พึ่งจะมาศึกษาธรรมะ สรุปเรื่อง ขันธ์5 เรื่องจิตปรุงแต่ง ได้ประมาณนี้ ถูกต้องตามหลักธรรมไหม ผิดตรงไหนบอกด้วยจ้า

กฎของธรรมชาติ เมื่อเกิดการกระทบผัสสะขึ้น ย่อมเกิดเวทนาการรับรู้ความรู้สึก เป็นเรื่องธรรมดา ไม่แปรผัน เที่ยงเยี่ยง ไม่เปลี่ยนแปลง

เหมือนกันเมื่อจิตเกิดสิ่งต่างๆมากระทบย่อมเกิดความเวทนาทุกข์ขึ้นเป็นธรรมดา ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้

ธรรมชาติของพวกนี้จะเกิดและดับไปเองเป็นธรรมดา

จึงควรมีความเข้าใจด้วยว่าเวทนาความรู้สึกรับรู้ที่เกิดขึ้นแล้วนั้นเป็นสภาวะธรรมยังคงมีคงเกิดเป็นธรรมดา มิฉะนั้นจะดิ้นรนพยายามดับสภาวะธรรมจนก่อเป็นทุกข์โดยไม่รู้ตัว

การต่อต้านคิดอยากจะดับเวทนาทุกข์ อันเป็นธรรมชาติของชีวิตเป็นความรู้สึกที่เกิดจากการผัสสะ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดั่งการพยายามไล่จับเงา

ขั้นตอนของกระบวนการจิตแบบไม่เป็นอุปาทานทุกข์ เป็นกระบวนการธรรมชาติ  เป็นไปตามขันธ์5 (ที่มาประกอบกันขึ้นเป็นตัวเรา)
เกิดเหมือนกันทุกคน ทั้งปุถุชนหรือพระอริยเจ้า

(ตัวอย่างขั้นตอน
เรากินส้มลิ้นสัมผัสรส(วิญญาณ) + รับรู้ว่ารสคือรสขม (สัญญาณ) + รู้สึกผิดหวัง,รู้สึกไม่อร่อย (เวทนา)
+ ไม่ชอบความไม่อร่อย (สังขาร) )

เมื่อมีสิ่งใดมาผัสสะ กับ จิตใจของเรา กระบวนการจิตของขันธ์5ก็จะเริ่มขึ้นเป็นธรรมชาติ เมื่อขันธ์5 ทำงานเรียบร้อยตามหน้าที่ของตัวเองแล้ว ออกมาเป็นสังขารขันธ์ใดๆแม้แต่ความโกรธ ก็ไม่เป็นไร เขาเพียงแต่ทำหน้าที่ของเขาอย่างถูกต้องตามข้อมูลที่มี

แต่เมื่อใดที่เรานำสังขารขันธ์ นั้น กลับมาเป็นเหตุเป็นปัยจัยอีกครั้ง โดยปรุงแต่งความคิดให้มันเข้าไปอีก ก็จะเกิดกระบวนการขันธ์5เวียนไปไม่รู้จบ จนกลายเป็น อุปทานทุกข์ ซึ่งก็เป็นสภาวะธรรมชาติเหมือนกัน แต่ก่อให้เกิดทุกข์โทษภัยแก่ผู้ดำเนินอยู่ จะเกิดกับผู้ที่ไม่เจริญปัญญา

คือเป็นกระบวรธรรมของจิต ที่ดำเนินไปตามวงจร ขันธ์5 จนเกิดเป็น อุปทานทุกข์ อุปทานที่แสนเร้าร้อน กระวนกระวาย

ดังนั้นการที่เรามีสติ รู้ทันเวทนา ในกระบวนการจิต หรือ รู้เท่าทันจิตสังขาร แล้วทำการหยุดการปรุงแต่งลงเสียนั้น เป็นสุดยอดของการวางอุเบกขา

การวางอุเบกขา เป็นการที่ สติเห็นเวทนาหรือจิต แล้วไม่ยึดมั่นหมายมั่นในสิ่งใด ว่างเฉย ถึงจะเป็นสิ่งดีก็เฉย สิ่งไม่ดีก็เฉย
(อุเบกขา ปล่อยวางไม่ใช่การอยู่เฉยๆ ปล่อยทุกอย่างรอบๆตัวไปตามยถากรรม โดยไม่แคร์ไม่สน ไม่ทําอะไร
การปล่อยวางคือการทําให้ดีที่สุด บนพื้นฐานที่ไร้กิเลส ผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร แล้วอะไรจะเกิดมันก็เกิดไปตามนั้นถือว่าทําดีที่สุดแล้ว)

หยุดการปรุงแต่ง ซึ่งจะเป็นเหตุปัจจัยให้อุปาทานทุกข์อันเร้าร้อนเกิดขึ้นไม่ได้ จึงย่อมไม่เสวยอุปาทานทุกข์ใดๆ แต่ยังคงต้องเสวยเวทนา สังขาร จากขันธ์5 ที่เกิดขึ้นมาแล้วดับไปเพราะขาดเหตุปัยจัยให้สืบเนื่องยาวนาน

ซึ่งการที่จะสามารถระงับความทุกข์ ไม่ให้ไปถึง อุปาทานทุกข์ ได้นั้น ต้องอาศัยสติ สมาธิ ตามให้ทันความคิดหรือจิตของเรา นอกจาก2อย่างนั้น ยังต้องเพิ่ม วิริยะ ศรัทธา และ ปัญญา (พละ5) เข้าไป เพื่อให้ประสบความสำเร็จ แต่ต้องรักษาสมดุลของพละ5 ไว้ให้เสมอกัน อย่างให้อย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าหรือน้อยกว่า  

สรุป ระลึกเอาไว้เสมอว่าความทุกข์ที่เกิดอย่างธรรมชาติ เป็น ไปตามกระบวนการขันธ์ เกิดขึ้นและจะดับไป เป็น ธรรมดา อย่าไปต่อต้าน แต่เราต้องใช้ พละ5 ไประงับความคิดปรุงแต่งที่จะต่อจากสังขาร ไม่เช่นนั้น จะเป็นอุปาทานทุกข์ ไม่รู้จักจบ

————————

เพิ่มเติม นอกจากพละ5 ที่เป็นตัวช่วยหยุด อุปาทานทุกข์แล้ว ถ้าฝึกอย่างชำนาญ เราจะตัดทุกข์ได้ตั้งแต่ กระบวนการ ของ เวทนา แล้ว

เวทนา นั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ไม่มีใครสุขไปตลอด ไม่มีใครทุกข์ไปตลอด ดังนั้นเราอย่าไปกำหนดชอบหรือไม่ชอบ อย่าให้มันกลายเป็นสังขารขันธ์เลย

สัญญาณ เป็นเสมือนหน่วยความจำของเรา เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆมา สัญญาณ จะนำประสบการณ์เดิมที่เคยเกิดหรือคล้ายๆ ประมวลออกมาเป็น เวทนา ต่างๆ

หากเราฝึกให้เรามีภาพจำ มีความคิดต่อสิ่งต่างๆ ในแง่ที่ดีๆ แง่มุมบวกๆ พาตัวเองไปอยู่กับคนดีๆ ในที่ดีๆ ถึงอยู่ในที่ที่แย่ๆ เราก็ต้องหาสิ่งที่งดงามให้เจอเวลา สัญญา ประมวลผลออกมาก็จะส่งผลให้มีเวทนาที่ดี มีความสุข

เขาถึงบอกว่าฝึกให้เราคิดบวก

ปล.พิมอาจจะผิด เพราะพิมในโทรศัพท์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่