หัวเมืองชั้นต่างๆของไทยในสมัยก่อนมีลักษณะเป็นแบบไหนครับ

ก่อนอื่นขอเท้าความก่อนว่าผมพอมีความรู้เล็กน้อยๆว่าหัวเมืองของไทยเราสมัยก่อนแบ่งเป็น 4-5ชั้น
ชั้นจัตวา ชั้นนี้เจ้าเมืองไม่สามารถสั่งการทหารได้ รับคำสั่งมาจากเมืองหลวงอีกที
ชั้นตรี โท  อันนี้เจ้าเมืองคุมทั้งทหารและพลเรือนเลย
ชั้นเอก อันนี้หัวเมืองใหญ่อิสระสูงมาก เจ้าเมืองตำแหน่งใหญ่เกือบเท่าอัครมหาเสนาบดีเลย
แล้วก็ประเทศราช กษัตริย์เมืองนั้นดูแลตัวเองแต่ต้องส่งบรรณาการ

แต่ทีนี้ผมไปดูยุคกลางของยุโรป คือ พวกลอร์ด ดยุคอะไรทำนองนั้น กษัตริย์จะมอบที่ดินประจำตระกูลให้ มีปราสาท กำแพง ทหาร เป็นของตัวเองทั้งหมดเปรียบเสมือนแค่ตัวเองเป็นประเทศราชในแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย ทีนี้เลยเกิดคำถามว่า

คำถามคือ
1.หัวเมืองชั้นต่างๆนี่มีกำแพงเมืองเป็นของตนเองไหมครับ ถ้ามีระดับหัวเมืองชั้นไหนถึงมีกำแพงเมืองได้

2.บ้านของเจ้าเมืองเนี้ย เป็นปราสาทหรือวังไหมครับ ถ้ามีหัวเมืองชั้นไหนถึงมีปราสาทได้ หรือมีเพียงบ้านไม้หลังใหญ่พิเศษ
2.1 หากมีปราสาทให้ ใช้แค่ทำงานหรือสามารถนอนได้เลยครับ
2.2ถ้าหากไม่เป็น จะเป็นเรือนไม้ธรรมดาแต่หลังใหญ่ หรือ มีกำแพงไม้ใหญ่เป็นเหมือนค่ายกั้นไว้ หรือ เป็นกำแพงปูนกั้นครับ

รูปภาพประกอบครับ
1.รูปภาพจวนเจ้าเมืองเป็นแบบบ้านไม้ธรรมดาแต่มีกำแพงไม้เป็นค่ายล้อม
2.หัวเมืองชั้นเอกจากเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
1. ส่วนใหญ่มีครับ แต่ไม่จำเป็นต้องมีทุกเมือง เป็นตามที่คุณน้องหมูแดงอธิบายคือมีการรื้อกำแพงบางเมืองในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ บางเมืองอาจมีแต่คันดินปักระเนียดไม้ ไม่ใช่กำแพงก่ออิฐถือปูนหรือศิลาแลงซึ่งมักจะพบในเมืองใหญ่ เช่น พิษณุโลก สวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร ลพบุรี นครราชสีมา นครศรีธรรมราช สงขลา ฯลฯ



2. ปราสาทหมายถึงเรือนที่มียอดครับ ตามจารีตโบราณมีแต่ที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้นที่สามารถสร้างเป็นปราสาทได้ แม้แต่วังหน้าของพระมหาอุปราชก็ไม่มีการสร้างปราสาท

เล่ากันว่าในสมัยรัชกาลที่ 3   กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์จะทรงสร้างวัดบวรสุทธาวาสหรือวัดพระแก้ววังหน้าให้มียอดเป็นปราสาท จนปรุงตัวไม้แล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบ มีรับสั่งให้ไปห้ามว่า ในวังหน้าไม่มีธรรมเนียมที่จะมีปราสาท กล่าวกันว่าเป็นเหตุให้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพน้อยพระทัยมาก จึงโปรดให้แก้เป็นหลังคาจตุรมุขอย่างเช่นปรากฏอยู่ทุกวันนี้

เรือนของเจ้าเมืองส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นเรือนไม้เครื่องสับสร้างเป็นหมู่อาคารเรือนเจ้านายขุนนางไม่ค่อยแตกต่างกันนัก ส่วนใหญ่จะไม่สร้างอาคารก่ออิฐถือปูนเป็นตึก เพราะอากาศไม่ถ่ายเท และเป็นอาคารที่นิยมสร้างกันในหมู่ชนชั้นสูงหรือพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น


จากภาพที่ยกมาก็ดูสร้างสมเหตุสมผลอยู่ครับ เพราะตัวละครพระพิชัยเป็นเจ้าเมืองวิเศษไชยชาญ ตามพระไอยการตำแหน่งนาหัวเมืองฉบับอยุธยา คือ "ออกพระวิเสศไชยชาญ ออกเมืองอ่างทอง" มีศักดินาแค่ 1600 ไร่  (กฎหมายตราสามดวงระบุว่า 3000 ไร่) เมืองอ่างทองเป็นเมืองชั้นจัตวาขนาดเล็ก ไม่มีกำแพงเมือง เจ้าเมืองอยู่ในจวนที่ล้อมรั้วด้วยไม้ระเนียดก็ดูสมฐานะอยู่


แต่ถ้าเป็นหัวเมืองชั้นเอกอุอย่างพิษณุโลก  จะมีพระราชวังจันทร์เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์  เพราะในอดีตพิษณุโลกเคยเป็นศูนย์กลางของหัวเมืองฝ่ายเหนือที่มี "มหาธรรมราชา" เป็นผู้ปกครอง ภายหลังก็กลายเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และพระมหาอุปราชจากกรุงศรีอยุทธยา

ต่อมาในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงสถาปนาขุนพิเรนทรเทพขึ้นเป็น "มหาธรรมราชา" ครองเมืองพิษณุโลกในฐานะกษัตริย์ เป็นเจ้าขัณฑสีมาเหนือหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้ง 7 เมือง พิษณุโลกในยุคนั้นจึงไม่ต่างจากราชสำนักอีกแห่งหนึ่ง ไม่ได้เป็นแค่เจ้าเมืองชั้นเอก การจะมีวังที่ดูหรูหราแบบในภาพที่สองก็ไม่แปลกครับ (เมืองเหนืออื่นเช่น สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร ในสมัยอยุทธยาตอนต้นยังปกครองโดยกษัตริย์ หลังยุคสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถเป็นเมืองพญามหานคร เจ้าเมืองมีหลักฐานว่าเป็นเชื้อพระวงศ์มาจนถึงสมัยพระเจ้าปราสาททองเป็นอย่างน้อย จึงน่าจะมีวังกันหมด)

หลังสมัยสมเด็จพระนเรศ ไม่ปรากฏว่ามีเจ้าปกครองเมืองเหนือเป็นสิทธิขาดอีก มีแต่ขุนนางปกครอง วังจันทร์จึงอาจไม่ได้ใช้เป็นจวนขุนนางอีก และน่าจะมีการปลูกจวนเจ้าเมืองแยกต่างหาก  แต่จดหมายเหตุลาลูแบร์บันทึกว่าในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ยังพิจารณาคดีความในวังของเจ้าผู้ครองเมืองพิษณุโลกในอดีต ซึ่งเข้าใจว่าคือวังจันทร์ครับ



เมืองนครศรีธรรมราชเป็นเมืองใหญ่ทางใต้ที่มีอิสระจากอยุทธยามากพอสมควร มีเครือข่ายความสัมพันธ์กับหัวเมืองทางใต้หลายเมือง เช่น พัทลุง สงขลา ปาตานี ทำให้เจ้าเมืองนครมีอิทธิพลมาก  ในสมัยกรุงธนบุรียกเจ้านครขึ้นเป็นเจ้าประเทศราชเสมอด้วยกษัตริย์ จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ก็พบหลักฐานว่ามีแผนผังวังเมืองนครในหนังสือตำรา 12 เดือน เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2329 สมัยรัชกาลที่ 1 คัดแต่สมุดขุนทิพมณเทียรชาววัง




วังเจ้านครถูกใช้เป็นจวนเจ้าพระยานครศรีธรรมราชมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ได้เสด็จไปชมวังเจ้านครเมื่อปีจอ พ.ศ. 2427 ทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสือ "ชีวิวัฒน์" ว่า





แต่ถึงเรียกว่า "วัง" จริงๆ ก็เป็นเพียงกลุ่มอาคารไม้ ไม่ได้หรูหราอะไรนัก จะเห็นได้ว่าแม้แต่หอนั่ง (เรือนรับแขก) ในวังเจ้านครยังมุงหลังคาด้วยใบจากเท่านั้น


สันนิษฐานว่าสมัยโบราณเรียกจวนเจ้าเมืองว่า "วัง"     เพราะเจ้าเมืองในยุคแรกๆ ก็เปรียบเสมือนเจ้าผู้ครองเมืองที่มีอำนาจเป็นสิทธิขาดในเมืองของตนเอง ปรากฏในพระไอยการตำแหน่งนาหัวเมือง ของหัวเมืองเอก โท ตรี จะมีตำแหน่งกรมการเมืองเป็น เมือง วัง คลัง นา เหมือนกันกับราชธานี (เมืองจัตวาไม่มี)  

ในสมัยรัชกาลที่ 1 ที่เจ้าเมืองนครเป็นขุนนาง จวนเจ้าเมืองที่ถูกสร้างในรัชกาลนั้นก็ถูกเรียกว่า "วัง" มาจนสมัยหลังครับ    จวนเจ้าเมืองพัทลุงก็ถูกเรียกว่า "วัง" มาจนวันนี้เหมือนกันครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่