ทีมวิจัยรัสเซียล้อมรั้ว สร้างโลกย้อนยุค ‘ไพลสโตซีน ปาร์ก’

วันที่ 27 ธันวาคม 2561 - 14:28 น.


ส่วนหนึ่งของฝูงไบซัน ในไพลสโตซีน ปาร์ก (ภาพ-Nikita Zimov/Pleistocene Park)

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากรัสเซีย นำโดย นิกิตา ซิมอฟ นักวิจัยจากสถาบันแปซิฟิกเพื่อธรณีวิทยา ในสังกัด สำนักวิทยาศาสตร์แห่งรัสเซีย เปิดเผยถึงผลการทดลองคืนสภาพพื้นที่ทางตอนเหนือของไซบีเรีย ให้กลับคืนสู่สภาพทุ่งหญ้าสเต็ปป์ ที่พื้นดินเยือกแข็งตลอดทั้งปี เหมือนกับที่เคยเป็นมาในช่วงตอนปลายของยุคไพลสโตซีน (ยุคทางธรณีวิทยา ตั้งแต่ช่วงระหว่าง 2.6 ล้านปีเรื่อยมาจนถึงราว 11,700 ปีก่อนหน้านี้) โดยการให้ชื่ออาณาบริเวณดังกล่าวที่มีการล้อมรั้วปิดกั้นมิดชิดว่า “ไพลสโตซีน ปาร์ก” ตามอิทธิพลที่ได้รับจากภาพยนตร์ชื่อดัง “จูราสสิกปาร์ก” นั่นเอง

ในยุคไพลสโตซีน พื้นที่ส่วนใหญ่ของไซบีเรียมีระบบนิเวศแบบทุ่งหญ้าสเต็ปป์ เต็มรูปแบบเพื่อรองรับสัตว์กินพืชขนาดใหญ่ทั้งหลาย ตั้งแต่ แมมมอธ, แรดขนยาว, กวางมูส, ม้าไซบีเรีย และไบซัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสัตว์ในสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วในช่วงสิ้นสุดยุคดังกล่าว เนื่องจากเกิดยุคน้ำแข็งซ้ำซ้อนและทุ่งหญ้าสเต็ปป์หดหายไปจนหมดในที่สุด

“ไพลสโตซีน ปาร์ก” มีเนื้อที่ราว 16 ตารางกิโลเมตร ถูกทีมวิจัยพยายามฟื้นสภาพพื้นที่ให้เหมือนกับที่เคยเป็นมาเมื่อ 20,000 ปีก่อน ด้วยการนำสัตว์กินหญ้า ทั้ง กวางเรนเดียร์, กวางมูส, วัวมัสก์, ไบซัน และม้า เข้ามาปล่อยให้ใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาติเริ่มตั้งแต่เมื่อปี 1988 ที่มีการปล่อยสัตว์ตัวแรกลงพื้นที่ โดยไม่ได้ตั้งเป้าจะให้พื้นที่นี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวมหัศจรรย์เหมือนอย่างในภาพยนตร์แต่อย่างใด แต่หวังว่าด้วยการดำเนินการดังกล่าวนี้จะสามารถช่วยแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกที่กำลังรุนแรงให้บรรเทาเบาบางลงไม่มากก็น้อย

สภาพพื้นที่ล้อมรั้วที่ทีมวิจัยรัสเซียเปลี่ยนให้เป็นระบบนิเวศแบบทุ่งหญ้าสเต็ปป์ (ภาพ-Nikita Zimov/Pleistocene Park)

สภาพพื้นที่ล้อมรั้วที่ทีมวิจัยรัสเซียเปลี่ยนให้เป็นระบบนิเวศแบบทุ่งหญ้าสเต็ปป์ (ภาพ-Nikita Zimov/Pleistocene Park)

ภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบให้เห็นชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ ทำให้น้ำแข็งที่ปกคลุมทวีปอาร์คติค บริเวณขั้วโลกเหนืออยู่ชั่วนาตาปีหลอมละลาย ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมภาวะโลกร้อนให้มากขึ้นไปอีก เนื่องจากทวีปน้ำแข็งขั้วโลกนั้นสามารถเก็บกักคาร์บอนเอาไว้ได้มากถึง 1,400 กิกะตัน (1 กิกะตันคือ 1,000 ล้านตัน) ยิ่งน้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้น ก๊าซเรือนกระจกที่เก็บกักไว้ยิ่งถูกปลดปล่อยออกมามากขึ้น

ซิมอฟเปิดเผยไว้ในงานประชุมประจำปี ของสหภาพธรณีฟิสิกส์อเมริกันเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การนำเอาสัตว์กินหญ้าขนาดใหญ่เข้าไปปล่อยไว้ในทุ่งหญ้าไซบีเรียและคืนสภาพทุ่งหญ้าสเต็ปป์ให้กับบริเวณดังกล่าว สามารถช่วยปกป้องสภาพเพอร์มาฟรอสต์ หรือสภาพพื้นดินเยือกเแข็งตลอดทั้งปีเอาไว้ได้ ในขณะเดียวกันระบบนิเวศแบบทุ่งหญ้าที่สร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งนี้ก็จะสามารถช่วยเก็บกักคาร์บอนไว้ในดินแทนการปล่อยสู่บรรยากาศได้มากขึ้นอีกด้วย

   
   


นับตั้งแต่เริ่มปล่อยสัตว์กินหญ้าตัวแรกลงพื้นที่เรื่อยมา ทีมวิจัยลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง พบว่าระบบนิเวศที่เป็นทุ่งหญ้าสลับกับไม้พุ่มกระจัดกระจาย เริ่มตอบสนองและปรับตัวรองรับสัตว์กินหญ้าขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหลายทศวรรษผ่านไป โดยนอกจากปริมาณหญ้าในปาร์กจะเพิ่มมากขึ้นในแง่ของพื้นที่ที่ครอบคลุมแล้ว ยังสูงขึ้นอีกด้วย เป็นการตอบสนองต่อการถูกกินเป็นอาหารนั่นเอง

ทีมวิจัยยังพบด้วยว่า พื้นดินซึ่งปกคลุมด้วยหญ้าและไม้พุ่มนั้นสามารถเก็บกักคาร์บอนไว้ได้มากกว่าพื้นดินที่ปกคลุมด้วยป่า เพราะหลังจากผ่านไป 20 ปี เมื่อนำตัวอย่างดินในปาร์กออกมาตรวจสอบพบว่าในพื้นที่ซึ่งบรรดาสัตว์ไล่กินหญ้าในทุ่งนั้น มีความเข้มข้นของคาร์บอนอยู่สูงกว่าดินตัวอย่างในพื้นที่ภายนอกปาร์ก โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งสัตว์กินหญ้าเหล่านี้รวมตัวกันอยู่มากที่สุด และมีหญ้าสูงที่สุด คือพื้นที่ซึ่งมีคาร์บอนเก็บกักอยู่ในดินมากที่สุดอีกด้วย

นับตั้งแต่หมดยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายคือเกือบ 12,000 ปีที่ผ่านมา ทุ่งหญ้าสเต็ปป์ของไซบีเรียเริ่มเปียกชื้นมากขึ้น ทำให้อินทรียสารในดินเริ่มเน่าเปื่อยเพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดก๊าซมีเทนในดินเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การคืนสภาพทุ่งหญ้าทำให้ระบบรากของหญ้ากลับคืนมาอีกครั้ง ทำหน้าที่ดูดซับความชื้นในดิน ลดการผลิตมีเทนลง

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยสังเกตพบด้วยว่า ในช่วงหน้าหนาว 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา แม้จะมีหิมะตกเพิ่มขึ้น แต่สภาพเพอร์มาฟรอสต์กลับแย่ลง สืบเนื่องจากหิมะที่ปกคลุมไม่ถึงพื้นผิวดิน แต่มีชั้นอากาศอุ่นป้องกันการเยือกแข็งของผิวดินรองรับอยู่ทำให้ในหลายพื้นที่พื้นดินไม่มีการจับตัวเป็นน้ำแข็งตลอดทั้งปี แต่สัตว์ที่ปล่อยไว้ในปาร์ก ทำหน้าที่แก้ปัญหานี้ได้ด้วยการย่ำไปบนหิมะที่ปกคลุม ทำลายชั้นอากาศอุ่นดังกล่าวไป ช่วยให้พื้นดินกลับมาเยือกแข็งได้อีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งซิมอฟเชื่อว่า แม้จะไม่สามารถแก้ปัญหาโลกร้อนได้เบ็ดเสร็จ แต่การอาจช่วยชื้อเวลามนุษยชาติได้อีกระยะหนึ่งนั่นเอง


มติชนออนไลน์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่