สวัสดีทุกคน วันนี้จะมารีวิวหนังเรื่อง Call me by your name [2017]
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า เราเป็นแฟนหนังเรื่องนี้ และข่าวดีคือปี 2019 นี้ภาคสองจะมาแล้วเด้อ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ไปดูก็ไปดูซะนะ 55555
ตัวอย่างหนัง
*ข้อมูลเบื้องต้น*
Director: Luca Guadagnino
Region: Italy / USA / France
Genre: Drama/ Romance
Published: 2017
Type : Boy's love
*เรื่องย่อ*
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หนังรักโรแมนติกที่พูดถึงความรักของเด็กวัยแตกเนื้อหนุ่ม เอลิโอ (Timothee Chalamet) ซึ่งอาศัยอยู่กับครอบครัวที่เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิวทางเหนือของอิตาลี กับผู้ช่วยงานวิจัยของพ่อของเขา โอลิเวอร์ (Armie Hammer) หนุ่มนักศึกษาปริญญาเอกชาวอเมริกัน มีกลิ่นอายของประวัติศาสตร์อยู่ตลอดทั้งเรื่อง
ทั้งคู่พบกันในช่วงฤดูร้อนของปี 1983 เมื่อโอลิเวอร์เดินทางมาช่วยงานพ่อของเอลิโอที่อิตาลี เด็กหนุ่มวัย 17 ปีที่สงสัยใคร่รู้เริ่มเกิดความสนใจในตัวผู้ช่วยผู้นี้ซึ่งมีนิสัยหลายอย่างแตกต่างกับตนเอง เช่น รักอิสระ มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่แคร์คนรอบข้าง และมีความเป็นศิลปินสูง
เรื่องราวเป็นไปอย่างเรียบง่าย ถ่ายทอดการใช้ชีวิตของคนอิตาลีในช่วงฤดูร้อน ไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรกของเอลิโอที่ชอบอ่านหนังสือ เขียนเพลง และเล่นเปียโน รวมถึงความสัมพันธ์กับเพื่อนสาวตามสไตล์วัยรุ่นทั่วไป เอลิโอที่แอบสนใจโอลิเวอร์ตั้งแต่แรก เริ่มแสดงออกและรอวันที่เขาและโอลิเวอร์จะได้สารภาพรักกัน จนในที่สุดทั้งสองก็ได้สารภาพรักกัน และฉากที่เป็นที่จดจำอีกหนึ่งฉากคือ ฉากที่ทั้งสองคนนอนด้วยกันบนเตียง แล้วทิ้งท้ายประโยคว่า “Call Me By Your Name and I will Call You By Mine” เรื่องราวของทั้งสองเป็นไปอย่างราบรื่น จนถึงวันที่โอลิเวอร์ต้องกลับอเมริกา เขาใช้เวลาด้วยกันในอิตาลีให้เต็มที่ หลังจากที่กลับไป เอลิโอก็ได้สารภาพกับพ่อแม่ว่าเขาชอบโอลิเวอร์ และเรื่องราวความรักเขาพวกเขาก็จบลงหลังจากนั้นไม่นาน แม้เรื่องราวตอนจบจะไม่ Happy Ending แต่เรื่องราวที่ถ่ายทอดตลอดทั้งเรื่องกลับเต็มไปด้วยความละมุนและยอดเยี่ยม
ตัวละคร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เด็กวัยรุ่นวัยกำลังเจริญเติบโต เป็นเด็กที่มีความศิลปินในตัวสูง ชอบเขียนเพลง อ่านหนังสือ ฉลาดและรอบรู้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้นักศึกษาป.เอก ชาวอเมริกัน มั่นใจในตัวเองสูง ยับยั้งชั่งใจเก่ง ดูเหมือนไม่แคร์ใครเท่าไหร่นัก มีความเป็นศิลปินสูง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้มีความเป็นพ่อสูงมาก และให้คำปรึกษาลูกดีมาก รู้ว่าลูกเป้นคนยังไง และรักในงานโบราณคดี มีเพื่อนเป็นเกย์ด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เป็นแม่ที่ดี เมื่อลูกรู้สึกไม่โอเคก็เข้ามาปลอบและให้กำลังใจ และรู้ว่าลูกเป็นยังไง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ลองที่จะมีความรักกับเพื่อนตัวเอง แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนที่ต่อให้เจ็บแค่ไหน สุดท้ายแล้วยังเป็นเพื่อนกันได้
***นักแสดงแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้หนังเรื่องนี้ดูสมจริงมากและเป็นธรรมชาติจนเราหลงรัก โดยเฉพาะ Elio***
ฉากประทับใจ PS.ใครยังไม่ดูก็ข้ามตอนนี้ไปเลยเด้อ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

-ฉากจับมือสงบศึก เป็นฉากที่ให้อารมณ์หลาย ๆ อย่าง ผ่านมือที่เป็นซากรูปปั้น ทั้งกลิ่นอายของสภาพแวดล้อมและตัวละคร ทำให้ยิ่งรู้สึกได้ว่าตัวละครทั้งสองผูกพันกับศิลปะและโบราณคดีแค่ไหน

-ฉากครอบครัว แม่เล่านิทานให้เอลิโอฟัง ว่าอัศวินคิดว่าตัวเองต่ำต้อยและไม่คิดจะสารภาพรักกับเจ้าหญิง ซึ่งเอลิโอเอามาเปรียบเทียบกับตัวเองว่า เขาไม่มีทางเป็นเหมือนอัศวิน พ่อเอลิโอจึงตอบกลับว่าไม่จริงหรอก ถ้ามีอะไรก็พูดกับพ่อแม่ได้เสมอ แสดงให้เห็นถึงความอบอุ่นของครอบครัวนี้ ที่พ่อแม่พร้อมที่จะยอมรับและรับฟังสิ่งที่ลูกพูดเสมอ

-ฉากบอกความในใจหน้าอนุสาวรีย์สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แบบอ้อม ๆ

-ฉากที่เป็นที่มาของชื่อเรื่อง หลังจากที่ทั้งสองคนเผยความในใจ เป็นคำบอกรัก ที่ไม่มีคำว่ารัก ไม่มีการผูกมัดใด ๆ ทั้งสิ้นของความสัมพันธ์นี้

-ฉากไปเที่ยวที่เบอร์การ์โม ก่อนที่โอลิเวอร์จะกลับอเมริกา เป้นฉากที่แสดงให้เห็นถึงอิสรภาพของความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งสองคน บวกกับเพลงประกอบที่เพราะมาก

-ฉากที่มาร์เซียบอกเอลิโอว่าไม่ได้โกรธ และเราจะเป็นเพื่อนกันจนวันตาย แสดงให้เห็นถึงความรักบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยการเป็นแฟนกันก็ได้

-ฉากที่พ่อพูดปลอบใจและสอนเอลิโอไปในตัว “จงอย่าเร่งลืม จนลืมว่าเคยมีความสุขไปด้วย” หมายความว่าคนเราส่วนใหญ่มักทำจิตใจให้ด้านชาเพื่อลืมความเจ็บปวด จนเมื่อแก่ตัวไปก้อาจจะกลายเป็นว่าการเปิดรับใครสักคนเข้ามานั้นเป้นเรื่องยาก เพราะจิตใจมันด้านชาไปแล้ว ดังนั้นการลืมเรื่องราวดี ๆ ที่แม้จะไม่สมหวังในตอนจบเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดมากกว่า
เกร็ดประวัติศาสตร์ในหนัง
1.ยิว

- ชาวยิวในประวัติศาสตร์ได้รับความทุกข์ทรมานจากสงครามมากมายหลายครั้ง ไม่ว่าจากกองทัพบาบิโลน เปอร์เซีย กองทัพโรม สงครามแย่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ครั้งที่สำคัญและโลกไม่สามารถลืมความโหดร้ายได้คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยฮิตเลอร์และพรรคนาซี ได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในเยอรมันจำนวนกว่า 4 ล้านคน

-เกิดสงครามครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1967 ชาวอาหรับในดินแดนปาเลสไตน์ขอความร่วมมือจากอาหรับชาติอื่น(เช่น อียิปต์ จอร์แดน ซีเรีย) เพื่อถล่มชาวยิวในอิสราเอล ยิวเป็นฝ่ายเอาชนะอาหรับได้เพราะได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกา (ว่ากันว่าชาวยิวที่ไปสร้างตัวในอเมริกา ส่วนมากมีฐานะร่ำรวยและมักให้เงินสนับสนุนอเมริกาอยู่เสมอ) ยิวได้ไล่อาหรับแทบทั้งหมดออกจากดินแดนปาเลสไตน์! ชาวอาหรับในปาเลสไตน์ต้องทิ้งบ้านเรือนและทรัพย์สิน หนีตายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เลบานอน จอร์แดน ซีเรีย หลังจากเหตุการณ์นั้นสงครามก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนมาถึงปัจจุบันที่ยังคงมีปัญหาความขัดแย้งเรื่องการแย่งชิงดินแดนอยู่

-สัญลักษณ์ สร้อยดาวแห่งเดวิด นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าสัญลักษณ์นี้ใช้มาแต่ครั้งอดีตคนโบราณเชื่อว่า ลวดลายดาวหกแฉกเป็นสัญลักษณ์แห่งอาคมและมีอำนาจพิเศษขับไล่ภูตผีปีศาจและสิ่งชั่วร้าย

สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวที่อยู่ในเขตควบคุมของนาซีเยอรมัน ถูกบังคับให้ติดดาวเดวิดสีเหลืองบนเสื้อผ้าเพื่อ แบ่งแยกออกจากผู้อื่น
และหลังจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ชาวยิวจำเป็นต้องสร้างสัญลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองเทียบเท่ากับไม้กางเขนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ พวกเขาจึงได้เลือกรูปดาว หกแฉกมาเป็นสัญลักษณ์ และเมื่อชาวยิวเริ่มอพยพกลับมายัง ดินแดนที่ได้สถาปนาเป็นรัฐอิสราเอลในเวลาต่อมา ดาวหกแฉกก็ได้ปรากฏบนธงชาติอิสราเอลตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และชาวยิวจะห้อยสร้อยคอดาวแห่งเดวิดสีเหลืองเพื่อแสดงตน
2.รักร่วมเพศ

ในสมัยกรีกและฟื้นฟูศิลปวิทยาการการอุปถัมภ์ศิลปินเพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะให้เกิดอำนาจและบารมีสำหรับคนที่เป็นใหญ่เป็นโต ยกตัวอย่างศิลปินที่ได้รับการอุปถัมภ์ก็คือ มิกลัน อังเคโล่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เจ้านายกับเด็กในความอุปถัมภ์จะแอบมีความสัมพันธ์ทางกายกันได้ ซึ่งเป้นที่มาของคำว่า “ชายได้ชายคือยอดชาย” ในปัจจุบัน

ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในค่ายกักกันชาวยิวในเยอรมัน มีการติดธงสีชมพูกลับหัวเพื่อระบุว่านักโทษคนนั้นเป็นโฮโมเซ็กชวล และตราดาวแห่งดาวิดในเสื้อผ้า เพื่อแสดงตัวว่าเป็นยิว โดยปัจจุบันสัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีชมพูกลับหัวกลายมาเป็นสัญลักษณ์ในการเรียกร้องสิทธิชาวโฮโมเซ็กชวลไปแล้ว และเมื่อเร็ว ๆ นี้ อิตาลีได้รับรองการแต่งงานของชาวรักร่วมเพศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากมีการเรียกร้องสิทธิ์มานาน
3.การปกครองของอิตาลี
อิตาลีปกครองระบอบสาธารณรัฐแบบประชาธิปไตย ตั้งแต่ปีค.ศ 1946 หลังจากมีการล้มล้างระบอบราชาธิปไตยก่อนหน้านี้ โดยมีประมุขเป็นประธานาธิบดี นายกเป็นฝ่ายบริหาร และตุลาการแยกตัวเป็นอิสระ แบ่งการปกครองเป็น 20 แคว้น 94 จังหวัด โดยเรื่องราวในหนังส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่แคว้น Lombordia (เมืองหลวงของแคว้นคือมิลาน) เมืองเกรม่า
4.อนุเสาวรีย์ Monumento ai caduti

อนุสาวรีย์ของผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นที่ถูกพูดถึงในเรื่อง โดยบนโขดหินนั้นเป็นนายทหารยกหินเพื่อทำร้ายนกอินทรีย์ฮาบส์บวร์ก เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับพวกบุกรุก รวมถึงมีรายชื่อของชาวปันดิโนที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนั้น
อ้อ ขอเสริมอีกนิด เนื่องจากพ่อกับแม่ Elio เป็นนักโบราณคดี มีการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ดังนั้นอาจจะเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้พวกเขายอมรับในตัวลูกได้ง่ายกว่าพ่อแม่คนอื่น
ในส่วนของประเด็นของประวัติศาสตร์ประติมากรรมและโบราณคดีที่มีในเรื่องนั้น เราขอไม่เอามานำเสนอ เพราะคิดว่ามันเป็นประเด็นใหญ่มาก แต่ใครที่สนใจก็ไปศึกษาเพิ่มเติมได้นะ พวกศิลปะแบบเฮเลนิสติกอะไรพวกนี้
อ้อ อีกประเด็นหนึ่งคือ เพลงเรื่องนี้เพราะมากกกกกกกกกกกกก คือเราเป็นคนชอบเพลงแบบในหนังมาก ๆ เลยทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้โคตรดี
แปะไว้ให้ฟังเลยแล้วกัน
เพลงแรก Mystery of Love
เพลงที่ 2 Love my way
ถ้าผิดพลาดหรือตกหล่นประเด็นไหนไปก็ขอโทษด้วยนะ อันนี้เป็นบทนำเสนอในวิชาเรียนที่มหาลัย คิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจหนังเรื่องนี้ เลยมาขอรีวิว ยังไงก็ฝากตามภาค 2 ด้วยน้าาา
[SR] รีวิว + เกร็ดประวัติศาสตร์จากหนังเรื่อง Call me by your name
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า เราเป็นแฟนหนังเรื่องนี้ และข่าวดีคือปี 2019 นี้ภาคสองจะมาแล้วเด้อ สำหรับใครที่ยังไม่ได้ไปดูก็ไปดูซะนะ 55555
ตัวอย่างหนัง
*ข้อมูลเบื้องต้น*
Director: Luca Guadagnino
Region: Italy / USA / France
Genre: Drama/ Romance
Published: 2017
Type : Boy's love
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
***นักแสดงแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้หนังเรื่องนี้ดูสมจริงมากและเป็นธรรมชาติจนเราหลงรัก โดยเฉพาะ Elio***
ฉากประทับใจ PS.ใครยังไม่ดูก็ข้ามตอนนี้ไปเลยเด้อ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
1.ยิว
- ชาวยิวในประวัติศาสตร์ได้รับความทุกข์ทรมานจากสงครามมากมายหลายครั้ง ไม่ว่าจากกองทัพบาบิโลน เปอร์เซีย กองทัพโรม สงครามแย่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ครั้งที่สำคัญและโลกไม่สามารถลืมความโหดร้ายได้คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยฮิตเลอร์และพรรคนาซี ได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในเยอรมันจำนวนกว่า 4 ล้านคน
-เกิดสงครามครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1967 ชาวอาหรับในดินแดนปาเลสไตน์ขอความร่วมมือจากอาหรับชาติอื่น(เช่น อียิปต์ จอร์แดน ซีเรีย) เพื่อถล่มชาวยิวในอิสราเอล ยิวเป็นฝ่ายเอาชนะอาหรับได้เพราะได้รับความช่วยเหลือจากอเมริกา (ว่ากันว่าชาวยิวที่ไปสร้างตัวในอเมริกา ส่วนมากมีฐานะร่ำรวยและมักให้เงินสนับสนุนอเมริกาอยู่เสมอ) ยิวได้ไล่อาหรับแทบทั้งหมดออกจากดินแดนปาเลสไตน์! ชาวอาหรับในปาเลสไตน์ต้องทิ้งบ้านเรือนและทรัพย์สิน หนีตายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เลบานอน จอร์แดน ซีเรีย หลังจากเหตุการณ์นั้นสงครามก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนมาถึงปัจจุบันที่ยังคงมีปัญหาความขัดแย้งเรื่องการแย่งชิงดินแดนอยู่
-สัญลักษณ์ สร้อยดาวแห่งเดวิด นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าสัญลักษณ์นี้ใช้มาแต่ครั้งอดีตคนโบราณเชื่อว่า ลวดลายดาวหกแฉกเป็นสัญลักษณ์แห่งอาคมและมีอำนาจพิเศษขับไล่ภูตผีปีศาจและสิ่งชั่วร้าย
สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวที่อยู่ในเขตควบคุมของนาซีเยอรมัน ถูกบังคับให้ติดดาวเดวิดสีเหลืองบนเสื้อผ้าเพื่อ แบ่งแยกออกจากผู้อื่น
และหลังจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ชาวยิวจำเป็นต้องสร้างสัญลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองเทียบเท่ากับไม้กางเขนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ พวกเขาจึงได้เลือกรูปดาว หกแฉกมาเป็นสัญลักษณ์ และเมื่อชาวยิวเริ่มอพยพกลับมายัง ดินแดนที่ได้สถาปนาเป็นรัฐอิสราเอลในเวลาต่อมา ดาวหกแฉกก็ได้ปรากฏบนธงชาติอิสราเอลตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และชาวยิวจะห้อยสร้อยคอดาวแห่งเดวิดสีเหลืองเพื่อแสดงตน
2.รักร่วมเพศ
ในสมัยกรีกและฟื้นฟูศิลปวิทยาการการอุปถัมภ์ศิลปินเพื่อสร้างสรรค์ผลงานศิลปะให้เกิดอำนาจและบารมีสำหรับคนที่เป็นใหญ่เป็นโต ยกตัวอย่างศิลปินที่ได้รับการอุปถัมภ์ก็คือ มิกลัน อังเคโล่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เจ้านายกับเด็กในความอุปถัมภ์จะแอบมีความสัมพันธ์ทางกายกันได้ ซึ่งเป้นที่มาของคำว่า “ชายได้ชายคือยอดชาย” ในปัจจุบัน
ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในค่ายกักกันชาวยิวในเยอรมัน มีการติดธงสีชมพูกลับหัวเพื่อระบุว่านักโทษคนนั้นเป็นโฮโมเซ็กชวล และตราดาวแห่งดาวิดในเสื้อผ้า เพื่อแสดงตัวว่าเป็นยิว โดยปัจจุบันสัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีชมพูกลับหัวกลายมาเป็นสัญลักษณ์ในการเรียกร้องสิทธิชาวโฮโมเซ็กชวลไปแล้ว และเมื่อเร็ว ๆ นี้ อิตาลีได้รับรองการแต่งงานของชาวรักร่วมเพศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากมีการเรียกร้องสิทธิ์มานาน
3.การปกครองของอิตาลี
อิตาลีปกครองระบอบสาธารณรัฐแบบประชาธิปไตย ตั้งแต่ปีค.ศ 1946 หลังจากมีการล้มล้างระบอบราชาธิปไตยก่อนหน้านี้ โดยมีประมุขเป็นประธานาธิบดี นายกเป็นฝ่ายบริหาร และตุลาการแยกตัวเป็นอิสระ แบ่งการปกครองเป็น 20 แคว้น 94 จังหวัด โดยเรื่องราวในหนังส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่แคว้น Lombordia (เมืองหลวงของแคว้นคือมิลาน) เมืองเกรม่า
4.อนุเสาวรีย์ Monumento ai caduti
อนุสาวรีย์ของผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นที่ถูกพูดถึงในเรื่อง โดยบนโขดหินนั้นเป็นนายทหารยกหินเพื่อทำร้ายนกอินทรีย์ฮาบส์บวร์ก เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับพวกบุกรุก รวมถึงมีรายชื่อของชาวปันดิโนที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนั้น
อ้อ ขอเสริมอีกนิด เนื่องจากพ่อกับแม่ Elio เป็นนักโบราณคดี มีการศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ดังนั้นอาจจะเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้พวกเขายอมรับในตัวลูกได้ง่ายกว่าพ่อแม่คนอื่น
ในส่วนของประเด็นของประวัติศาสตร์ประติมากรรมและโบราณคดีที่มีในเรื่องนั้น เราขอไม่เอามานำเสนอ เพราะคิดว่ามันเป็นประเด็นใหญ่มาก แต่ใครที่สนใจก็ไปศึกษาเพิ่มเติมได้นะ พวกศิลปะแบบเฮเลนิสติกอะไรพวกนี้
อ้อ อีกประเด็นหนึ่งคือ เพลงเรื่องนี้เพราะมากกกกกกกกกกกกก คือเราเป็นคนชอบเพลงแบบในหนังมาก ๆ เลยทำให้รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้โคตรดี
แปะไว้ให้ฟังเลยแล้วกัน
เพลงแรก Mystery of Love
เพลงที่ 2 Love my way
ถ้าผิดพลาดหรือตกหล่นประเด็นไหนไปก็ขอโทษด้วยนะ อันนี้เป็นบทนำเสนอในวิชาเรียนที่มหาลัย คิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจหนังเรื่องนี้ เลยมาขอรีวิว ยังไงก็ฝากตามภาค 2 ด้วยน้าาา
อ้างอิง
https://readthecloud.co/call-me-by-your-name/
https://www.thelocal.it/20170517/italy-one-of-the-worst-countries-in-western-europe-for-gay-rights-report
https://sites.google.com/site/jewsheaven/home/prawati-chaw-yiw
https://www.brit
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้