อยากมาแชร์ประสบการณ์ของการรักษาที่ผิดพลาดของสัตว์แพทย์( ในจังหวัดหนึ่ง )โดยวินิจฉัยว่าลูกชายของเราเป็นมะเร็ง แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นแต่อย่างใด เราจะมาเล่าถึงประสบการณ์การรักษาเมื่อเราคิดว่าลูกเราเป็นมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาแพทย์ทางเลือก การรักษาโดยอ่านจากอินเตอร์เนต ต่างๆ แต่พอรักษาไปมาปรากฎว่าลูกชายเราไม่ได้เป็นซึ่งลูกชายเราหายได้จาก รพส เกษตร ต้องขอบคุณอาจารย์หมอ คุณหมอ ทุกๆ ท่านที่ รพส เกษตรศาสตร์ ไว้ ณ ที่นี้ค่ะ เวลาพาลูกๆของเราไปรักษาที่ใดก็ตามเลยมีความคิดว่าควรจะให้วินิจฉัย 2 หมอขึ้นไป เรื่องของเราเริ่มจาก
.......ลูกชายของเราปีนี้เค้าย่างเข้าปีที่ 10 แล้วก็เริ่มอายุมากแล้ว เป็นพันธ์ผสมลาบาดอร์กับหมาไทย นิสัยค่อนข้างดุ หวงของ เมื่อปลายปีที่แล้ว(เดือนธันวาคม) เราสังเกตเห็นว่า ในจมูกด้านซ้ายเค้ามีเลือดซึม มีน้ำมูก ( แต่เค้าไม่ได้มีอาการเจ็บป่วย ยังเล่น ทาน ได้ปกติ) เราจึงไปสัตว์แพทย์แถวๆบ้าน ได้ยามาแทน ทานไปได้ประมาณ 2 อาทิดตย์ อาการกลับมาเป็นอีก เราจึงพาลูกชายไปหาหมอในตัวเมือง (จังหวัดที่พาไปเป็นจังหวัดใหญ่) คลินิคหมอเป็นคลินิคที่คนพาสัตว์ไปรักษากันเยอะมาก ไม่แน่ใจเพราะว่ารักษาดีหรืออย่างใด ในคลินิค มีหมอที่รักษาด้วยกันประมาณ 5 คน หมอตรวจดูอาการแล้วด้วยการ x-ray บริเวณหัวแล้วบอกว่าน่าจะเป็นที่ฟันผุ ต้องได้รับการถอนฟัน ซึ่งเค้าต้องวางยาสลบ เพื่อทำการรักษา ตอนนั้นเรามีความเป็นห่วงลูกชายว่าถ้าวางยา เค้าจะเป็นอะไรหรือเปล่าเพราะอายุเยอะแล้ว หมอรับรองกับเราว่าไม่เป็นอะไรแน่นอนเพราะหมอเคยวางยาที่อายุเยอะกว่านี้มาแล้ว
........หลังจากนั้นหมอทำการนัดเพื่อถอนฟัน ซึ่งหมอขอนัดเป็นช่วงหลังปีใหม่ พอถึงวันนัดเราก็พาลูกชายไป เตรียมตัววางยาสลบโดยต้องงดข้าวและน้ำอย่างต่ำ 8-12 ชั่วโมง หลังจากเข้าห้องเพื่อทำการถอนฟัน หมอก็ออกมาบอกเราว่า ฟันน้องดูไม่ผุอะไร แต่หมอเจอก้อนเนื้อบริเวณที่โพรงจมูก พอหมอไปโดนแล้วเลือดออกเยอะมาก คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุนี้มากกว่าเรื่องฟัน (ในใจตอนนั้นก็อ้าว ววว ทำไม งี้ล่ะ ) หมอแนะนำว่า หมอจะตัดชิ้นเนื้อส่งไปวิเคราะห์ที่ ม.เกษตร เพื่อหาสาเหตุว่าเป็นมะเร็งหรือเปล่า และหมอก็แนะนำว่า ไหนๆ ก็วางยาแล้ว ขูดหินปูนเลยไหม เพราะเค้าก็มีหินปูนเยอะ ตอนนั้นเราก็ใจคอไม่ดีแล้วพอได้ยินคำว่ามะเร็ง มือเท้าอ่อนไปหมด น้ำตาคลอ แล้วก็บอกหมอว่า ค่ะ ขูดเลยก็ได้ จากการพาลูกมาถอนฟัน ทำไมกลายเป็นแบบนี้หว่าอมยิ้ม08
........หลังจากขูดหินปูเสร็จเราก็พาลูกชายกลับบ้าน ตอนนั้นเค้ายังสะลืมสะลืออยู่ หมอก็บอกว่าเค้าอาจจะมีอาการเลือดออกบ้างที่จมูก เพราะหมอตัดชิ้นเนื้อไปเพื่อตรวจ หลังจากกลับไปบ้าน ลูกชายของเราก็เป็นไข้ ตัวร้อนมาก จนอีกวันเราต้องพากลับมาหาหมออีกครั้ง ระยะทางจากบ้านเราไปคลินิคประมาณ 120 กม. หมอท่านนั้นก็งง ว่าทำไมถึงป่วยได้ หมอก็ฉีดยาลดใข้ แล้วให้ยาทางสายน้ำเกลืออีก 2 ชม แล้วก็กลับบ้าน หลังจากกลับมาบ้านลูกเราอาการไม่ดีขึ้นเลย นอนซมตลอดเวลา ไม่ยอมทานอะไรเลย ขนาดขนมของโปรดก็ไม่แตะ เดินเหมือนจะล้ม ทั้งๆที่เค้าเป็นหมาที่แข็งแรงมาก ระหว่างนั้นเราก็พากลับไปอีก เพื่อให้หมอรักษา หมอไม่สามารถหาสาเหตุการป่วยของลูกเราได้ หมอทำการเอกซเรย์ ช่องท้อง หน้าอก ทุกสิ่งอย่าง สุดท้ายเราได้ยินหมอคุยกันว่า งั้นรักษาแบบคิดว่าเป็นตับอ่อน อักเสบแล้วกัน เราถึงกับอึ้ง อ้าว อยู่ดีๆ ลูกเราเป็นได้ไง
.......ขอตัดภาพไปเรื่องชิ้นเนื้อแพร๊บ ระหว่างเราวิ่งพาลูกรักษานั้น ผลของชิ้นเนื้อที่หมอส่งไปก็กลับมา หมอมาบอกเราว่าผลออกมาว่าเป็นมะเร็ง เราแทบล้มทั้งยืน ร้องไห้หนักมากต่อหน้าหมอ หมอก็บอกเราว่าเป็นมะเร็งที่โพรงจมูก ซึ่งไม่มีคีโมรักษาต้องทำการฉายแสงอย่างเดียว และที่เดี่ยวที่ทำได้คือ รพส เกษตร เท่านั้น หมอยังแนะนำเราว่า ลูกชายเราก็อายุเยอะแล้ว เค้าคงอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี หมอว่าถ้าเป็นหมอก็ไม่รักษาเพราะเค้าจะทรมานจากการฉายแสงมาก เราก็ยิ่งทรุดเข้าไปอีก ตาพร่าด้วยน้ำตา ตอนนั้นเราก็หมดใจเรื่องการรักษาพอได้ยินแบบนั้น
------ตัดภาพมาที่อาการป่วยของลูกชายเรา ระหว่างนี้ลูกเราก็อาการไม่ดีขึ้นเลย หมอให้เราพาลูกชายไปให้ยาฆ่าเชื้อทุกวัน อยู่ทีละครึ่งวัน จนกว่าอาการจะดีขึ้น ตอนนี้ลูกเราโดนใส่ยาไปเยอะมาก เราต้องมาอยู่ในตัวจังหวัดชั่วคราวเพราะขับรถไปกลับไม่ไหว มีอยู่คืนนึง อาการเค้าดูหนักมากจนเราต้องโทรตามหมอตอนตี 2 เพื่อเอาเค้ามาให้น้ำเกลือฉุกเฉิน ตอนแรกเราก็เข้าใจว่านี่เป็นอาการของมะเร็ง หมอก็บอกว่าไม่ใช่ เราคิดว่าน่าจะเป็นจากการติดเชื้อของคลินิค เครื่องมือน่าจะไม่สะอาด ไม่งั้นลูกชายเราคงไม่แย่หลังจากวางยาไปหรอก ระหว่างที่เราวิ่งเข้าออกคลินิคเวลาเราพาเค้ากลับจากคลินิคก็ต้องมาให้น้ำเกลือต่อเพราะเค้าไม่มีแรง เราต้องนอนเอามือจับเค้าไว้เพราะถ้าเค้าดิ้นเข็มจะหลุดเราจะเสียบเข้าไปไม่เป็น เป็นช่วงชีวิตของความทรมานและเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่จริงๆ ว่ายอมเหนื่อย ยอมลำบากเพื่อลูกได้มากแค่ไหน
------ระหว่างที่รักษาเราก็ค้นหาข้อมูลการรักษามะเร็งโพรงจมูกจากในอินเตอร์เนตไปด้วย พร้อมทั้งการรักษาแพทย์ทางเลือกโดยใช้สมุนไพร ต่างๆ ที่ในกระทู้เยอะเรื่องของแปะตำปึง เราก็สั่งซื้อทางเนตเลย 3 ต้น หนึ่งพันบาท เราไม่มีเวลาคิดว่าแพงถูก เราสั่งให้เค้าสั่งมา แล้วมาทำอาหารให้ลูกชายเรากิน ไม่ว่าจะเป็นการเอาไก่ต้มปั่นกับใบแปะตำปึง แล้วป้อนเค้า มีหลายสูตรมากมายที่แชร์กันไว้ เราก็มาทำให้ลูกเรากิน ตอนนั้นเราไม่ให้ลูกกินอาหารเม็ดเลยเพราะคิดว่าอาหารเม็ดคือสาเหตุของมะเร็งเช่นกัน เราทำแต่อาหารให้ลูกเรากินเอง แต่อาการของลูกชายเราไม่ดีขึ้นเลย มีแต่ทรงกับทรุด เวลามีไข้เราก็พอไปหาหมอที่เดิมอีก(ตอนนั้นคิดว่าหมอที่นี่ดีที่สุดในจังหวัดแล้ว เลยไม่คิดจะเปลี่ยนหมอ) หมอก็เหมือนจะจนปัญญาว่าเป็นอะไร ตรวจเลือดบ่อยมากแต่ค่าก็ปกติ แต่ปัญหาคือเค้าเป็นไข้ตลอดเวลา เราเลยลองหยุดพวกสมุนไพร แล้วให้เค้าทานยาลดไข้ของหมออย่างเดียว ปรากฎว่าไข้หาย เราคิดว่าสมุนไพรบางชนิดคงมีฤทธิ์ในการล้างยาจริงๆ
-------สุดท้ายเราตัดสินใจพาลูกชายเราเข้ากรุงเทพเพื่อไปรักษา รพส เกษตร สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจรักษาเค้ามากกว่าที่จะปล่อยเค้าถามหมอบอกคือ เราไปอ่านเจอในวิทยานิพนธ์ของสัตว์แพทย์ที่เชียงใหม่บอกถึงอาการของมะเร็งโพรงจมูกว่ามีความทรมานมากเพียงใด ถ้าไม่รักษา เราเลยไปคุยกะหมอที่รักษาลูกชายเราว่ามีใบส่งตัวได้ไหม หมอก็เขียนใบส่งตัวให้พร้อมให้ภาพถ่ายวีโดีโอกับภาพนิ่งตอนส่องกล้องเข้าไปในโพรงจมูกพร้อมทั้งผลวิเคราะห์ของชิ้นเนื้อให้เราเอาไปที่ รพส เกษตร
.........ตัดภาพการไป รพส เกษตร เนื่องจากมีกระทู้ในพันทิปแนะนำวิธีการพาน้องไปรักษาที่ รพส เกษตร เราจึงพอจะรู้ขั้นตอนคร่าวๆ ว่าควรทำอย่างไร
เริ่มจาก เรามาถึง รพส ประมาณ ตีห้า เพื่อมารับบัตรคิว หลังจากนั้น 7 โมงเช้าประตูจะเปิดให้เราไปทำบัตร พร้อมทั้งรับคิวอีกรอบนึงในการพบหมอ หมอจะออกตรวจประมาณ 8.30 น. มันก็จะค่อนข้างทุลักทุเลหน่อย เพราะลูกชายเราเค้าตัวใหญ๋แล้วก็ดื้อ ดุ ด้วยต้องคอยใส่ปลอกปากแล้วก้อดึงตลอเวลา
เราได้คิวแรกๆ ในการตรวจ หมอที่มารับตรวจเป็นหมอโรคทั่วไป การตรวจที่นี่คือจะตรวจทั่วไปก่อนแล้วหมอถึงจะส่งเคสต่อไปให้อาจารย์หมอ หมอที่รับเคสของลูกชายเราพอเห็นใบส่งตัวกับภาพถ่ายวีดีโอก็บอกว่าขอคุยกับหมอที่รักษาน้องที่ต่างจังหวัดหน่อยเราก็โทรไปให้ ปรากฎว่า ไอชิ้นเนื้อที่หมอว่าหมอตัดไป มันไม่ใช่ชิ้นเนื้อ (่ผ่างงงงง) หมอที่ เกษตรบอกว่าแค่เป็นเยื้อๆ บางๆ ซึ่งไม่สามารถจะมาวิเคราะห์ได้ว่าเป็นมะเร็งรึเป่า ต้องทำการตัดชิ้นเนื้อใหม่ หมอทำการนัดเพื่อทำการตัดชิ้นเนื้อให้ลูกชายเราอีกสองอาทิตย์ เพราะคิวหมอที่ รพ แน่นมาก
..........วัดตัดชิ้นเนื้อเราก็งดข้าวงดน้ำมาปกติเพราะต้องวางยาสลบ พอมาถึง รพ เราก็พาน้องไปชั้นสองเพื่อไปเข้าคิวในการตัดชิ้นเนื้อ พอไปที่คุณหมอที่จะตัดชันเนื้อเตรียมวางยา เราก็มารอหน้าห้องผ่าตัด หมอเรียกเราไปคุยแล้วบอกว่า เนื้อในโพรงจมูกของน้องเป็นเนื้อดี ไม่มีส่วนไหนที่ดูท่าจะเป็นเนื้อร้ายได้เลย (ผ่างงงง อีกรอบ ) หมอจึงบอกว่ายังไงหมอจะไม่ตัดนะเพราะหมอดูแล้วไม่มีเซลล์ไหนที่ดูจะก่อให้เป็นมะเร็งได้ แต่ยังไงก็แล้วแต่เรามีคิวของหมอเฉพาะทางที่เป็นอาจารย์หมอด้านมะเร็งอยู่แล้วก็เข้ามาตามคิวที่นัดซึ่งหลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์
..........หลังจาก 1 อาทิตย์เราก็พาน้องไปหาอาจารย์หมอเฉพาะทาง พอเข้าไปคุยกะคุณหมอ คุณหมอบอกว่าน้องไม่ได้เป็นค่ะ ตามผลการส่องกล้องของหมอที่รับผิดชอบตัดชิ้นเนื้อ เราเลยเอาผลแลปที่หมอที่ต่างจังหวัดให้อาจารย์หมอดู เมื่อท่านดูแล้วก็บอกว่า แลปนี้เป็นแลปข้างนอกไม่ใช่แลปในมหาลัย แถมผลที่อ่าน คนที่อ่านไม่ใช่ อาจารย์ ม.เกษตร เราถึงกับอึ้ง กับคำบอกกล่าวของอาจารย์หมอ เราเลยถามเรื่องอาการป่วยของลูกชายเรา อาจารย์หมอบอกว่าต้องไปหาสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร แต่หมอรับประกันว่าไม่ใช่จากมะเร็งแน่นอน เราก็โล่งไปเปราะนึง และแอบโกรธหมอคนนั้นมาก
.........ระหว่างนี้อาการลูกชายเราก็ทรงๆ ไม่แข็งแรงเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ทรุดหนักมาก ลืมบอกว่า เราสอบถามอาจารย์หมอเรื่องของอาหาร ท่านแนะนำว่า อาหารเม็ดไม่ใช่สาเหตุหลัก และให้เค้ากินไปปกติของเค้าเถิด
------หลังจากพบอาจารย์หมอเฉพาะทางเราก็ลงมาหาหมอทั้วไปอีกครั้งนึง โดยมีใบส่งตัวจากอาจารย์หมอมาให้เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของการเป็นไข้ของลูกชายเรา คุณหมอที่รับผิดชอบให้ตรวจเลือด อัลตราซาวด์ช่องท้อง พบว่าค่าตับ มีค่าสูง คุณหมอให้ทานยา พร้อมทั้งให้ทานอาหารเฉพาะหมาที่เป็นโรคตับ แล้วก็นัดมาตรวจอีกสองอาทิตย์ หลังจากทานยาอีกสองอาทิตย์กลับมาตรวจ ค่าตับน้องดีขึ้นแสดงว่าการรักษามาถูกทาง คุณหมอจัดยาให้ต่อพร้อมทั้งให้ทานอาหารปกติได้ เราคิดว่าที่ค่าตับสูงมาจากยาที่หมอต่างจังหวัดให้ลูกชายเรามาเป็นเดือน อาการของลูกชายเราดีขึ้นตามลำดับ
-------เรามีการบนบานสิ่งศักดิ์สิทธ์มากมายเพื่อให้ช่วยลูกของเรา บางทีเราก็คิดว่าเป็นปาฎิหาร์ย์ที่พบว่าลูกเราไม่ได้เป็นอะไร การแชร์ในกระทู้นี้ก็เป็น 1 ในส่ิ่งที่เราบนไว้ว่าถ้าลูกหายแม่จะตั้งกระทู้แชร์ความรู้ให้คนทั่วๆไปต้องระวังและทราบเป็นวิยาทาน
------ถ้าวันนั้นหมอบอกว่าลูกเราเป็นมะเร็งอย่างอื่นที่ต้องใช้คีโมที่หมอมี เราก็คงให้ลูกเรารักษาไปแล้วทั้งๆที่เค้าไม่ได้เป็นอะไรเลย ข้อคิดเตือนใจสำหรับเรา ถ้ามีผลการวินิจฉัยที่ร้ายแรงเราควรลองปรึกษาหมอท่านอื่นดูว่าตรงกันหรือไม่ ถ้าเพื่อนๆ ท่านใดต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับกระทู้ที่เราตั้งถามได้ตลอดเลยนะคะ เรายินดีแชร์ประสบการณ์ การรักษาให้ค่ะ
แชร์ประสบการณ์หมอวินิจฉัยโรคของลูกชาย(น้องหมา)ผิด แถมยังทำให้หมาเราป่วยไปประมาณ 3-4 เดือน
.......ลูกชายของเราปีนี้เค้าย่างเข้าปีที่ 10 แล้วก็เริ่มอายุมากแล้ว เป็นพันธ์ผสมลาบาดอร์กับหมาไทย นิสัยค่อนข้างดุ หวงของ เมื่อปลายปีที่แล้ว(เดือนธันวาคม) เราสังเกตเห็นว่า ในจมูกด้านซ้ายเค้ามีเลือดซึม มีน้ำมูก ( แต่เค้าไม่ได้มีอาการเจ็บป่วย ยังเล่น ทาน ได้ปกติ) เราจึงไปสัตว์แพทย์แถวๆบ้าน ได้ยามาแทน ทานไปได้ประมาณ 2 อาทิดตย์ อาการกลับมาเป็นอีก เราจึงพาลูกชายไปหาหมอในตัวเมือง (จังหวัดที่พาไปเป็นจังหวัดใหญ่) คลินิคหมอเป็นคลินิคที่คนพาสัตว์ไปรักษากันเยอะมาก ไม่แน่ใจเพราะว่ารักษาดีหรืออย่างใด ในคลินิค มีหมอที่รักษาด้วยกันประมาณ 5 คน หมอตรวจดูอาการแล้วด้วยการ x-ray บริเวณหัวแล้วบอกว่าน่าจะเป็นที่ฟันผุ ต้องได้รับการถอนฟัน ซึ่งเค้าต้องวางยาสลบ เพื่อทำการรักษา ตอนนั้นเรามีความเป็นห่วงลูกชายว่าถ้าวางยา เค้าจะเป็นอะไรหรือเปล่าเพราะอายุเยอะแล้ว หมอรับรองกับเราว่าไม่เป็นอะไรแน่นอนเพราะหมอเคยวางยาที่อายุเยอะกว่านี้มาแล้ว
........หลังจากนั้นหมอทำการนัดเพื่อถอนฟัน ซึ่งหมอขอนัดเป็นช่วงหลังปีใหม่ พอถึงวันนัดเราก็พาลูกชายไป เตรียมตัววางยาสลบโดยต้องงดข้าวและน้ำอย่างต่ำ 8-12 ชั่วโมง หลังจากเข้าห้องเพื่อทำการถอนฟัน หมอก็ออกมาบอกเราว่า ฟันน้องดูไม่ผุอะไร แต่หมอเจอก้อนเนื้อบริเวณที่โพรงจมูก พอหมอไปโดนแล้วเลือดออกเยอะมาก คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุนี้มากกว่าเรื่องฟัน (ในใจตอนนั้นก็อ้าว ววว ทำไม งี้ล่ะ ) หมอแนะนำว่า หมอจะตัดชิ้นเนื้อส่งไปวิเคราะห์ที่ ม.เกษตร เพื่อหาสาเหตุว่าเป็นมะเร็งหรือเปล่า และหมอก็แนะนำว่า ไหนๆ ก็วางยาแล้ว ขูดหินปูนเลยไหม เพราะเค้าก็มีหินปูนเยอะ ตอนนั้นเราก็ใจคอไม่ดีแล้วพอได้ยินคำว่ามะเร็ง มือเท้าอ่อนไปหมด น้ำตาคลอ แล้วก็บอกหมอว่า ค่ะ ขูดเลยก็ได้ จากการพาลูกมาถอนฟัน ทำไมกลายเป็นแบบนี้หว่าอมยิ้ม08
........หลังจากขูดหินปูเสร็จเราก็พาลูกชายกลับบ้าน ตอนนั้นเค้ายังสะลืมสะลืออยู่ หมอก็บอกว่าเค้าอาจจะมีอาการเลือดออกบ้างที่จมูก เพราะหมอตัดชิ้นเนื้อไปเพื่อตรวจ หลังจากกลับไปบ้าน ลูกชายของเราก็เป็นไข้ ตัวร้อนมาก จนอีกวันเราต้องพากลับมาหาหมออีกครั้ง ระยะทางจากบ้านเราไปคลินิคประมาณ 120 กม. หมอท่านนั้นก็งง ว่าทำไมถึงป่วยได้ หมอก็ฉีดยาลดใข้ แล้วให้ยาทางสายน้ำเกลืออีก 2 ชม แล้วก็กลับบ้าน หลังจากกลับมาบ้านลูกเราอาการไม่ดีขึ้นเลย นอนซมตลอดเวลา ไม่ยอมทานอะไรเลย ขนาดขนมของโปรดก็ไม่แตะ เดินเหมือนจะล้ม ทั้งๆที่เค้าเป็นหมาที่แข็งแรงมาก ระหว่างนั้นเราก็พากลับไปอีก เพื่อให้หมอรักษา หมอไม่สามารถหาสาเหตุการป่วยของลูกเราได้ หมอทำการเอกซเรย์ ช่องท้อง หน้าอก ทุกสิ่งอย่าง สุดท้ายเราได้ยินหมอคุยกันว่า งั้นรักษาแบบคิดว่าเป็นตับอ่อน อักเสบแล้วกัน เราถึงกับอึ้ง อ้าว อยู่ดีๆ ลูกเราเป็นได้ไง
.......ขอตัดภาพไปเรื่องชิ้นเนื้อแพร๊บ ระหว่างเราวิ่งพาลูกรักษานั้น ผลของชิ้นเนื้อที่หมอส่งไปก็กลับมา หมอมาบอกเราว่าผลออกมาว่าเป็นมะเร็ง เราแทบล้มทั้งยืน ร้องไห้หนักมากต่อหน้าหมอ หมอก็บอกเราว่าเป็นมะเร็งที่โพรงจมูก ซึ่งไม่มีคีโมรักษาต้องทำการฉายแสงอย่างเดียว และที่เดี่ยวที่ทำได้คือ รพส เกษตร เท่านั้น หมอยังแนะนำเราว่า ลูกชายเราก็อายุเยอะแล้ว เค้าคงอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี หมอว่าถ้าเป็นหมอก็ไม่รักษาเพราะเค้าจะทรมานจากการฉายแสงมาก เราก็ยิ่งทรุดเข้าไปอีก ตาพร่าด้วยน้ำตา ตอนนั้นเราก็หมดใจเรื่องการรักษาพอได้ยินแบบนั้น
------ตัดภาพมาที่อาการป่วยของลูกชายเรา ระหว่างนี้ลูกเราก็อาการไม่ดีขึ้นเลย หมอให้เราพาลูกชายไปให้ยาฆ่าเชื้อทุกวัน อยู่ทีละครึ่งวัน จนกว่าอาการจะดีขึ้น ตอนนี้ลูกเราโดนใส่ยาไปเยอะมาก เราต้องมาอยู่ในตัวจังหวัดชั่วคราวเพราะขับรถไปกลับไม่ไหว มีอยู่คืนนึง อาการเค้าดูหนักมากจนเราต้องโทรตามหมอตอนตี 2 เพื่อเอาเค้ามาให้น้ำเกลือฉุกเฉิน ตอนแรกเราก็เข้าใจว่านี่เป็นอาการของมะเร็ง หมอก็บอกว่าไม่ใช่ เราคิดว่าน่าจะเป็นจากการติดเชื้อของคลินิค เครื่องมือน่าจะไม่สะอาด ไม่งั้นลูกชายเราคงไม่แย่หลังจากวางยาไปหรอก ระหว่างที่เราวิ่งเข้าออกคลินิคเวลาเราพาเค้ากลับจากคลินิคก็ต้องมาให้น้ำเกลือต่อเพราะเค้าไม่มีแรง เราต้องนอนเอามือจับเค้าไว้เพราะถ้าเค้าดิ้นเข็มจะหลุดเราจะเสียบเข้าไปไม่เป็น เป็นช่วงชีวิตของความทรมานและเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่จริงๆ ว่ายอมเหนื่อย ยอมลำบากเพื่อลูกได้มากแค่ไหน
------ระหว่างที่รักษาเราก็ค้นหาข้อมูลการรักษามะเร็งโพรงจมูกจากในอินเตอร์เนตไปด้วย พร้อมทั้งการรักษาแพทย์ทางเลือกโดยใช้สมุนไพร ต่างๆ ที่ในกระทู้เยอะเรื่องของแปะตำปึง เราก็สั่งซื้อทางเนตเลย 3 ต้น หนึ่งพันบาท เราไม่มีเวลาคิดว่าแพงถูก เราสั่งให้เค้าสั่งมา แล้วมาทำอาหารให้ลูกชายเรากิน ไม่ว่าจะเป็นการเอาไก่ต้มปั่นกับใบแปะตำปึง แล้วป้อนเค้า มีหลายสูตรมากมายที่แชร์กันไว้ เราก็มาทำให้ลูกเรากิน ตอนนั้นเราไม่ให้ลูกกินอาหารเม็ดเลยเพราะคิดว่าอาหารเม็ดคือสาเหตุของมะเร็งเช่นกัน เราทำแต่อาหารให้ลูกเรากินเอง แต่อาการของลูกชายเราไม่ดีขึ้นเลย มีแต่ทรงกับทรุด เวลามีไข้เราก็พอไปหาหมอที่เดิมอีก(ตอนนั้นคิดว่าหมอที่นี่ดีที่สุดในจังหวัดแล้ว เลยไม่คิดจะเปลี่ยนหมอ) หมอก็เหมือนจะจนปัญญาว่าเป็นอะไร ตรวจเลือดบ่อยมากแต่ค่าก็ปกติ แต่ปัญหาคือเค้าเป็นไข้ตลอดเวลา เราเลยลองหยุดพวกสมุนไพร แล้วให้เค้าทานยาลดไข้ของหมออย่างเดียว ปรากฎว่าไข้หาย เราคิดว่าสมุนไพรบางชนิดคงมีฤทธิ์ในการล้างยาจริงๆ
-------สุดท้ายเราตัดสินใจพาลูกชายเราเข้ากรุงเทพเพื่อไปรักษา รพส เกษตร สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจรักษาเค้ามากกว่าที่จะปล่อยเค้าถามหมอบอกคือ เราไปอ่านเจอในวิทยานิพนธ์ของสัตว์แพทย์ที่เชียงใหม่บอกถึงอาการของมะเร็งโพรงจมูกว่ามีความทรมานมากเพียงใด ถ้าไม่รักษา เราเลยไปคุยกะหมอที่รักษาลูกชายเราว่ามีใบส่งตัวได้ไหม หมอก็เขียนใบส่งตัวให้พร้อมให้ภาพถ่ายวีโดีโอกับภาพนิ่งตอนส่องกล้องเข้าไปในโพรงจมูกพร้อมทั้งผลวิเคราะห์ของชิ้นเนื้อให้เราเอาไปที่ รพส เกษตร
.........ตัดภาพการไป รพส เกษตร เนื่องจากมีกระทู้ในพันทิปแนะนำวิธีการพาน้องไปรักษาที่ รพส เกษตร เราจึงพอจะรู้ขั้นตอนคร่าวๆ ว่าควรทำอย่างไร
เริ่มจาก เรามาถึง รพส ประมาณ ตีห้า เพื่อมารับบัตรคิว หลังจากนั้น 7 โมงเช้าประตูจะเปิดให้เราไปทำบัตร พร้อมทั้งรับคิวอีกรอบนึงในการพบหมอ หมอจะออกตรวจประมาณ 8.30 น. มันก็จะค่อนข้างทุลักทุเลหน่อย เพราะลูกชายเราเค้าตัวใหญ๋แล้วก็ดื้อ ดุ ด้วยต้องคอยใส่ปลอกปากแล้วก้อดึงตลอเวลา
เราได้คิวแรกๆ ในการตรวจ หมอที่มารับตรวจเป็นหมอโรคทั่วไป การตรวจที่นี่คือจะตรวจทั่วไปก่อนแล้วหมอถึงจะส่งเคสต่อไปให้อาจารย์หมอ หมอที่รับเคสของลูกชายเราพอเห็นใบส่งตัวกับภาพถ่ายวีดีโอก็บอกว่าขอคุยกับหมอที่รักษาน้องที่ต่างจังหวัดหน่อยเราก็โทรไปให้ ปรากฎว่า ไอชิ้นเนื้อที่หมอว่าหมอตัดไป มันไม่ใช่ชิ้นเนื้อ (่ผ่างงงงง) หมอที่ เกษตรบอกว่าแค่เป็นเยื้อๆ บางๆ ซึ่งไม่สามารถจะมาวิเคราะห์ได้ว่าเป็นมะเร็งรึเป่า ต้องทำการตัดชิ้นเนื้อใหม่ หมอทำการนัดเพื่อทำการตัดชิ้นเนื้อให้ลูกชายเราอีกสองอาทิตย์ เพราะคิวหมอที่ รพ แน่นมาก
..........วัดตัดชิ้นเนื้อเราก็งดข้าวงดน้ำมาปกติเพราะต้องวางยาสลบ พอมาถึง รพ เราก็พาน้องไปชั้นสองเพื่อไปเข้าคิวในการตัดชิ้นเนื้อ พอไปที่คุณหมอที่จะตัดชันเนื้อเตรียมวางยา เราก็มารอหน้าห้องผ่าตัด หมอเรียกเราไปคุยแล้วบอกว่า เนื้อในโพรงจมูกของน้องเป็นเนื้อดี ไม่มีส่วนไหนที่ดูท่าจะเป็นเนื้อร้ายได้เลย (ผ่างงงง อีกรอบ ) หมอจึงบอกว่ายังไงหมอจะไม่ตัดนะเพราะหมอดูแล้วไม่มีเซลล์ไหนที่ดูจะก่อให้เป็นมะเร็งได้ แต่ยังไงก็แล้วแต่เรามีคิวของหมอเฉพาะทางที่เป็นอาจารย์หมอด้านมะเร็งอยู่แล้วก็เข้ามาตามคิวที่นัดซึ่งหลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์
..........หลังจาก 1 อาทิตย์เราก็พาน้องไปหาอาจารย์หมอเฉพาะทาง พอเข้าไปคุยกะคุณหมอ คุณหมอบอกว่าน้องไม่ได้เป็นค่ะ ตามผลการส่องกล้องของหมอที่รับผิดชอบตัดชิ้นเนื้อ เราเลยเอาผลแลปที่หมอที่ต่างจังหวัดให้อาจารย์หมอดู เมื่อท่านดูแล้วก็บอกว่า แลปนี้เป็นแลปข้างนอกไม่ใช่แลปในมหาลัย แถมผลที่อ่าน คนที่อ่านไม่ใช่ อาจารย์ ม.เกษตร เราถึงกับอึ้ง กับคำบอกกล่าวของอาจารย์หมอ เราเลยถามเรื่องอาการป่วยของลูกชายเรา อาจารย์หมอบอกว่าต้องไปหาสาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร แต่หมอรับประกันว่าไม่ใช่จากมะเร็งแน่นอน เราก็โล่งไปเปราะนึง และแอบโกรธหมอคนนั้นมาก
.........ระหว่างนี้อาการลูกชายเราก็ทรงๆ ไม่แข็งแรงเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ทรุดหนักมาก ลืมบอกว่า เราสอบถามอาจารย์หมอเรื่องของอาหาร ท่านแนะนำว่า อาหารเม็ดไม่ใช่สาเหตุหลัก และให้เค้ากินไปปกติของเค้าเถิด
------หลังจากพบอาจารย์หมอเฉพาะทางเราก็ลงมาหาหมอทั้วไปอีกครั้งนึง โดยมีใบส่งตัวจากอาจารย์หมอมาให้เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของการเป็นไข้ของลูกชายเรา คุณหมอที่รับผิดชอบให้ตรวจเลือด อัลตราซาวด์ช่องท้อง พบว่าค่าตับ มีค่าสูง คุณหมอให้ทานยา พร้อมทั้งให้ทานอาหารเฉพาะหมาที่เป็นโรคตับ แล้วก็นัดมาตรวจอีกสองอาทิตย์ หลังจากทานยาอีกสองอาทิตย์กลับมาตรวจ ค่าตับน้องดีขึ้นแสดงว่าการรักษามาถูกทาง คุณหมอจัดยาให้ต่อพร้อมทั้งให้ทานอาหารปกติได้ เราคิดว่าที่ค่าตับสูงมาจากยาที่หมอต่างจังหวัดให้ลูกชายเรามาเป็นเดือน อาการของลูกชายเราดีขึ้นตามลำดับ
-------เรามีการบนบานสิ่งศักดิ์สิทธ์มากมายเพื่อให้ช่วยลูกของเรา บางทีเราก็คิดว่าเป็นปาฎิหาร์ย์ที่พบว่าลูกเราไม่ได้เป็นอะไร การแชร์ในกระทู้นี้ก็เป็น 1 ในส่ิ่งที่เราบนไว้ว่าถ้าลูกหายแม่จะตั้งกระทู้แชร์ความรู้ให้คนทั่วๆไปต้องระวังและทราบเป็นวิยาทาน
------ถ้าวันนั้นหมอบอกว่าลูกเราเป็นมะเร็งอย่างอื่นที่ต้องใช้คีโมที่หมอมี เราก็คงให้ลูกเรารักษาไปแล้วทั้งๆที่เค้าไม่ได้เป็นอะไรเลย ข้อคิดเตือนใจสำหรับเรา ถ้ามีผลการวินิจฉัยที่ร้ายแรงเราควรลองปรึกษาหมอท่านอื่นดูว่าตรงกันหรือไม่ ถ้าเพื่อนๆ ท่านใดต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับกระทู้ที่เราตั้งถามได้ตลอดเลยนะคะ เรายินดีแชร์ประสบการณ์ การรักษาให้ค่ะ