ลิเวอร์พูลกับ จุดสตาร์ทที่แท้จริงและก้าวที่สามในการตามหาความสำเร็จ



.
        ผ่านมาเกือบครึ่งทางแล้วกับการตามล่าหาความสำเร็จในบอลพรีเมียร์ลีคของลิเวอร์พูล จนถึงตอนนี้ต้องบอกว่ามีผลงานสวยหรู ดูดีพอจะยืดอกเชิดหน้าประกาศตัวอย่างไม่อายใครว่า ทีมหงส์แดงนั้นพร้อมแล้ว ที่จะร่วมวงไพบูลย์แย่งชิงความสำเร็จในปีนี้ หลังจากที่มีศักดิ์ศรีเป็นแค่ทีมไม้ประดับ คอยกระชับพื้นที่ตัวเองในตารางคะแนน ขึ้นมาแย่งชิงโควต้าบอลยุโรปอยู่หลายปีดีดัก

        รู้กันอยู่ว่าที่ผลงานหงส์แดงปีนี้ ทำออกมาได้ดี ก็เพราะตัวผู้จัดการทีมอย่าง เจอร์เก้น คล้อป เลิกดื้อด้านคิดจะสร้างแต่เกมส์รุก คิดจะซื้อแต่นักเตะเพื่อมาเติมเกมส์รุกเพียงมิติเดียว ซึ่งถึงจะอ่านๆดูแล้วเหมือนจะด่า แต่จริงๆไม่ใช่เช่นนั้น เพราะนั่นนับเป็นจุดสตาร์ทก้าวแรกในการสร้างทีมของคล้อป เพราะด้วยงบประมาณที่จำกัดในช่วงแรก ทำให้เขาไม่สามารถกว้านซื้อนักเตะทุกคนที่อยากได้ มาใส่ทุกตำแหน่งที่ทีมต้องการ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะสร้างเกมส์รุกก่อนในช่วงแรกที่เข้ามารับตำแหน่ง นักเตะอย่าง มาเน่ อ็อกเล็ค หรือ ซาล่าห์ ที่ถูกเติมเข้ามาในแต่ละช่วง ก็พิสูจน์แล้วว่า พวกเขาคือกำลังสำคัญที่จะไปตามหาความสำเร็จในทีมของคล้อป ซึ่งผลที่ได้ แม้ยังไม่สำเร็จ แต่ก็ถือว่าไม่เลวเลย คือการพาทีมเข้าชิงถ้วย  3 รายการ ใน 2 ปีแรกของคล้อป

       เมื่อก้าว ที่ 1 ผ่านไป มีการต่อสัญญาใหม่ให้คล้อป วางแผนระยะยาวเพื่อกลับมาตามหาความสำเร็จ เขาก็ได้หันมาใส่ใจในสมดุลการเล่นรุกและรับของทีมมากขึ้น แน่นอนว่า ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่คว้าผู้เล่นในตำแหน่งเกมส์รับเข้ามาเลยในช่วงก้าวที่ 1 ของเขา นักเตะอย่าง โจเอล มาติป ลอริส คาริอุส หรือแม้แต่ แอนดรู โรเบิร์ตสัน ก็ล้วนแต่เป็นผู้เล่นในตำแหน่งที่มีส่วนร่วมกับเกมส์รับ เพียงแต่เมื่อมารวมกับผู้เล่นเก่าที่มีอยู่ก่อนแล้ว มันไม่ตอบโจทย์ปัญหาของเกมส์รับของทีม OK โรเบิร์ตสัน อาจจะพอดูดี มาติป อาจจะพอดูได้ คาริอุสก็ไม่ได้แย่อะไร หากไม่นับนัดชิง UCL แต่พวกเขาเป็นส่วนผสมที่ไม่ลงตัวพอจะสร้างเกมส์รับที่แข็งแกร่ง หรือไม่ลงตัวพอที่จะช่วยพาทีมไปช่วงชิงความสำเร็จ ซึ่งก็สมเหตุสมผลเมื่อดูค่าตัวแต่ล่ะคนที่คว้าเขามา สนนราคาก็ไม่แพงอะไร การจะหวังให้ผู้เล่นราคาเท่านี้มาช่วยยกระดับเกมส์รับของทีมนั้น ก็เป็นเรื่องเพ้อฝันเกินเหตุ

       ดังนั้นการตัดสินใจลงทุนมูลค่ามหาศาลของคล้อป เพื่อไปต่อในก้าวที่ 2 ก่อนเริ่มฤดูกาลในปีนี้ กับนักเตะคนสำคัญแค่ 2 คน คือ เวอร์จิล ฟานไดร์ว และ อลิสซอน เบ็คเกอร์ จึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาของทีมที่เรื้อรังมานาน คือเรื่องเกมส์รับได้อย่างถูกจุด ความคุ้มค่าจึงบังเกิด ทุกวันนี้ไม่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใดที่บ่นว่าแพงเกินไปเหมือนตอนก่อนจะซื้ออีกแล้ว ผลงานในเกมส์รับที่ดูดีผิดหูผิดตาสยบคำครหา และเสียงวิจารณ์ได้ชงัด ราวกับคล้อปได้เอาถุงเท้าไปยัดปากนักวิจารณ์เหล่านั้นเอาไว้

        แม้สนนราคามหาศาลที่คล้อปจ่ายไปเพื่อตามหาความยิ่งใหญ่ในก้าวที่ 2 จะมีมูลค่าแพงกว่า ค่าตัวของ 2 ผู้คนสำคัญในเกมส์รับที่เอ่ยไปแล้ว เพราะมันยังมีเงินลงทุนอีกมหาศาลที่คล้อปได้กว้านซื้อขุมกำลังอื่นๆ เพื่อมาสร้างความมั่นคงในก้าวย่างที่ 2 ของเขา ค่าตัวของนักเตะอย่าง ฟาบินโญ่ ไม่ใช่ถูกๆ เกอิต้า ค่าตัวก็จุกเอาเรื่อง มีแต่ชากีรี่นี้แหละ ที่พูดได้ว่าเป็นของดีราคาถูกอย่างแท้จริง ซึ่งตอนนี้  แม้ตัวผู้เล่นใหม่ที่ว่ามานี้คนอื่นๆ อาจจะไม่ส่งผลในการยกระดับของทีมได้เท่า 2 คนแรก แต่โดยรวมแล้วก็ทำให้ การออกก้าวที่ 2 ของคล้อปนั้น เป็นไปอย่างมีอนาคต

        และตอนนี้ คือช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าย่างก้าว ที่ 3 ของทั้งตัวคล้อปและทีมลิเวอร์พูลแล้ว คือการตามหาความสำเร็จมาเติมใส่ในช่องว่าง ที่ถ่างขยายอยู่คลอดเวลา เพราะร้างหรือห่างจากความสำเร็จมานาน การก้าวย่างที่ 3 ที่ว่านั้น คือการพัฒนาฟอร์มการเล่นรักษาความสม่ำเสมอให้ได้ตลอดเวลา ถึงจุดนี้จะมีองค์ประกอบเรื่องโชคมาเติมให้ทีมของคล้อปอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ห่างไกลความจริงที่ว่า ทีมลิเวอร์พูลกำลังรุดหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ถอยหลังหรือย่ำอยู่กับที่เหมือนที่แล้วมา

        ส่วนจะไปถึงความสำเร็จ ที่ก้าวเท่าใดนั้น มันไม่ได้มีโร้ดแมปกำหนดไว้ตายตัว อาจจะคว้าความสำเร็จได้ในก้าวที่ 3 ในปีนี้เลย หรือต้องเดินตามหาและไขว่คว้าต่อไปในก้าวที่ 4 ที่ 5 ในปีถัดๆไป ก็คงไม่มีใครตอบได้ในตอนนี้ แต่ที่แฟนบอลอย่างเราทำได้ ก็แค่ออกเดินร่วมไปกับทุกคนในทีม อาจจะเดินบ่นเดินด่าไปบ้าง แต่ก็ยังร่วมทางตามหาความฝันไปด้วยกัน เพราะรู้กันดีอยู่ว่า You'll Never Walk Alone

แหม...บทความนี้ เมิงเขียนกะเอารางวัลกวีซีไรค์เลยเหรอ...ไอ้รอง 55+
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่