air ด้วยสนนราคา 5,523 บาท


หลังจากนั้น ประมาณเดือน พ.ย. พวกเราก็ได้มานั่งคุยกันอย่างจริงจังเพื่อจัดทริป ซึ่งเอาจริงๆ แล้ว มิ้วและต้อมก็ทำการบ้านมาเยอะพอสมควร ทั้งสถานที่ที่จะไป (ตามรอยหมอๆ ซะส่วนใหญ่), Day-tour ซึ่งมี Ice Cape และ Glacier Trekking, วันไหนบ้างที่จะนอน รร. หรือนอนรถ ทั้งหมดก็เพื่อทำแผนการเดินทางสำหรับไปขอ Visa...อีกเรื่องที่ต้องช่วยกันตัดสินใจกัน คือ รถ Camper ที่พวกเราจะใช้ตลอด 9 วัน

เนื่องจาก บ. ที่ให้เช่ารถ Camper นั้นมีหลาย บ. และแต่ละเจ้าก็มีราคาแตกต่างกันออกไป ซึ่ง บ. ที่เป็นที่นิยมหน่อยและมีกระทู้บ่นใน Pantip น้อย คือ Happy Camper และมีอีกเจ้านึงที่ได้รับความนิยมเหมือนกัน แต่จะเห็นกระทู้บ่นและไม่แนะนำรถจากเจ้านี้ใน Pantip เยอะ นั่นคือ Kuku ซึ่งฤดูที่พวกเราไปคือฤดูหนาว และเป็นช่วงที่หิมะตกแทบทุกวัน ทำให้ถนนนั้นลื่นมากกว่าปกติมาก แล้วยังเป็น Low Season ของ Iceland อีกด้วย ทำให้พวกเราจะไม่ค่อยมีเพื่อนร่วมเดินทางคันอื่นๆ มากนัก หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง คงใช้เวลาในการขอความช่วยเหลือนานโขอยู่....แต่...Kuku ถูกกว่า จำไม่ได้แล้วว่าถูกกว่าขนาดไหน แต่ถูกกว่าจนทำให้พวกเราตัดสินใจที่จะเช่ารถกับ Kuku และคิดในแง่บวกว่า พวกเราเป็นชายฉกรรจ์ 6 คน
หากเกิดเหตุอะไรระหว่างทาง น่าจะช่วยเหลือกันจนรอดไปได้สิ

สุดท้าย เราก็ได้ Prototype แผนการเดินทางมาแบบนี้



หลังจากทุกอย่างพร้อมในระดับหนึ่ง สิ่งต้องทำต่อไปคือ Visa โดยผมขอข้ามรายละเอียดในส่วนนี้ไปละกัน เนื่องจากปัจจุบันการทำ Visa เพื่อไปประเทศ Iceland ได้เปลี่ยนสถานที่จากปี 2016 ที่ผมเคยไปทำแล้ว โดยดำเนินการภายใต้ บ. VFS ซึ่งเป็น บ. ที่ดูแลการทำ Visa ให้อีกหลายประเทศ และต้องทำการจองเวลาในการเข้าไปทำ Visa ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่จำเป็น

การจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางก็เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับทริปนี้ เนื่องจากพวกเราได้คุยกันว่าทริปนี้ของเรา จะเป็นทริปประหยัด สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดที่ประเทศ Iceland คือ แสงเหนือและธรรมชาติรอบตัว เรื่องกินเรื่องนอนเป็นเรื่องรอง (เราถึงเลือกนอนในรถกันซะเยอะ) ในเมื่อเราจองตั๋วเครื่องบินแบบ Full Service ไปพร้อม นน. กระเป๋าคนละ 30 kg (แต่ นน. ก็โดนจำกัดที่ 20 kg โดย Icelandic Air อยู่ดี) สิ่งที่เราต้องพกไปเพื่อความประหยัดของเราคือ อาหารแห้งต่างๆ ทั้งข้าวสวย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารซอง อาหารกระป๋อง ขนมขบเคี้ยวแทบจะทุกชนิด ขนกันไปเต็มลิมิต นน. กันทั้ง 6 คน เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง

ส่วนของส่วนตัวอื่นๆ อย่างเสื้อผ้าก็แล้วแต่สไตล์ของแต่ละคน โดยอุณหภูมิช่วงที่เราไปจะอยู่ที่ -7 ถึง 5 องศา C ซึ่งก็ถือว่าไม่หนาวมาก เวลาไปญี่ปุ่นหน้าหนาวก็อุณหภูมิประมาณนี้ (แต่สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนความคิด...) ตัวผมเองเตรียมอุปกรณ์สำหรับการไป Iceland ครั้งนี้โดยการไปเดินห้าง Decathlon อยู่ประมาณ 10+ ครั้ง เห็นจะได้ (รวมทุกสาขาทั่ว กทม.) โดยสมัยนั้น Decathlon ยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าปัจจุบัน เดินเหมือนเป็นห้างส่วนตัว คนน้อยมากๆ แต่ตอนนั้นเวปไซต์ของห้างยังไม่มีระบบเช็ค Stock ทำให้เวลาไปสาขานึงแล้วไม่มีไซส์ที่ต้องการ ก็ต้องขับรถไปดูอีกสาขานึง พอกะว่าจะไปซื้อของทั้งหมดที่สาขานั้น ปรากฎของบางอย่างสาขานั้นไม่มี บางทีกลับไปจัดกระเป๋าแล้วพบว่าของยังขาดอยู่อีก ก็ต้องออกไปซื้ออีกรอบ ทำให้ช่วงหนึ่งต้องขับรถวนหาของไปเรื่อยจนได้เหยียบ Decathlon มาทุกสาขาแล้ว สุดท้ายก็ได้จนครบตั้งแต่เสื้อ-กางเกงตัวใน เสื้อกันหนาวชั้น 2 และเสื้อกันหนาวหนาตัวนอก รองเท้าหุ้มข้อกันน้ำ กางเกงกันน้ำ ถุงมือกันหนาว แว่นกันแดด ฯ ล้วนมาจาก Decathlon ทั้งสิ้น (ขอบคุณมากที่มาเปิดในไทย ทำให้ผมประหยัดเงินไปได้เยอะมากเลย เพราะเสื้อกันหนาวหนาๆ ซักตัว ถ้าซื้อ The Northface คงอย่างต่ำ 6-7 พัน รองเท้าก็คงไม่ต่าง)
นอกจากเสื้อผ้าที่ต้องหาซื้อใหม่แล้ว ก็ไม่มีอะไรพิเศษ มีอุปกรณ์ส่วนตัวทั่วไป อุปกรณ์ถ่ายรูป

อีกเรื่องที่ลืมไม่ได้คือ การไปทำใบขับขี่สากล เนื่องจากทริปนี้เราได้จองรถโดยเพิ่ม Option มีคนขับรถ 2 คน คนนึงก็คือผมเอง อีกคนคือพี่ซิ้น ซึ่งการขับรถใน Iceland จะขับพวงมาลัยซ้าย จะทำให้ไม่ค่อยชินเท่าไหร่ แม้ว่าจะเคยไปขับที่อเมริกามานิดหน่อย แต่ก็ยังไม่อยากเป็น Main Driver ผมเลยขอลงเป็น Second Driver แทน โดยการไปทำใบขับขี่สากลก็ง่ายมาก สามารถหาได้ใน google ขอไม่อธิบาย
ชื่อสินค้า:   Iceland Trip
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่