o โลก...คืออะไร o

กระทู้สนทนา
ในสมัยพุทธกาล มีลูกมหาเศรษฐี ออกบวช ชาวบ้านมากมายสงสัยกันว่า ท่านมีเงินทองทรัพย์สมบัติมากมาย สามารถซื้อความสุข สิ่งของทุกอย่างในโลกนี้ได้หมด

แต่ทำไมท่านจึงละทิ้งทรัพย์สมบัติทางโลก แล้วออกบวชแสวงหาธรรมดับทุกข์ พระที่เป็นลูกเศรษฐีจึงตอบว่า…สาเหตุที่ออกบวชมี 4 ประการคือ

1.โลกคือหมู่สัตว์อันชราเข้ามาใกล้ ไม่ยั่งยืน

หมายถึงร่างกายชีวิตเรามีความแก่ เจ็บ ทรุดโทรมลงทุกวัน แม้เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ สมบัติ เงินทอง แต่ท่านมองเห็นแล้วว่าเราจะตายวันไหนยังไม่รู้เลย

ถ้าตายวันนี้สิ่งที่เราเคยครอบครองมีอยู่มันก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป คนอื่นก็ต้องมายึดถือครองแทนเรา ความเจ็บป่วย แก่ชรา ความทุกข์ทรมาณของร่างกายนับว่าเป็นทุกข์ที่สุด

เพราะฉะนั้นจึงไม่น่ายินดีหรือดีใจ เมื่อได้ร่างกายนี้มา เพราะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์มากมาย บางคนก็ตายเร็ว บางคนก็ตายช้า มันเป็นเหตุ เป็นปัจจัยปรุงแต่งของสังขาร ตามเวรตามกรรมที่เราได้สร้างสมมานับชาติไม่ถ้วน

2.โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิจ

ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสของตัณหาความอยากได้เป็นสัจธรรม ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้ คนเราก็ยังอยากได้ อยากมี อยากเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดกาล

ความอยากไม่มีที่จบสิ้น ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีวันจบ ยิ่งความเจริญทางวัตถุของมันยั่วยวนมากยิ่งขึ้น
ต้องแสวงหาเงินทองมาแลกซื้อวัตถุสิ่งของเพื่ออาศัยอยู่กิน ได้เท่าไรก็ไม่มีวันพอ ใจพร่องอยู่เป็นนิตย์ไม่มีวันอิ่ม เป็นทาสของความต้องการ

เมื่อเกิดมาแล้ว ต้องมาดิ้นรนตามความอยาก ความปรารถนาอยู่แค่นี้
คุณค่าของความเป็นมนุษย์ก็หมดลง เพราะมนุษย์เป็นผู้มีจิตใจสูง และประเสริฐกว่าสัตว์ ต้องมีปัญญา

แสวงหาสิ่งดีกว่าวัตถุสิ่งของทรัพย์สมบัติ
แสวงหาสิ่งที่ดีกว่าความสุขทางโลก นั่นคือการหลุดพ้นจากความทุกข์

เพียงแต่เราเอาความอยากออกไปจากใจอย่างเดียวปัญหาชีวิตจะหมดไป
เราต้องมาฝึกจิตใจให้สงบ (สมาธิ) แล้วพิจารณาปัญหาต่างๆให้ลงสู่กฎไตรลักษณ์ทุกครั้ง จนจิตสามารถยอมรับสภาพเรื่องราวปัญหาต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นได้ว่า บางเรื่องก็แก้ไขได้

แต่บางครั้งก็แก้ไขไม่ได้ มันเป็นธรรมดาของสรรพสิ่งในโลกนี้ เราไม่ต้องกลุ้มใจหรือเครียดไปกับปัญหานั้น เมื่อเราเป็นกลาง สามารถยอมรับที่เกิดขึ้นได้ แล้ววางอารมณ์ ปลดปล่อยไปจากจิต ความทุกข์ก็จะหมดไป

3.โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องของตัวเอง

คนเรารักตัวเองมากที่สุด หาอยู่ หากิน หาความสุข ก็เพื่อให้ตัวเองสุขสบาย
ไปมองคุณค่าทางด้านสิ่งของมากกว่าที่จะทำให้จิตใจตัวเองสงบสุข ไปหลงความอร่อยกับเรื่อง กิน กาม เกียรติ

จึงมีแต่ความโลภ โกรธหลงมากยิ่งขึ้น ใจก้เร่าร้อน วุ่นวายเหมือนอยู่ในที่มืด ไม่มีทางออกไปพบกับแสงสว่าง
ถ้าเราต้องการออกมาจากปัญหาหรือความทุกข์ จะต้องมีธรรมะเป็นที่พึ่งทางใจ

รู้จักการฝึกใจให้สงบและไม่ยึดถือความคิดที่จะทำให้ทุกข์
มองโลกและชีวิตให้ถึงแก่นแท้ ว่ามันจะได้อะไร แล้วเราจะมาดิ้นรนแสวงหาอะไรกัน เราจะได้ทุกสิ่งจากโลกนี้จริงไหม

ทางที่จะทำให้หมดความทุกข์ใจ หาเจอหรือยัง สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อชีวิต คืออะไร ต้องรู้จักคิด พิจารณาหาคำตอบให้ได้

4.โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองจริงๆจะสูญเสียทุกสิ่งไป

ทุกสิ่งที่เราได้อิงอาศัยบนโลกใบนี้ เราอยู่กับมัน ครอบครองมัน
ขณะที่มีลมหายใจอยู่เท่านั้น มันไม่ได้อยู่เช่นนั้นกับเราตลอดไป บางทีก็เปลี่ยนแปลงสูญหายไปจากเรา กลับกลายเป็นของคนอื่น

เราจึงเป็นเจ้าของโดยสมมุติชั่วคราวเท่านั้น วัตถุสิ่งของ ทรัพย์สิน ลูก เมีย ผัว หน้าที่การงาน จึงเป็นมายาลวงชั่วคราวให้เราไปลุ่มหลง มัวเมาว่าเป็นของเราตลอดไป ทำให้ต้องเหน็ดเหนื่อย ทุกข์ยาก ดิ้นรนแสวงหามา

โดยคิดว่า จะนำมาซึ่งความสุข แต่ส่วนมากสุขนิดเดียวแต่ทุกข์มากกว่าเยอะ แล้วมันคุ้มค่ากับชีวิตหรือลองคิดกันดูเอา?

บางครั้งกว่าจะได้มาต้องเอาชีวิตเข้าแลก ต้องรบรา ฆ่าฝัน แย่งชิงกัน มันจึงเป็นบ่วงคล้องคอ โซ่ตรวนตรึงตรา เป็นลูกกรงขังใจเรา ยากที่จะเป็นอิสระเสรีได้ กลับจะมีแต่ความทุกข์ ทรมาณไม่มีที่สิ้นสุด

ผู้มีปัญญาจึงมองเห็นว่า ความสุขที่สุดของชีวิตก็คือ จิตใจที่เข้าถึงความสงบระงับจากการคิดปรุงแต่ง ไม่ไปอยากได้อะไร แล้วพิจารณาด้วยปัญญา

ไม่ไปยึดติดผูกพัน ลุ่มหลงมัวเมากับสิ่งใดหรือเรื่องใด ฝึกจิตให้อิสระเสรี ปลอดโปร่ง ปลดปล่อยความคิดอารมณ์ออกไปจากจิต

เพื่อให้จิตเป็นกลาง ว่างเปล่า ไม่ติดในความสุขหรือความทุกข์ แต่ทำการงาน หน้าที่ให้ดี ถูกต้องที่สุด ไม่ไปเป็นทุกข์หรือวุ่นวายกับมัน จิตใจปล่อยวางให้สบาย

และพึงคิดเสมอว่า สุข ทุกข์ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ทำทุกอย่างให้สมบูรณ์ไปตามหน้าที่ในโลกสมมุติเท่านั้น


ขอบคุณที่มา: หนังสือชีวิตเสรี
โดยพระยุทธนา เตชปญโญ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่