ความตาย ? พิธีศพ ? มนุษย์ ?

กระทู้คำถาม
แต่ละศาสนาล้วนและแต่ละประเทศแต่ละวัฒนธรรมล้วนมีพิธีการจัดงานศพที่ต่างกัน แต่ที่เหมือนกันมีอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือเป็นการเตือนสติผู้ที่ยังอยู่ให้รู้จักใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและไม่ประมาทกับคืนวันที่ผ่านไป ในศาสนาพุทธการที่พระสวดมนต์ในงานศพ การสวดพระอภิธรรมนั้นไม่ได้สวดให้ร่างไร้วิญญาณที่เดินเหินไม่ได้และนอนอยู่ในโลงศพฟัง แต่สวดให้กับคนที่ไปในงานยังเดินเหินได้มีลมหายใจและมีชีวิตอยู่ฟัง

มนุษย์ทุกคนต้องตาย ไม่มีใครหนีความตายพ้น มีเศรษฐีท่านหนึ่งมีเงินจำนวนมหาศาล ใช้เงินซื้อความสุขความสำราญใจอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาด่วนตายจากไปกระทันหัน ท่านรู้สึกทำใจไม่ได้ เพราะตลอดเวลาที่ลูกชายของท่านมีชีวิตอยู่ ท่านแทบจะไม่ได้บอกรักลูกของตนเองเลย ดีแต่ให้เงินให้แต่ทางด้านวัตถุจนลูกชายมาด่วนตายจากไป ด้วยความเศร้าและความอาลัยจึงไปหาหมอผี หมอผีคนนี้เป็นมิจฉาชีพมีหลักจิตวิทยาสูง พอสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับลูกชายเศรษฐีที่ตายไป เขาก็ฟอร์มว่าได้เรียกวิญญาณของลูกชายเศรษฐีมาเข้าร่างและคุยกับเศรษฐีผู้เป็นพ่อ จนเศรษฐีผู้เป็นพ่อดีใจน้ำตาไหล โผเข้าไปกอดและบอกรักลูกชายเป็นการใหญ่ พอเสร็จแล้วเศรษฐีผู้นั้นได้จากไปด้วยความสบายใจและทิ้งเงินก้อนโตเอาไว้ให้หมอผีมิจฉาชีพคนนั้น คืนนั้นทั้งคืนหมอผีคนนั้นนอนไม่หลับ เพราะรู้สึกผิดที่ตนหลอกเศรษฐีคนนั้นและต้องการจะบอกเศรษฐีคนนั้นถึงความในใจของตัวเอง วันรุ่งขึ้นเขาไปที่บ้านเศรษฐีและนำเงินทั้งหมดไปคืน พร้อมกล่าวว่า " ผมไม่ใช่หมอผีจริงๆครับ ผมเป็นมิจฉาชีพที่หากินกับความเชื่อของคน ส่วนคุณท่านเศรษฐี ถ้าหากคุณรักลูกชายของคุณมาก็จริงๆ ทำไมคุณถึงไม่บอกตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ มีลมหายใจและเดินเหินได้ ทำไมคุณถึงมาบอกในตอนที่เขานั้นตายไปแล้ว " เศรษฐีได้ฟังประโยคนี้แล้วรู้สึกสะเทือนใจและขอบคุณหมอผีคนนี้มาก เขาได้นำเรื่องราวนี้ไปเล่าต่อให้ใครต่อใครอีกหลายคนฟัง เพื่อที่จะบอกว่าหากคุณรักใคร จงทำดีกับเขาตอนที่เขายังมีลมหายใจอยู่ ไม่ใช่ว่าจะต้องมาเสียใจทีหลัง เมื่อตอนถึงเวลาที่เขาจากโลกนี้ไปแล้ว

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่ง มองย้อนกลับไปในชีวิตตนเองเห็นข้อผิดพลาดที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ เขาเห็นลูกชายตัวน้อยของเขากำลังเล่นซนอยู่ ก็เลยเรียกมาและถามว่า มีชาวนาคนหนึ่ง เขาเป็นคนจนไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองอะไรมากมาย แต่ แต่เขาปรนนิบัติเลี้ยงดูบิดามารดาไม่ได้ขาดตกบกพร่อง ส่วนพ่อเป็นเศรษฐีที่มีทรัพย์มากมาย ใครเป็นคนที่มีค่ามากกว่ากัน ลูกชายเศรษฐีตอบอย่างใสซื่อก็ต้องพ่อสิครับ พ่อมีเงินมีทองมีอำนาจ อยากจะได้อะไรก็ได้ ชีวิตก็เต็มไปด้วยวัตถุต่างๆที่คอยมาอำนวยความสะดวกสบายมิได้ขาด เศรษฐีตอบว่าผิดแล้วลูก พ่อมีเงินทองมากมายก็จริง แต่พ่อเลี้ยงดูพ่อแม่เพียงแต่ด้านวัตถุ จ้างคนอื่นมาดูแลท่าน ไม่เคยเข้าไปใกล้ชิดกับท่านให้ความอบอุ่นดูแลหรือทำหน้าที่บุตรอย่างสมบูรณ์เลยสักครั้งเดียว เมื่อถึงเวลาที่ท่านจากไปหมดแล้ว พ่อคิดย้อนกลับไปรู้เสียดายวันเวลา วันเวลาที่จะมีเงินทองมากมายสักเพียงไหนก็ไม่อาจที่จะย้อนมันกลับไปได้ ส่วนชาวนาคนนั้นถึงแม้เขาจะไม่ได้มีเงินมีทองอะไรมากมาย ไม่ได้มีบ้านเรือนหลังใหญ่  แต่เขาก็ดูแลบิดามารดาด้วยตนเองอย่างดีที่สุดเท่าที่บุตรจะกระทำได้ ลูกจงเอาอย่างชาวนาคนนั้น ดูแลพ่อแม่ให้ดี เผื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า ลูกจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจแบบพ่อในตอนนี้

มนุษย์ทุกคนต้องตาย ตายไปแล้วก็เหลือเพียงแต่ร่างที่ไร้วิญญาณ มีการจัดพิธีศพตามประเพณีตามวัฒนธรรม และก็ให้แง่คิดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ส่วนคนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องถามตัวเองให้เยอะๆว่า " เราได้ทำดีกับคนที่เรารัก ดีแบ้วหรือยัง ระหว่างที่เขายังมีลมหายใจและเดินเหินได้อยู่ " หลวงพี่ก็อยากจะฝากให้โยมทั้งหลายลองพิจารณากันดูนะ น่าจะได้ประโยชน์บ้างนิดๆหน่อยๆไม่มากก็น้อย ขอให้เป็นประโยชน์นะ เจริญพร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่