มาต่อกันที่ภาคสองครับ ส่วนจัดแสดงถาวรโซนถัดไปของนิทรรศการเป็นการแสดงเครื่องมือแต่ละประเภทที่อยู่ใน Tool Box ของช่างญี่ปุ่น โดยทั้งโซนนี้จะแยกออกเป็นหมวดหมู่ชัดเจน ให้คนที่มาเดินชมได้เห็นรูปแบบและวิธีการใช้งานจริงๆของเครื่องมือแต่ละชิ้นด้วยครับ โดยโซนแรกจะเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการวัด และกำหนดขนาด ซึ่งก็หนีไม่พ้นอุปกรณ์พื้นฐานอย่าง ขอขีดไม้ ฉาก ลูกดิ่ง ระดับน้ำ และปักเต้าที่ใช้ในการกำหนดเส้นครับ
เครื่องมือพื้นฐานอย่างขอขีดเป็นอุปกรณ์สำคัญในการ Layout ชิ้นงานครับ เพราะการใช้มีดกรีดลงไปบนเนื้อไม้นอกจากจะให้เส้นที่คมและแม่นยำกว่าการใช้ดินสอหรือ ปากกา (ขนาดความกว้างจากเส้นของดินสอหรือปากกาอยู่ตั้งแต่ 0.3 - 0.5 มม. แต่ร่องที่กรีดด้วยมีดเล็กกว่ามาก) ร่องบากที่เกิดจากมีดยังสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือน Stop ที่จะช่วยให้สิ่วลงไปวางแน่นิ่งตามเส้นมีดได้อย่างมั่นคง และเวลาตกแต่ง Joinery จะได้สับลงตามเส้นได้อย่างแม่นยำมากขึ้นครับ ข้อสังเกตุที่น่าสนใจคือขอขีดลักษณะนี้ของญี่ปุ่นจะเป็นใบมีดทั้งใบ เหมือนๆมีดแกะสลัก แต่หักมุมส่วนปลาย 90 องศา ข้อดีคือได้เหล็กที่มีคุณภาพสูงเทียบเท่ากับที่ใช้ในใบกบ และยังสามารถลับได้เรื่อยๆทำให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้นนั่นเองครับ
สมัยก่อนยังไม่มีปากกาหรือดินสอใช้ ช่างชาวญี่ปุ่นก็ใช้ไม้ไผ่มาเหลาๆให้ปลายคมๆแบนๆ และใช้จุ่มหมึกเพื่อลากเส้นแทนปากกาครับ ไม้ไผ่ทนมากอยู่แล้ว และยังสามารถใช้มีดเหลาได้เรื่อยๆทำให้เส้นที่เกิดจากปากกาไม้ไผ่คมอยู่เสมอ เหมาะกับการวางตำแหน่งชิ้นงานอย่างละเอียดได้ดีครับ
อุปกรณ์สำคัญอีกชิ้นคือปักเต้า ปักเต้าของญี่ปุ่นทำด้วยไม้มีรูปทรงที่สวยงามคลาสสิคมาก การทำงานก็คล้ายๆของปัจจุบัน แต่ของญี่ปุ่นจะเป็นการใช้สำลีหรือเศษผ้าชุ่มหมึกแช่อยู่ในอ่างเล็กๆด้านหน้าแทนการใช้ฝุ่นสีครับ ส่วนด้านหลังจะเป็นล้อที่ปั่นด้ายเส้นเล็ก ผ่านอ่างหมึกด้านหน้า โดยฝั่งตรงข้ามใช้เข็มแทงลงไปในเนื้อไม้เพื่อยึดไม่ให้ด้ายดิ้นหลุด แล้วผู้ใช้ก็เอามือดึงเส้นด้ายให้ดีดลงบนเนื้อไม้ แทนการลากเส้นยาวๆได้แม่นยำ และไม่เทอะทะเหมือนการใช้ไม้บรรทัด ปักเต้าส่วนมากจะเป็นรูปทรงธรรมดา แต่อาจจะมีบางกรณีพิเศษที่จะมีการแกะสลักลวดลายสวยงามอย่างวิจิตร หรือแกะเป็นรูปทรงของสัตว์ในตำนานของญี่ปุ่น ซึ่งปักเต้าที่มีการแกะสลักสวยงามน่าจะเป็นของสะสมของช่างมากกว่าของใช้งานทั่วไปครับ
ปักเต้าที่แกะสลักเป็นรูปปลาคาร์ฟ วิธีการใช้งานเหมือนๆกันแต่มีรูปทรงที่สวยงามน่าสะสม
โซนถัดมาเป็นการจัดแสดงเลื่อยประเภทต่างๆที่ใช้ในงานไม้ครับ จริงๆในช่วงยุค Iron ก็มีเลื่อยปรากฎให้เห็นแล้วแต่ยังเนื่องจากชาวญี่ปุ่นยังไม่ได้ค้นพบการทำ Tool Steel เลื่อยในยุค Iron เลยยังใช้งานได้ไม่ค่อยดี เพราะเนื่องจาก Iron นั้นนิ่มเลยต้องทำเลื่อยให้เพลทหนากว่าปรกติ และยังทำการเซทฟันเลื่อยได้ลำบากเนื่องจากแผ่นใบเลื่อยที่หนาทำให้เลื่อยในยุคเริ่มต้นไม่เป็นที่นิยมนัก
พอมาถึงยุคที่คิดค้น Tool Steel ได้แล้ว แผ่นเพลทใบเลื่อยมีความบางลงมาก และสามารถเซทฟันเลื่อยได้ง่ายขึ้น ทำให้มีการใช้งานเลื่อยแพร่หลายมากขึ้นกว่าเดิม และเลื่อยยังได้มีวิวัฒนาการไปเป็นรูปแบบต่างๆเพื่อใช้เป็นงานเฉพาะทางอย่าง การตัดตามขวาง ตามเสี้ยนไม้ และเลื่อยขนาดเล็กๆที่ใช้ทำ Joinery ด้วยครับ
เลื่อยรูปทรงต่างๆที่มีการจัดแสดงในนิทรรศการ หลักๆคือตัดตามขวาง หรือตามยาวนะละครับ ส่วนประเภทอื่นๆก็เป็น ประเภทที่มีขนาดและรูปทรงที่แยกย่อยออกมาจากสองประเภทนี้ เพื่อใช้ในการงานหลายๆประเภท
โซนถัดมาเป็นสิ่วที่เราเห็นๆกันเป็นประจำ สิ่วญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจมาก ทั้งรูปแบบของท้องสิ่วที่ถูกตีเว้าเพื่อลดภาระในการลับคม และเตรียมหลังสิ่ว และการใช้เหล็กสองชนิดมาประกบติดกัน โดยเหล็กที่ใช้ในการตัดไม้จะเป็น High Carbon Steel ที่ด้านล่าง ส่วนด้านบนก็จะเป็นเหล็ก Mild Steel ที่นิ่มกว่า ซึ่งเหล็กที่นิ่มกว่ายังทำหน้าที่เป็นเหมือนโช๊คช่วยรับแรงกระแทกเวลาใช้งานหนักๆได้ดี และช่วยให้คมตัดใช้งานได้ยาวนานมากขึ้นด้วยครับ
จากภาพพด้านบนลงมาล่าง สิ่วหลากหลายประเภทที่แบ่งแยกรูปทรงไปตามการใช้งาน โดยภาพบนสุดจะเป็นสิ่ว Bench Chisel หรือสิ่วอเนกประสงค์ที่ใช้ในงานทั่วไป ส่วนภาพกลางเป็นสิ่วหน้าโค้งโดยเฉพาะ เข้าใจว่านำมาเพื่อขูดไม้ได้ออกทีละมากๆ หรือสร้างเป็น Texture บนเนื้อไม้ ส่วนแบบสุดท้ายเป็นสิ่วที่ใช้เก็บงานละเอียด สังเกตุได้จากรูปทรงที่มีขอบบางๆป้องกันไม่ให้ขอบสิ่วไปขูดกับขอบข้างของไม้เวลาเก็บงานครับ
ส่วนจัดแสดงสิ่วที่ถูกใช้งานมาอย่างยาวนานจนสึกเกือบถึงก้าน (ก็ยังใช้งานต่อได้) จะสังเกตุเห็นเหล็กสองประเภทที่ซ้อนกันอยู่ตลอดทั้งตัว
ส่วนถัดมาเป็นพื้นที่จัดแสดงกบไม้ญี่ปุ่น หรือที่ช่างญี่ปุ่นเรียกว่า "คันนะ" นั่นเองครับ กบญี่ปุ่นมีงานใช้งานกันอย่างแพร่หลาย และตามไสตล์กบทางโซนเอเซีย ที่ไม่ได้มีการเซทอัพ หรือชิ้นส่วนที่ซับซ้อนมากมาย (น่าจะได้อิทธิพลมากจากเมืองจีน) ถ้าจะให้อธิบายกันตรงๆก็คือใบเหล็กที่เสียบอยู่ในตัวท่อนไม้เท่านั้นเองครับ การปรับจะอาศัยการเคาะด้วยค้อน ถ้าปรับใบให้ลึกก็เคาะที่ตัวใบโดยตรง ถ้าจะให้ใบตื้นก็เคาะที่ตัวกบด้านหลัง ส่วนปรับเอียงซ้ายขวาก็เคาะที่ขอบใบซ้ายขวาทั้งสองด้านครับ
กบนั้นมีความหลากหลายมาก แต่อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน คือถ้าจะเพิ่มรูปแบบการใช้งานก็สามารถเปลี่ยนรูปทรงท้อง และทำการตั้งรูปทรงใบใหม่ ให้มีรูปแบบที่หลากหลายได้ อย่างกบท้องโค้งที่ใช้เก็บผิวโค้ง หรือกบเก็บขอบข้างที่ปรับให้ใบเอียง และยื่นออกไปสุดที่ตัวกบด้านใดด้านหนึ่ง
ปัญหาที่เกิดกับกบญี่ปุ่นคือการที่ท้องสูญเสียระนาบเรียบ เนื่องจากตัวกบทำด้วยไม้โอ๊คซึ่งเป็นวัสดุที่มาจากธรรมชาติ และมีการเปลี่ยนรูปทรงอย่างต่อเนื่องไปตามมวลความชิ้นที่อยู่ในอากาศ เวลาใช้ไปถ้ามีการเปลี่ยนฤดู ตัวกบก็อาจจะโก่ง บิด เบี้ยวไปตามเกรนไม้ ทำให้ท้องกบที่ควรจะเรียบไม่ได้เรียบอยู่ตลอดเวลา ช่างชาวญี่ปุ่นจึงมีกบที่ใช้ในการปรับความเรียบของท้องกบเพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้ครับ
กบที่ใช้ปรับท้องกบเป็นลักษณะใบตั้งขึ้น 90 องศา ใช้ในการขูดปรับท้องให้ได้ระนาบเรียบเสมอกัน โดยส่วนที่ควรจะอยู่ในแนวระนาบเดียวกันของท้องกบจะมีส่วนหน้าสุด ส่วนหลังสุด และส่วนเนื้อไม้ด้านหน้าปากกบ และใบกบครับ ดังนั้นส่วนไหนที่ไม่ได้อยู่ในสามส่วนนี้สามารถปรับให้เว้าเข้าไปได้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีส่วนเกินยื่นออกมารบกวนระนาบของสามส่วนสำคัญที่กล่าวมา
ส่วนจัดแสดงตัวกบที่ผ่านการใช้งานและปรับท้องมาอย่างโชกโชน กับกบใหม่ๆ จะเห็นได้ว่าไม้บางลงอย่างชัดเจน เพราะทุกครั้งที่มีการปรับท้อง ส่วนเนื้อไม้ก็จะทยอยสูญเสียความหนาไปเรื่อยๆตามการใช้งาน
ส่วนสุดท้ายก่อที่จะลงไปชั้นต่อไปคือหินลับมีด หินที่นำมาเป็นตัวอย่างจัดแสดงมีสินค้าจากบริษัท Matsunaga หรือ King ที่วางขายอยู่ใน Siam Woodworker ด้วย แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของบริษัทที่อยู่คู่ช่างญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ในส่วนจัดแสดงมีทั้งหินที่มาจากธรรมชาติ ซึ่งส่วนตัวผมเองไม่ได้มีความเข้าใจ และเชี่ยวชาญ แต่ก็มีหินสังเคราะห์อยู่ด้วย และส่วนที่น่าสนใจคือมีการโชว์พื้นผิวของใบกบที่ถูกลับด้วยหินลับมีดแบบต่างๆอยู่ ว่ามีผิวสัมผัสเป็นยังไงบ้าง และในใบที่ถูกลับด้วยเบอร์ 8000 ยังมีการเซทอัพกล้องไมโครโสคปให้เห็นด้วยครับ ว่าปลายคมที่ออกมามีความเรียบขนาดไหน สำหรับท่านๆที่ยังไม่เคยเห็นถือว่าเปิดโลกและน่าสนใจมากทีเดียวครับ
ส่วนจัดแสดงใบกบที่ถูกลับด้วยหินเบอร์ละเอียดสุดหรือที่เรียกกันว่า Finishing Stone มีการเซทอัพกล้องจุลทัศน์ส่องปลายใบแล้วฉายขึ้นมอนิเตอร์เล็กๆให้ดูด้วยว่าลักษณะของคมที่เกิดขึ้นมีรูปแบบเป็นยังไงบ้าง
ในบความหน้าซึ่งเป็นตอนจบ Part 03 เราจะลงไปดูส่วนพื้นที่จัดแสดงชั้นล่างกันครับ ว่ามีส่วนเพิ่มเติมที่น่าสนใจอะไรอีกบ้าง
Link Part 01 :
https://pantip.com/topic/38404476
Link Part 03 :
https://pantip.com/topic/38404749
Takenaka Carpentry Tools Museum Part 02_Siam Woodworker
มาต่อกันที่ภาคสองครับ ส่วนจัดแสดงถาวรโซนถัดไปของนิทรรศการเป็นการแสดงเครื่องมือแต่ละประเภทที่อยู่ใน Tool Box ของช่างญี่ปุ่น โดยทั้งโซนนี้จะแยกออกเป็นหมวดหมู่ชัดเจน ให้คนที่มาเดินชมได้เห็นรูปแบบและวิธีการใช้งานจริงๆของเครื่องมือแต่ละชิ้นด้วยครับ โดยโซนแรกจะเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการวัด และกำหนดขนาด ซึ่งก็หนีไม่พ้นอุปกรณ์พื้นฐานอย่าง ขอขีดไม้ ฉาก ลูกดิ่ง ระดับน้ำ และปักเต้าที่ใช้ในการกำหนดเส้นครับ
เครื่องมือพื้นฐานอย่างขอขีดเป็นอุปกรณ์สำคัญในการ Layout ชิ้นงานครับ เพราะการใช้มีดกรีดลงไปบนเนื้อไม้นอกจากจะให้เส้นที่คมและแม่นยำกว่าการใช้ดินสอหรือ ปากกา (ขนาดความกว้างจากเส้นของดินสอหรือปากกาอยู่ตั้งแต่ 0.3 - 0.5 มม. แต่ร่องที่กรีดด้วยมีดเล็กกว่ามาก) ร่องบากที่เกิดจากมีดยังสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือน Stop ที่จะช่วยให้สิ่วลงไปวางแน่นิ่งตามเส้นมีดได้อย่างมั่นคง และเวลาตกแต่ง Joinery จะได้สับลงตามเส้นได้อย่างแม่นยำมากขึ้นครับ ข้อสังเกตุที่น่าสนใจคือขอขีดลักษณะนี้ของญี่ปุ่นจะเป็นใบมีดทั้งใบ เหมือนๆมีดแกะสลัก แต่หักมุมส่วนปลาย 90 องศา ข้อดีคือได้เหล็กที่มีคุณภาพสูงเทียบเท่ากับที่ใช้ในใบกบ และยังสามารถลับได้เรื่อยๆทำให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้นนั่นเองครับ
สมัยก่อนยังไม่มีปากกาหรือดินสอใช้ ช่างชาวญี่ปุ่นก็ใช้ไม้ไผ่มาเหลาๆให้ปลายคมๆแบนๆ และใช้จุ่มหมึกเพื่อลากเส้นแทนปากกาครับ ไม้ไผ่ทนมากอยู่แล้ว และยังสามารถใช้มีดเหลาได้เรื่อยๆทำให้เส้นที่เกิดจากปากกาไม้ไผ่คมอยู่เสมอ เหมาะกับการวางตำแหน่งชิ้นงานอย่างละเอียดได้ดีครับ
อุปกรณ์สำคัญอีกชิ้นคือปักเต้า ปักเต้าของญี่ปุ่นทำด้วยไม้มีรูปทรงที่สวยงามคลาสสิคมาก การทำงานก็คล้ายๆของปัจจุบัน แต่ของญี่ปุ่นจะเป็นการใช้สำลีหรือเศษผ้าชุ่มหมึกแช่อยู่ในอ่างเล็กๆด้านหน้าแทนการใช้ฝุ่นสีครับ ส่วนด้านหลังจะเป็นล้อที่ปั่นด้ายเส้นเล็ก ผ่านอ่างหมึกด้านหน้า โดยฝั่งตรงข้ามใช้เข็มแทงลงไปในเนื้อไม้เพื่อยึดไม่ให้ด้ายดิ้นหลุด แล้วผู้ใช้ก็เอามือดึงเส้นด้ายให้ดีดลงบนเนื้อไม้ แทนการลากเส้นยาวๆได้แม่นยำ และไม่เทอะทะเหมือนการใช้ไม้บรรทัด ปักเต้าส่วนมากจะเป็นรูปทรงธรรมดา แต่อาจจะมีบางกรณีพิเศษที่จะมีการแกะสลักลวดลายสวยงามอย่างวิจิตร หรือแกะเป็นรูปทรงของสัตว์ในตำนานของญี่ปุ่น ซึ่งปักเต้าที่มีการแกะสลักสวยงามน่าจะเป็นของสะสมของช่างมากกว่าของใช้งานทั่วไปครับ
ปักเต้าที่แกะสลักเป็นรูปปลาคาร์ฟ วิธีการใช้งานเหมือนๆกันแต่มีรูปทรงที่สวยงามน่าสะสม
โซนถัดมาเป็นการจัดแสดงเลื่อยประเภทต่างๆที่ใช้ในงานไม้ครับ จริงๆในช่วงยุค Iron ก็มีเลื่อยปรากฎให้เห็นแล้วแต่ยังเนื่องจากชาวญี่ปุ่นยังไม่ได้ค้นพบการทำ Tool Steel เลื่อยในยุค Iron เลยยังใช้งานได้ไม่ค่อยดี เพราะเนื่องจาก Iron นั้นนิ่มเลยต้องทำเลื่อยให้เพลทหนากว่าปรกติ และยังทำการเซทฟันเลื่อยได้ลำบากเนื่องจากแผ่นใบเลื่อยที่หนาทำให้เลื่อยในยุคเริ่มต้นไม่เป็นที่นิยมนัก
พอมาถึงยุคที่คิดค้น Tool Steel ได้แล้ว แผ่นเพลทใบเลื่อยมีความบางลงมาก และสามารถเซทฟันเลื่อยได้ง่ายขึ้น ทำให้มีการใช้งานเลื่อยแพร่หลายมากขึ้นกว่าเดิม และเลื่อยยังได้มีวิวัฒนาการไปเป็นรูปแบบต่างๆเพื่อใช้เป็นงานเฉพาะทางอย่าง การตัดตามขวาง ตามเสี้ยนไม้ และเลื่อยขนาดเล็กๆที่ใช้ทำ Joinery ด้วยครับ
เลื่อยรูปทรงต่างๆที่มีการจัดแสดงในนิทรรศการ หลักๆคือตัดตามขวาง หรือตามยาวนะละครับ ส่วนประเภทอื่นๆก็เป็น ประเภทที่มีขนาดและรูปทรงที่แยกย่อยออกมาจากสองประเภทนี้ เพื่อใช้ในการงานหลายๆประเภท
โซนถัดมาเป็นสิ่วที่เราเห็นๆกันเป็นประจำ สิ่วญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจมาก ทั้งรูปแบบของท้องสิ่วที่ถูกตีเว้าเพื่อลดภาระในการลับคม และเตรียมหลังสิ่ว และการใช้เหล็กสองชนิดมาประกบติดกัน โดยเหล็กที่ใช้ในการตัดไม้จะเป็น High Carbon Steel ที่ด้านล่าง ส่วนด้านบนก็จะเป็นเหล็ก Mild Steel ที่นิ่มกว่า ซึ่งเหล็กที่นิ่มกว่ายังทำหน้าที่เป็นเหมือนโช๊คช่วยรับแรงกระแทกเวลาใช้งานหนักๆได้ดี และช่วยให้คมตัดใช้งานได้ยาวนานมากขึ้นด้วยครับ
จากภาพพด้านบนลงมาล่าง สิ่วหลากหลายประเภทที่แบ่งแยกรูปทรงไปตามการใช้งาน โดยภาพบนสุดจะเป็นสิ่ว Bench Chisel หรือสิ่วอเนกประสงค์ที่ใช้ในงานทั่วไป ส่วนภาพกลางเป็นสิ่วหน้าโค้งโดยเฉพาะ เข้าใจว่านำมาเพื่อขูดไม้ได้ออกทีละมากๆ หรือสร้างเป็น Texture บนเนื้อไม้ ส่วนแบบสุดท้ายเป็นสิ่วที่ใช้เก็บงานละเอียด สังเกตุได้จากรูปทรงที่มีขอบบางๆป้องกันไม่ให้ขอบสิ่วไปขูดกับขอบข้างของไม้เวลาเก็บงานครับ
ส่วนจัดแสดงสิ่วที่ถูกใช้งานมาอย่างยาวนานจนสึกเกือบถึงก้าน (ก็ยังใช้งานต่อได้) จะสังเกตุเห็นเหล็กสองประเภทที่ซ้อนกันอยู่ตลอดทั้งตัว
ส่วนถัดมาเป็นพื้นที่จัดแสดงกบไม้ญี่ปุ่น หรือที่ช่างญี่ปุ่นเรียกว่า "คันนะ" นั่นเองครับ กบญี่ปุ่นมีงานใช้งานกันอย่างแพร่หลาย และตามไสตล์กบทางโซนเอเซีย ที่ไม่ได้มีการเซทอัพ หรือชิ้นส่วนที่ซับซ้อนมากมาย (น่าจะได้อิทธิพลมากจากเมืองจีน) ถ้าจะให้อธิบายกันตรงๆก็คือใบเหล็กที่เสียบอยู่ในตัวท่อนไม้เท่านั้นเองครับ การปรับจะอาศัยการเคาะด้วยค้อน ถ้าปรับใบให้ลึกก็เคาะที่ตัวใบโดยตรง ถ้าจะให้ใบตื้นก็เคาะที่ตัวกบด้านหลัง ส่วนปรับเอียงซ้ายขวาก็เคาะที่ขอบใบซ้ายขวาทั้งสองด้านครับ
กบนั้นมีความหลากหลายมาก แต่อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน คือถ้าจะเพิ่มรูปแบบการใช้งานก็สามารถเปลี่ยนรูปทรงท้อง และทำการตั้งรูปทรงใบใหม่ ให้มีรูปแบบที่หลากหลายได้ อย่างกบท้องโค้งที่ใช้เก็บผิวโค้ง หรือกบเก็บขอบข้างที่ปรับให้ใบเอียง และยื่นออกไปสุดที่ตัวกบด้านใดด้านหนึ่ง
ปัญหาที่เกิดกับกบญี่ปุ่นคือการที่ท้องสูญเสียระนาบเรียบ เนื่องจากตัวกบทำด้วยไม้โอ๊คซึ่งเป็นวัสดุที่มาจากธรรมชาติ และมีการเปลี่ยนรูปทรงอย่างต่อเนื่องไปตามมวลความชิ้นที่อยู่ในอากาศ เวลาใช้ไปถ้ามีการเปลี่ยนฤดู ตัวกบก็อาจจะโก่ง บิด เบี้ยวไปตามเกรนไม้ ทำให้ท้องกบที่ควรจะเรียบไม่ได้เรียบอยู่ตลอดเวลา ช่างชาวญี่ปุ่นจึงมีกบที่ใช้ในการปรับความเรียบของท้องกบเพื่อจัดการปัญหาเหล่านี้ครับ
กบที่ใช้ปรับท้องกบเป็นลักษณะใบตั้งขึ้น 90 องศา ใช้ในการขูดปรับท้องให้ได้ระนาบเรียบเสมอกัน โดยส่วนที่ควรจะอยู่ในแนวระนาบเดียวกันของท้องกบจะมีส่วนหน้าสุด ส่วนหลังสุด และส่วนเนื้อไม้ด้านหน้าปากกบ และใบกบครับ ดังนั้นส่วนไหนที่ไม่ได้อยู่ในสามส่วนนี้สามารถปรับให้เว้าเข้าไปได้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีส่วนเกินยื่นออกมารบกวนระนาบของสามส่วนสำคัญที่กล่าวมา
ส่วนจัดแสดงตัวกบที่ผ่านการใช้งานและปรับท้องมาอย่างโชกโชน กับกบใหม่ๆ จะเห็นได้ว่าไม้บางลงอย่างชัดเจน เพราะทุกครั้งที่มีการปรับท้อง ส่วนเนื้อไม้ก็จะทยอยสูญเสียความหนาไปเรื่อยๆตามการใช้งาน
ส่วนสุดท้ายก่อที่จะลงไปชั้นต่อไปคือหินลับมีด หินที่นำมาเป็นตัวอย่างจัดแสดงมีสินค้าจากบริษัท Matsunaga หรือ King ที่วางขายอยู่ใน Siam Woodworker ด้วย แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของบริษัทที่อยู่คู่ช่างญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ในส่วนจัดแสดงมีทั้งหินที่มาจากธรรมชาติ ซึ่งส่วนตัวผมเองไม่ได้มีความเข้าใจ และเชี่ยวชาญ แต่ก็มีหินสังเคราะห์อยู่ด้วย และส่วนที่น่าสนใจคือมีการโชว์พื้นผิวของใบกบที่ถูกลับด้วยหินลับมีดแบบต่างๆอยู่ ว่ามีผิวสัมผัสเป็นยังไงบ้าง และในใบที่ถูกลับด้วยเบอร์ 8000 ยังมีการเซทอัพกล้องไมโครโสคปให้เห็นด้วยครับ ว่าปลายคมที่ออกมามีความเรียบขนาดไหน สำหรับท่านๆที่ยังไม่เคยเห็นถือว่าเปิดโลกและน่าสนใจมากทีเดียวครับ
ส่วนจัดแสดงใบกบที่ถูกลับด้วยหินเบอร์ละเอียดสุดหรือที่เรียกกันว่า Finishing Stone มีการเซทอัพกล้องจุลทัศน์ส่องปลายใบแล้วฉายขึ้นมอนิเตอร์เล็กๆให้ดูด้วยว่าลักษณะของคมที่เกิดขึ้นมีรูปแบบเป็นยังไงบ้าง
ในบความหน้าซึ่งเป็นตอนจบ Part 03 เราจะลงไปดูส่วนพื้นที่จัดแสดงชั้นล่างกันครับ ว่ามีส่วนเพิ่มเติมที่น่าสนใจอะไรอีกบ้าง
Link Part 01 : https://pantip.com/topic/38404476
Link Part 03 : https://pantip.com/topic/38404749