การทำบุญของบุคคล ของภูมิดอกบัว ๔ เหล่า

การทำบุญของบุคคล ของภูมิดอกบัว ๔ เหล่า

    พระโพธิธรรม (菩提達摩) หรือตั้กม้อ (达摩) เดินทางไปถึงประเทศจีนแรกๆ ภูมิทางปัญญายังต่ำ ต่อเมื่อไปศึกษากับคณาจารย์ทางเต๋า (道) แล้วไปนั่งวิปัสสนาในถ้ำ ๙ ปี แล้วจึงเกิดสว่างขึ้นมา โดยการสำนึกแล้วหล่อหลอมทั้งพุทธ ทั้งเต๋า ถึงจะขยับภูมิสูงขึ้นชั้นสูง แล้วกลายเป็นเซน(禅) ขึ้นมาใหม่ เป็นจุดเริ่มรณรงค์ว่าแก้ไขด้วยธรรมชาติ เพราะว่าท่านเรียนรู้ธรรมชาติจากเต๋า

    พระเจ้าเหลียงบู๊ตี่ หรือจักรพรรดิเหลียงอู่ (梁武帝) ซึ่งองค์ฮ่องเต้ก็ได้ตรัสถามท่านว่า

    ๑) พระองค์ทรงสร้างโบสถ์วิหาร วัดวาอารามมากมาย และทรงมีพระบรมราชโองการให้จารึกพระไตรปิฎก เผยแพร่ไปยังสถานที่ต่างๆ และอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา ด้วยบุญกุศลต่างๆ นี้เป็นประการเช่นใด

    ตั้กม้อ (达摩) ถวายพระพรว่า “ไม่มีอะไร”

    ทำไมตั้กม้อ (达摩) ถึงกล่าวเช่นนี้ ก็เพราะว่า พระองค์ท่านทำบุญกุศลด้วยฐานจิตแห่งความอวด ไม่ได้ทำบุญกุศลด้วยฐานแห่งความเป็นสัมมาที่แท้จริง

    การทำบุญเพื่อจะเอา กับทำบุญเพื่อจะให้ แตกต่างกันไหม?

    พระเจ้าเหลียงบู๊ตี่ (梁武帝) มีฐานจิตทำบุญกุศลเพื่อหวังจะเอา เอาที่ว่าให้คนรู้จักพระองค์ท่านว่าเป็นคนใจดี ไม่ใช่เพราะว่าทำเพื่ออยากจะช่วยคนนั้น มันคนละเรื่องกัน อันนี้ทำบุญเพื่อหวัง จองเพื่อหวังจะได้เลย

    หากพูดถึงภูมิปัญญาของมนุษย์เหล่าที่ ๑ และเหล่าที่ ๒ เวลาทำบุญก็ต้องหวังให้ได้ความชื่นชมอยู่แล้ว?

    ยกตัวอย่าง การทำบุญของผู้ที่มีภูมิปัญญาทั้งดอกบัว ๔ เหล่า

    การทำบุญของดอกบัวเหล่าที่ ๑ ทำบุญ ๕ บาท หวังเพื่อจะได้ ๒๐ บาท

    การทำบุญของดอกบัวเหล่าที่ ๒ ทำบุญ ๕ บาท หวังเพื่อจะได้แค่ ๕ บาท

    การทำบุญของดอกบัวเหล่าที่ ๓ ทำบุญ ๕ บาท หวังเพื่อจะได้จะให้ได้ปัญญา ท่านทำไม่หวังจะได้เงินแล้ว เพราะเงินนั้นเป็นวัตถุ ท่านหวังเพื่อจะให้ได้รับปัญญา (หวังปัญญาให้กับตนเอง)

    การทำบุญของดอกบัวเหล่าที่ ๔ ทำบุญ ๕ บาท หวังเพื่อจะได้รับปัญญาเพื่อจะเอาไปให้บุคคลอื่น (หวังปัญญาให้กับผู้อื่น)

    การทำบุญของแต่ละภูมิไม่เหมือนกัน

    หลวงพ่อบางรูป ขึ้นสู่ข้อ ๓ ทำแล้วเพื่อกับตนเองมีปัญญา ทำไมไม่ขึ้นข้อ ๔ ก็เพราะว่า ปัญญาตนเองไม่เต็มจะขึ้นข้อ ๔ ได้ไหม?

    เวลานี้ท่านอยู่ข้อ ๓ แต่กำลังดำเนินการเข้าสู่ข้อ ๔ ทั้งๆ ท่านเผยแผ่ธรรมะมากมาย

    ท่านมีการเทศน์ แจกหนังสือธรรมะมากมาย ให้ปัญญาแก่คนอื่นมากมาย

    ฐานจิตตอนนั้นท่านเป็นเช่นใด ฐานจิตท่านก็คือ ท่านได้ปัญญามา ท่านพยายามรวบรวมปัญญา แล้วตรวจสอบปัญญา และทดสอบปัญญา ประจักษ์แล้วหรือยัง อ๋อ..กำลังเริ่มประจักษ์ แล้วออกมาเขียนเป็นหนังสือ ได้ถ่ายทอด เห็นหรือไม่ว่า หนังสือพุทธธรรมของท่าน ปรับปรุงพัฒนาจนถึง ๓ ครั้ง หนังสือพุทธธรรมครั้งแรก ฉบับเดิม ครั้งที่ ๒ ฉบับปรับปรุงและขยายความ ฉบับที่ ๓ ปรับขยาย ครั้งที่ ๓ จึงบอกว่านี่สุดท้ายแล้ว นี่แหละกำลังจะขึ้นขั้นที่ ๔ เพราะว่าอุเบกขาแล้ว ยอมรับว่านี่สุดท้ายแล้ว

    ตอนนั้น ๒ ครั้งมาไม่ยอมรับ    

    ทะไลลามะ องค์ที่ ๑๔ (dalai bla ma, 達賴喇嘛) อยู่ข้อ ๓ กำลังไต่ขึ้นไปข้อที่ ๔ ท่านกำลังเพิ่งหลุดออกจากลูกตุ้ม กำลังไต่เต้า พอไปถึงจุดหนึ่งจึงยอมสลายลูกตุ้มออก ถ้าไม่อย่างนั้นถ้าก็ยังเป็นหัวหน้ารัฐบาล คือ เมื่อก่อนก็ยังมีแต่ธิเบต เป็นผู้นำจิตวิญญาณและผู้นำสูงสุดของชาวทิเบต และได้ลี้ภัยไปที่ ธรรมศาลา เชิงเขาหิมาลัย รัฐหิมาจัลประเทศ ประเทศอินเดีย และจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นของทิเบตที่นี่

    เมื่อก่อนท่านก็ยังมีแต่ธิเบต ยังไม่มีสัตว์โลก คือ มีธิเบตก่อนแล้วค่อยมาสัตว์โลก แต่เวลานี้ฐานจิตท่านมีสัตว์โลกแล้ว ธิเบตนี้ถอยไปแล้ว

    ท่านก็เช่นเดียวกัน ท่านยอมปลดตนเองว่าไม่ใช่ผู้นำชาวธิเบต

    ท่านเริ่มที่ว่า ในใจมีแต่ธิเบต แต่ปัจจุบันนี้ในใจมีชาวโลกแล้ว เมื่อก่อนในใจมีชาวโลกเพื่อเสริมอ้างให้ธิเบต แต่เวลานี้รู้แล้ว เข้าใจถึงจุดหนึ่งสรุปแล้ว เอานี้ออกแล้ว ถอดออกจากตัวเองแล้ว เสร็จแล้ว จริงๆ แล้ว เพราะธิเบตอยู่ในชาวโลก ไม่ใช่ชาวโลกอยู่ในธิเบต ท่านจึงเปลี่ยนแนวความคิด

    อากงจึงไม่แปลกใจเลยว่า ท่านเปลี่ยนแนวความคิด เพราะว่าอากงสนทนากับท่านมา ๓ เที่ยว

    เที่ยวล่าสุด ท่านเข้าใจว่า ธิเบตอยู่ในชาวโลก ไม่ใช่ชาวโลกอยู่ในธิเบต ฉะนั้น ท่านอย่าเอาชาวโลกไปจบอยู่ในธิเบต ถ้าเช่นนั้นคุณแคบมาก แล้วคุณบอกว่าคุณจะมาศึกษาเพื่อพระโพธิสัตว์ ไม่ได้ คุณต้องเอาลูกตุ้มออกถึงจะเดินได้ ถ้าไม่เอาลูกตุ้มออกคุณก็เดินไม่ได้ สุดท้ายท่านต้องยอมถอย ถอดตัวเองออกจากผู้นำจิตวิญญาณและผู้นำสูงสุดของชาวทิเบต ถึงจะเดินไปได้

    ย้อนกลับไป

    ครั้งแรก อากงตำหนิท่านว่า ท่านทำไม่ถูก แต่ท่านบอกว่าก็มีเหตุจำเป็น ถ้ามาอย่างนี้ ถ้าไม่นำเขา เขาก็เคว้งคว้าง อากงก็บอกว่า ได้ แต่ก็ควรจะให้เวลา

    ครั้งที่ ๒ อากงบอกว่า เวลาถึงแล้วนะที่จะปลดลูกตุ้ม แต่ท่านยังบอกว่า ชาวธิเบต องค์กรยังไม่เข้มแข็งพอ ต่ออีกหน่อย อากงก็บอกว่าได้

    พอครั้งที่ ๓ อากงจึงบอกว่า ธิเบตปกครองด้วยธิเบต หรือปกครองด้วยจีน แต่สิ่งสำคัญที่สุด ได้อยู่เย็นเป็นสุข

    ที่นี่ถามว่า คนที่อยู่ในธิเบตเวลานี้ดีขึ้นหรือแย่ลง ก็ดีขึ้น แล้วโอเคไหม? ใครปกครองก็ได้ ขอให้ดีขึ้น อยู่เย็นเป็นสุขก็พอ

    นี่แหละถึงบอกว่า เรามองอย่างพระโพธิสัตว์

    พระโพธิสัตว์จะต้องไปยึดติดไหมว่าต้องสีนี้ ถึงจะเป็นสีนี้ ท่านจึงเกิดความเข้าใจ ร้องว่า โอ๋!! เลย เรามัวแต่ไปพะวงว่า.... แต่ไม่สอนให้เขายอมรับความจริง

    ทะไลลามะ จึงประกาศถอนเลย พวกเธอทั้งหลายต้องไปดูแลกันเอง ฉันถอดแล้ว ฉันจะมุ่งไปธรรมแล้ว นี่แหละเป็นการสนทนากันครั้งที่ ๓

    เพราะต้องอย่างนี้ ท่านจึงจะขึ้นภูมิที่สูงได้ ถ้าไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถช่วยชาวโลกได้ ไม่ใช่ช่วยธิเบต เพราะคำๆ นี้

    "ธิเบตอยู่ในชาวโลก ไม่ใช่ชาวโลกไปอยู่ในธิเบต"

    เพราะตอนนั้นหลงผิดมา องค์ทะไลลามะ เข้าใจว่า ชาวโลกอยู่ในธิเบต ทำแต่ละอย่างเพื่อหมุนไปให้ธิเบต ให้ธิเบตได้รับความนิยม ได้รับการสนับสนุน ประชาชาติยอมรับ เพื่อหลุดออกมาจากจีน ก็แค่นี้


^_^  ..._/\_...  ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา

อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่