การรพัฒนาความสุขที่มั่นคงและยั่งยืนกว่าโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งเร้าจากภายนอก

ลาภ ยศ และสรรเสริญ เป็นสิ่งที่ผู้คนในโลกต่างใฝ่หา เพราะเห็นว่าสามารถนำความสุขมาสู่ชีวิตได้ ความสุขเช่นนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพียงสุขที่อาศัยปัจจัยภายนอก เรียกว่า กามสุขหรือสุขที่อิงอามิส เพราะต้องอาศัยกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ดังที่แสดงไว้ในพหุเวทนิยสูตร ว่าเป็นสุขที่อาศัยกามคุณเหล่านี้โดยตรง อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตรอธิบายว่า กามสุขเป็นสุขที่ต้องอิงอาศัยวัตถุสิ่งของและการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ จึงเป็นสุขที่ระคนไปด้วยกิเลส (แหล่งที่มา: อรรถกถาสุขวรรค) สุขเช่นนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขแห่งความไม่เที่ยง แปรปรวนไปตามเหตุปัจจัย ดังพระพุทธพจน์ในทุติยโลกธัมมสูตรว่า "โลกธรรม ๘ ประการ ย่อมหมุนไปตามโลก และโลกก็หมุนไปตามโลกธรรม ๘ ประการนี้"
       เมื่อบุคคลฝากความสุขไว้กับลาภ ยศ หรือสรรเสริญ จึงย่อมเผชิญกับความทุกข์ได้ง่ายเมื่อสิ่งเหล่านั้นแปรผันไป เหมือนเรือที่ลอยอยู่บนคลื่นที่ไม่หยุดนิ่ง พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในจูฬทุกขักขันธสูตรว่า แม้ทรัพย์สินที่สะสมไว้มากก็ย่อมเสื่อมได้ด้วยเหตุ เช่น ไฟไหม้ น้ำพัด หรือทายาทผู้ไม่เป็นที่รักแย่งเอาไป ฉะนั้นความสุขที่อิงสิ่งภายนอกย่อมไม่มั่นคง พระพุทธเจ้าทรงชี้ทางให้มนุษย์หันกลับมาสร้างเหตุเพื่อให้เกิดความสุขจากปัจจัยภายในคือ การฝึกอบรมจิตใจของตนเอง ดังพระพุทธพจน์ในสมาธิภาวนาสูตรว่า "สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน" แม้จิตจะมีธรรมชาติแปรปรวน เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ แต่ก็สามารถฝึกให้ตั้งมั่นได้ พระพุทธองค์ตรัสไว้ในอทันตวรรคว่า "เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่ได้ฝึก ได้คุ้มครอง ได้รักษา ได้สำรวมแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์มากเหมือนจิตนี้" จิตที่ฝึกดีแล้วจึงเป็นที่พึ่งแห่งความสุขที่ดีกว่าและประณีตกว่า โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งภายนอกมาหล่อเลี้ยงจิตใจ
       ศีลเป็นการอบรมกายและวาจาให้สงบ เป็นการควบคุมพฤติกรรมไม่ให้ก่อทุกข์แก่ตนและผู้อื่น เมื่อศีลมั่นคง จิตย่อมไม่ฟุ้งซ่านด้วยความรู้สึกผิดหรือความกระวนกระวาย ดังพระพุทธพจน์ในเจตนากรณียสูตรว่า "บุคคลผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยศีล ไม่ต้องตั้งใจว่า ขออวิปปฏิสารจงเกิดขึ้นแก่เรา" สมาธิเป็นการอบรมจิตให้ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม จิตที่ฝึกสมาธิดีแล้วย่อมสามารถละความพอใจ (อภิชฌา) และความไม่พอใจ (โทมนัส) (แหล่งที่มา: อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร) ได้ด้วยการข่มไว้ เรียกว่า วิกขัมภนปหาน (แหล่งที่มา: อรรถกถาอนุปทสูตร) การละเช่นนี้ทำให้จิตสงบจากนิวรณ์และเข้าถึงสมาบัติ ๘ (แหล่งที่มา: อรรถกถามหาปทานสูตร) อย่างไรก็ตาม ความสงบเช่นนี้ยังเป็นเพียงการสงบชั่วคราว เรียกว่า วิกขัมภนวิมุตติ (แหล่งที่มา: อรรถกถามหาปทานสูตร) จิตอาจกลับถูกรบกวนได้อีกเมื่อออกจากสมาธิ หากยังไม่ถอนรากด้วยปัญญา ปัญญาจึงเป็นขั้นตอนสูงสุดแห่งไตรสิกขา เป็นการเห็นความจริงของสังขารทั้งหลายตามไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน เมื่อเห็นตามความเป็นจริงเช่นนี้ ย่อมคลายความยึดมั่นในสุขทั้งปวง ทั้งสุขจากกามคุณ ๕ และสุขจากฌานสมาบัติ
       ในอิณสูตรพระพุทธเจ้าตรัสว่า "เขาได้สุขที่ไม่อิงอามิส อุเบกขาตั้งมั่น ละนิวรณ์ ๕ ประการได้ ปรารภความเพียรเป็นนิตย์ บรรลุฌานทั้งหลายมีเอกัคคตาจิตปรากฏ"  สุขที่เกิดจากฌานนี้เป็นสุขภายในที่ละเอียดประณีตกว่ากามสุข เพราะพ้นจากอามิส (แหล่งที่มา: สุขวรรค) แต่พระองค์ยังทรงชี้ว่า แม้ฌานก็ยังมีความหวั่นไหวอยู่ ดังพระพุทธพจน์ในลฏุกิโกปมสูตรว่า "ปฐมฌานยังหวั่นไหว เพราะวิตกวิจารยังไม่ดับ ทุติยฌานยังหวั่นไหว เพราะปีติและสุขยังไม่ดับ ตติยฌานยังหวั่นไหว เพราะอุเบกขาและสุขยังไม่ดับ แต่จตุตถฌานนี้ เรากล่าวว่าไม่หวั่นไหว" การเจริญฌานจนถึงจตุตถฌานย่อมทำให้จิตผ่องใส มีสติบริสุทธิ์ดังพระพุทธพจน์ในสามัญญผลสูตรว่า "ภิกษุบรรลุจตุตถฌานที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ เธอมีใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง นั่งแผ่ไปทั่วกายนี้ ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่ใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่องจะไม่ถูกต้อง" อย่างไรก็ดี แม้สุขจากฌานจะประณีตเพียงใด หากผู้บำเพ็ญยังยินดีเพียงในฌาน กระทำฌานนั้นให้เป็นเหมือนการละเล่นอย่างหนึ่ง เรียกว่า ฌานกีฬา (แหล่งที่มา: อรรถกถาอุรคสูตร) ย่อมยังเสื่อมได้ เช่น เรื่องพระอิสิสิงคดาบสใน อลัมพุสาชาดก ผู้สำเร็จฌานแต่เสื่อมเพราะหลงในรูปเทพนารีที่ท้าวสักกะส่งมาล่อ (แหล่งที่มา: อรรถกถาอลัมพุสาชาดก)
       พระพุทธองค์ตรัสในพหุเวทนิยสูตรว่า "สุขอื่นที่ดีกว่าและประณีตกว่ากามคุณ ๕ คือ สุขอันเกิดจากปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌานและจตุตถฌาน" แต่ก็ยังมีสุขที่สูงกว่านั้นคือ สุขแห่งวิมุตติ อันเกิดจากการพ้นกิเลสโดยเด็ดขาด (แหล่งที่มา: อรรถกถาโพธิสูตร) ไม่ใช่เพียงการข่มไว้ชั่วคราว (วิกขัมภนวิมุตติ) หรือดับชั่วขณะ (ตทังควิมุตติ) แต่เป็นการพ้นอย่างสิ้นเชิง เรียกว่า สมุจเฉทวิมุตติ ซึ่งเป็นความพ้นที่สงบ (ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ) (แหล่งที่มา: อรรถกถามหาปทานสูตร) และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายในภพทั้งปวง ดังพระพุทธพจน์ในอัญญตรอุปาสกวัตถุว่า "ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง บัณฑิตรู้เรื่องนี้ตามความเป็นจริงแล้ว ย่อมทำนิพพานให้แจ้ง เพราะนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง" สุขเช่นนี้เป็นสุขที่ไม่มีกิเลสเจือปนเลย เป็นสุขที่ไม่อิงสิ่งภายนอก ไม่อิงแม้กระทั่งฌานสมาธิ แต่ตั้งอยู่บนจิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยปัญญาเห็นตามความเป็นจริง
       สุขภายนอกเป็นเพียงสุขชั่วคราวที่ต้องอาศัยสิ่งอื่นเป็นเงื่อนไข ส่วนสุขภายในเป็นสุขที่มั่นคงกว่า เพราะเกิดจากจิตที่อบรมดีแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่สุขสูงสุด หากไม่พัฒนาไปถึงปัญญาอันรู้แจ้งซึ่งทำให้หลุดพ้นจากกิเลสโดยสิ้นเชิง ดังนั้น สุขที่แท้และมั่นคงที่สุดคือ สุขที่เกิดจากการอบรมตามหลักไตรสิกขา ได้แก่ ศีล สมาธิและปัญญา อันทำให้จิตหลุดพ้นจากอาสวะและเข้าถึงนิพพาน ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยืนยันว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง
------------
๑ พหุเวทนิยสูตร  https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=13&siri=9
๒ อรรถกถาสุขวรรค https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=309
๓ ภูมิ ๓ ได้แก่ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ อรรถกถาปุปผวรรค https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25.0&i=14&p=2
๔ กามาวจรภูมิ หมายถึง ชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในกาม กล่าวคือ เบื้องล่างกำหนดเอาอเวจีนรก เบื้องบนกำหนดเอาเหล่าเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดี รูปาวจรภูมิ หมายถึง ชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในรูป กล่าวคือ บุคคลผู้เข้าสมาบัติ ผู้เกิดในรูปภูมิ เบื้องล่างกำหนดเอาพรหมโลกคือ ชั้นพรหมปาริสัชชา เบื้องบนกำหนด
เอาพรหมชั้นอกนิฏฐภพ ภูมินานัตตญาณนิทเทส https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=31&siri=31
๕ อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10.0&i=273&p=3
๖ ทุติยโลกธัมมสูตร  https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=23&siri=79
๗ จูฬทุกขักขันธสูตร https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=12&siri=14
๘ สมาธิภาวนาสูตร https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=21&siri=41
๙ อทันตวรรค https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=20&siri=4
๑๐ เจตนากรณียสูตร  https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=24&siri=198
๑๑ อวิปปฏิสาร หมายถึง ความไม่เดือดร้อน โจทนาสูตร https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=22&siri=167
๑๒ อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร  https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10.0&i=273&p=2
๑๓ อรรถกถาอนุปทสูตร  https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=153
๑๔ อรรถกถามหาปทานสูตร  https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10.0&i=1&p=1
๑๕ สุขวรรค https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=20&siri=35
๑๖ อิณสูตร  https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=22&siri=296
๑๗ ลฏุกิโกปมสูตร https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=13&siri=16
๑๘ สามัญญผลสูตร https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=9&siri=2
๑๙ อรรถกถาอลัมพุสาชาดก  https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=2478
๒๐ อรรถกถาโพธิสูตร  https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25.0&i=38&p=3
๒๑ อัญญตรอุปาสกวัตถุ https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=24
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่