แก้ไขข้อมูล...เพิ่มลิงค์ตอน 2 และ 3
ตอนที่2 Sapporo-Otaru-Yoichi-Hakodate
https://pantip.com/topic/38367191
ตอนที่3 Tokyo-Nikko-Kawagoe-Yokohama
https://pantip.com/topic/38370320
-----------------------------------------------------------------------------------------------
กลับมารีวิวให้พี่น้องชาวพันทิปได้ดูอีกครั้งนะครับ ครั้งนี้เราไปญี่ปุ่นกัน 14 วัน เกือบเต็มโควตาวีซ่ากันเลย กะว่าจะเที่ยวซะให้เต็มที่ กินให้เต็มเหนี่ยว
แน่นอนว่าญี่ปุ่นไม่ใช่ที่แปลกใหม่สำหรับเรา ไปมาหลายรอบ หลายฤดู เหลือ 2 ฤดูที่ไม่เคยไปคือ ใบไม้ร่วง กับหน้าร้อน เราเลยตัดสินใจกันว่าไปดูไบไม้เปลี่ยนสีกัน จองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมกันยาวๆล่วงหน้าครึ่งปี แล้วลุ้นไม่ให้มีพายุหลงฤดูพัดเข้าญี่ปุ่นช่วงที่เราไปกัน
ปกติผมจะรีวิวรวดเดียวจบ แต่คราวนี้ขอแบ่งเป็น 3 ตอนนะครับ 1 ตอนจะมีรูปประมาณ 80 รูปจะได้ไม่ยาวจนเกินไป(แต่ก็ยังยาวอยู่ดี) บางภาพเอามาจากไฟล์VDOอาจจะไม่คมชัด100%ต้องขออภัยไว้ด้วยครับ เหมือนเคยครับ เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยแล้วอ่านกันยาวๆ หรือจะเอาไปอ่านในห้องน้ำก็ได้ครับ พร้อมแล้ว เชิญครับ

แผนเที่ยวของเรารอบนี้
26 ตุลาคม กรุงเทพ-ฮาเนดะ พักที่สนามบิน 1คืน
27 ตุลาคม บินไปAbashiri
28-30 ตุลาคม เที่ยวAsahikawa-Biei
31 ตุลาคม-1พฤศจิกายน เที่ยว Sapporo, Otaru, Yoichi
2-3 พฤศจิกายน เที่ยว Hakodate
4-9 พฤศจิกายน เที่ยว Tokyo และที่ใกล้เคียง
ทุกครั้งที่ไปญี่ปุ่น เราจะเลือกเที่ยวบินออกดึก ถึงเช้า แต่สิ่งที่เจอมาคือ ต่อให้ได้นอน(บ้าง) ก็ยังเพลียอยู่ดี คราวนี้เราตัดสินใจเลือกเสียเวลาเดินทาง 1 วันโดยออกจากกรุงเทพ 10 โมงเช้า ถึงฮาเนดะ 6 โมงเย็น ด้วยสายการบิน JAL Flight JL032 ในชั้น Premium Economy ซึ่งเราเคยใช้บริการมาแล้วครั้งหนึ่ง ราคาบัตรของชั้นนี้จะแพงกว่าชั้น Economy ประมาณ 21,000 บาท แต่จะถูกว่าชั้น Business อยู่ 18,000 บาท

นอกจากที่นั่งที่กว้างกว่าชั้น Economy โดยมีพื้นที่ระหว่างที่นั่งเพิ่มขึ้นอีก 10 ซม. ยังสามารถเข้า Sakura Lounge ได้ ซึ่งผมคิดว่าโปร่งกว่า บรรยากาศสบายกว่า Lounge ของการบินไทย ที่สำคัญปลั๊กเยอะมาก Lounge การบินไทยนี่หาปลั๊กยากจริง

สุวรรณภูมิเช็ดกระจกบ้างนะ เครื่องที่จะพาเราบินไปญี่ปุ่นวันนี้ครับ เป็น Boeing 777 200ER เสียดายเพราะอยากนั่ง Boeing 787 มากกว่า แต่ไม่เป็นไร พาเราไปถึงได้เหมือนกัน การเรียกขึ้นเครื่องฝั่งสุวรรณภูมิจะให้ Premium Economy ขึ้นเครื่องพร้อมกับ Economy ขณะที่ฝั่งญี่ปุ่นจะให้ Premium ขึ้นเครื่องต่อจาก Business ครับ

แหล่งภาพ: www.th.jal.co.jp
ภาพที่นั่งของชั้นนี้นะครับ เอามาจากเวปไซท์สายการบิน เพราะตอนขึ้นเครื่องคนเยอะแล้ว ไม่ได้ถ่ายภาพมา เกรงใจเขาครับ ถ้าเทียบกับชั้น Economy แล้ว นั่งสบายขึ้นอีกโขเลยครับ ที่นั่งเป็นลักษณะที่เขาเรียกว่าเปลือกหอย ทำให้เวลาเอนหลังเบาะจะไม่เอนไปด้านหลัง และเบาะจะเอนได้มากกว่าและมีที่รองต้นขาทำให้นั่งสบายขึ้น

เราเคยเลือกที่นั่งด้านหน้าสุดซึ่งข้อดีก็คือที่วางขากว้างมาก ไม่มีอะไรมาขวางแต่ปัญหาที่เจอคือไม่มีที่วางของต้องวางบนที่เก็บของด้านบนเท่านั้น คราวนี้เราเลยเลือกที่นั่งด้านหลังเพื่อจะเก็บของใต้ที่นั่งได้ ด้านที่ติดกับหน้าต่างที่วางของใต้ที่นั่งใหญ่กว่าที่เห็นในภาพอีกเล็กน้อย

เครื่องขึ้นได้ระดับ ก็ปรับที่นั่งกันได้เลย ปุ่มใหญ่ปรับเอนแต่การเอนไม่เหมือนกับ Economy ที่ใช้ดันหลังลงไป การปรับเบาะตัวนี้ต้องใช้การไถตัวไปข้างหน้า ถ้าดันหลังอย่างเดียวเบาะไม่ลงครับ ส่วนปุ่มเล็กด้านหน้าสำหรับที่รองต้นขา และจะมีที่รองเท้าใต้ที่นั่งข้างหน้าเราอีกอัน ส่วนสื่อบันเทิงต่างๆเช่นหนัง ผมว่าการบินไทยดีกว่าเยอะเลย หนังใหม่กว่า เยอะกว่า

อาหารบนเครื่อง ก็ไม่ถึงกับอร่อยแต่ก็ไม่แย่ กินเอาอิ่มก็ได้อยู่ครับ หลังมื้ออาหารมีไอศกรีมไฮเก้นดาซให้ด้วย อันนี้อร่อยจริง

อุตส่าจองที่นั่งด้านซ้ายของตัวเครื่องเพื่อจะได้เห็นฟูจิ แต่ๆๆ เมฆเพียบ เริ่มเห็นแววว่าจะแห้วตั้งแต่เข้าเขตญี่ปุ่น เมฆหนามองไม่เห็นพื้นเลย จนเครื่องลดระดับมองไปนอกหน้าต่าง เห็นก้อนดำๆไกลๆ อ๊ะนั่นไง...โผล่มาให้เห็นหน่อยนึง หน่อยนึงจริงๆ

ห้าโมงครึ่งตามเวลาญี่ปุ่น เราเดินทางถึงสนามบินฮาเนดะ กว่าจะผ่าน ตม. รับกระเป๋า ผ่านศุลกากร ก็ประมาณหกโมงเย็น วันนี้เราจะนอนกันที่นี่เพราะวันรุ่งขึ้นเราจะบินภายในประเทศไปที่ Abashiri แต่เช้า
หลังออกมาภายนอกก็ต้องหาอะไรกินก่อน สนามบินฮาเนดะ International terminal มีโซนร้านค้าร้านอาหารอยู่เรียกว่า EDO Ko-ji อยู่ชั้น 4 และ Tokyo POP town อยู่ชั้น 5 มีร้านค้ารวมกันกว่า 50 ร้าน เดินเที่ยวกันเพลินเลย

หลังจากเดินวนดูอยู่พักหนึ่ง เลือกร้านนี้แล้วกันสำหรับอาหารมื้อแรกและการจ่ายเงินครั้งแรกอย่างเป็นทางการในญี่ปุ่น ร้านชื่อ Port-Side Kitchen ซึ่งเสิร์ฟอาหารตะวันตก อ้าวแล้วกัน มาญี่ปุ่นมากินอาหารฝรั่ง...เดี๋ยวๆ คือร้านอื่นคนเข้าแถวกันยาว นี่มันหกโมงเย็น ร้านนี้ยังไม่มีคิว เอาเถอะหิว

มาแล้วมื้อแรก ข้าวผัดเนื้อย่างกระเทียมอะไรซักอย่าง เบียร์เย็นๆอีก 1 แก้วใหญ่ บ๊ะ...เข้ากันดีจริงๆ จานนี้หมดอย่างรวดเร็ว ก็หิวนี่ เนื้อก็อร่อยนุ่มใช้ได้ ตอนออกจากร้านมา มีคิวแล้วครับดีนะเข้าไปก่อน

เดินเที่ยวไปอีกหน่อยจะเจอสะพาน สะพานในสนามบินเนี๊ยะนะ...ใช่แล้วครับ สะพานนี้ชื่อ Haneda Nihonbashi ซึ่งจำลองจากสะพาน Nihonbashi ในยุค EDO ผนังด้านข้างมีภาพประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นให้ดูกันเพลินๆ

เดินข้ามสะพานมามีที่ให้เขียนแผ่นไม้เหมือนกับในศาลเจ้า เขียนไว้เป็นที่ระลึกได้ ไม้แผ่นหนึ่งราคาแรงอยู่ ถ้าไม่อยากเสียเงินก็จะมีกระดาษรูปเครื่องบินเป็นโพสอิท เขียนแล้วแปะก็ได้อันนี้ฟรี
โรงแรม: Excel Hotel Tokyu
ที่ตั้ง: Haneda Airport Domestic Terminal 2 ชั้น2
ราคาที่จ่าย: 32,000เยนสำหรับ 1 คืน ไม่รวมอาหารเช้า
เวปไซท์:
https://www.tokyuhotels.co.jp/haneda-e/?utm_source=google&utm_medium=maps
คืนนี้เรานอนกันที่นี่ Excel Hotel Tokyu โรงแรมอยู่ที่ Domestic Terminal 2 ซึ่งที่ International Terminal ก็มีโรงแรม แต่ที่เลือกโรงแรมนี้เพราะเราหวังว่าจะได้วิวที่เห็น Runway ซึ่งเอาเข้าจริง ได้วิวหลังคาterminalมาแทน...ปิดม่านนอนไป สำหรับคนที่ต้องการที่พักราคาประหยัดใกล้สนามบิน ข้ามโรงแรมนี้ไปเลยครับ แพงเกิ้น

ห้องพักเรียกว่ากว้างขวางสำหรับโรงแรมในญี่ปุ่น อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบถ้วน ปลั๊กเสียบเพียบ แถมมีปลั๊กสำหรับ USB อีกเป็น 10 ช่อง ชาร์จอุปกรณ์ได้สบายเลย แต่ราคาแบบนี้ นอนให้รู้ครั้งเดียวพอครับ

เช้าวันต่อมาเรานั่งรถชัทเทิลบัสไปที่ Domestic Terminal 1 โดย Domestic Terminal ในสนามบิน Haneda จะมี 2 Terminal ดังนี้
-Domestic Terminal 1 สายการบินที่ทำการ JAL, JTA, SKY
-Domestic Terminal 2 สายการบินที่ทำการ ANA,AIRDO,SOLASEED AIR
เหตุผลหนึ่งที่เรานอนกันที่สนามบินเพราะเที่ยวบินที่จะไป Abashiri ของเราออก 07:25 นี่ถ้าอยู่นอกสนามบินต้องตื่นกี่โมงเนี๊ยะ...พักในนี้ออกหกโมงยังทัน นั่งชัทเทิลบัสห้านาทีถึงแล้ว
แล้วกระเป๋าล่ะ...ไปเกือบครึ่งเดือนแบบนี้กระเป๋าไม่เยอะไปหมดเหรอ คราวนี้เรามีกระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบกระเป๋าเล็กขนาดขึ้นเครื่องได้ 1 ใบ เป้สะพายหลังอีกคนละ 1 ใบ แต่การเดินทางคราวนี้เราวางแผนส่งกระเป๋าใบใหญ่ที่สุด 1 ใบล่วงหน้าเสมอ เช่น เราจะเที่ยว Abashiri 1 วันจากนั้นไปที่ Asahikawa เราจะส่งกระเป๋าไปที่ Asahikawa เลย ซึ่งการส่งกระเป๋าล่วงหน้าที่ญี่ปุ่นค่อนข้างเชื่อถือได้เรื่องความปลอดภัยและตรงเวลามากๆ ถ้าส่งข้ามภูมิภาคเช่น Tokyo ส่งไป Hokkaido อาจจะใช้เวลา 2 วัน ใครจะส่งกระเป๋าถามเจ้าหน้าที่ให้ชัวร์นะครับ

ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชม.บินไปสนามบิน Memanbetsu ซึ่งใกล้ Abashiri ที่สุดแล้ว โดยสนามบินนี้ชื่อจะไปคล้ายๆกับสนามบิน Okhotsk Monbetsu Airport ใครไป Abashiri ดูสนามบินให้ดีๆนะครับ วิวจากบนเครื่องดีจริงๆ เห็นแต่เมฆ ช่วงที่เราไปอากาศสลับกันระหว่างฝนกับแดด เรียกว่าฝน 3 วันแดดวันนึงประมาณนี้
[CR] รีวิว...ตามหาใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น 14วัน 26 ตุลาคม – 10 พฤศจิกายน ตอนที่1 Haneda-Abashiri-Asahikawa
ตอนที่2 Sapporo-Otaru-Yoichi-Hakodate
https://pantip.com/topic/38367191
ตอนที่3 Tokyo-Nikko-Kawagoe-Yokohama
https://pantip.com/topic/38370320
-----------------------------------------------------------------------------------------------
กลับมารีวิวให้พี่น้องชาวพันทิปได้ดูอีกครั้งนะครับ ครั้งนี้เราไปญี่ปุ่นกัน 14 วัน เกือบเต็มโควตาวีซ่ากันเลย กะว่าจะเที่ยวซะให้เต็มที่ กินให้เต็มเหนี่ยว
แน่นอนว่าญี่ปุ่นไม่ใช่ที่แปลกใหม่สำหรับเรา ไปมาหลายรอบ หลายฤดู เหลือ 2 ฤดูที่ไม่เคยไปคือ ใบไม้ร่วง กับหน้าร้อน เราเลยตัดสินใจกันว่าไปดูไบไม้เปลี่ยนสีกัน จองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมกันยาวๆล่วงหน้าครึ่งปี แล้วลุ้นไม่ให้มีพายุหลงฤดูพัดเข้าญี่ปุ่นช่วงที่เราไปกัน
ปกติผมจะรีวิวรวดเดียวจบ แต่คราวนี้ขอแบ่งเป็น 3 ตอนนะครับ 1 ตอนจะมีรูปประมาณ 80 รูปจะได้ไม่ยาวจนเกินไป(แต่ก็ยังยาวอยู่ดี) บางภาพเอามาจากไฟล์VDOอาจจะไม่คมชัด100%ต้องขออภัยไว้ด้วยครับ เหมือนเคยครับ เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยแล้วอ่านกันยาวๆ หรือจะเอาไปอ่านในห้องน้ำก็ได้ครับ พร้อมแล้ว เชิญครับ
แผนเที่ยวของเรารอบนี้
26 ตุลาคม กรุงเทพ-ฮาเนดะ พักที่สนามบิน 1คืน
27 ตุลาคม บินไปAbashiri
28-30 ตุลาคม เที่ยวAsahikawa-Biei
31 ตุลาคม-1พฤศจิกายน เที่ยว Sapporo, Otaru, Yoichi
2-3 พฤศจิกายน เที่ยว Hakodate
4-9 พฤศจิกายน เที่ยว Tokyo และที่ใกล้เคียง
ทุกครั้งที่ไปญี่ปุ่น เราจะเลือกเที่ยวบินออกดึก ถึงเช้า แต่สิ่งที่เจอมาคือ ต่อให้ได้นอน(บ้าง) ก็ยังเพลียอยู่ดี คราวนี้เราตัดสินใจเลือกเสียเวลาเดินทาง 1 วันโดยออกจากกรุงเทพ 10 โมงเช้า ถึงฮาเนดะ 6 โมงเย็น ด้วยสายการบิน JAL Flight JL032 ในชั้น Premium Economy ซึ่งเราเคยใช้บริการมาแล้วครั้งหนึ่ง ราคาบัตรของชั้นนี้จะแพงกว่าชั้น Economy ประมาณ 21,000 บาท แต่จะถูกว่าชั้น Business อยู่ 18,000 บาท
นอกจากที่นั่งที่กว้างกว่าชั้น Economy โดยมีพื้นที่ระหว่างที่นั่งเพิ่มขึ้นอีก 10 ซม. ยังสามารถเข้า Sakura Lounge ได้ ซึ่งผมคิดว่าโปร่งกว่า บรรยากาศสบายกว่า Lounge ของการบินไทย ที่สำคัญปลั๊กเยอะมาก Lounge การบินไทยนี่หาปลั๊กยากจริง
สุวรรณภูมิเช็ดกระจกบ้างนะ เครื่องที่จะพาเราบินไปญี่ปุ่นวันนี้ครับ เป็น Boeing 777 200ER เสียดายเพราะอยากนั่ง Boeing 787 มากกว่า แต่ไม่เป็นไร พาเราไปถึงได้เหมือนกัน การเรียกขึ้นเครื่องฝั่งสุวรรณภูมิจะให้ Premium Economy ขึ้นเครื่องพร้อมกับ Economy ขณะที่ฝั่งญี่ปุ่นจะให้ Premium ขึ้นเครื่องต่อจาก Business ครับ
ภาพที่นั่งของชั้นนี้นะครับ เอามาจากเวปไซท์สายการบิน เพราะตอนขึ้นเครื่องคนเยอะแล้ว ไม่ได้ถ่ายภาพมา เกรงใจเขาครับ ถ้าเทียบกับชั้น Economy แล้ว นั่งสบายขึ้นอีกโขเลยครับ ที่นั่งเป็นลักษณะที่เขาเรียกว่าเปลือกหอย ทำให้เวลาเอนหลังเบาะจะไม่เอนไปด้านหลัง และเบาะจะเอนได้มากกว่าและมีที่รองต้นขาทำให้นั่งสบายขึ้น
เราเคยเลือกที่นั่งด้านหน้าสุดซึ่งข้อดีก็คือที่วางขากว้างมาก ไม่มีอะไรมาขวางแต่ปัญหาที่เจอคือไม่มีที่วางของต้องวางบนที่เก็บของด้านบนเท่านั้น คราวนี้เราเลยเลือกที่นั่งด้านหลังเพื่อจะเก็บของใต้ที่นั่งได้ ด้านที่ติดกับหน้าต่างที่วางของใต้ที่นั่งใหญ่กว่าที่เห็นในภาพอีกเล็กน้อย
เครื่องขึ้นได้ระดับ ก็ปรับที่นั่งกันได้เลย ปุ่มใหญ่ปรับเอนแต่การเอนไม่เหมือนกับ Economy ที่ใช้ดันหลังลงไป การปรับเบาะตัวนี้ต้องใช้การไถตัวไปข้างหน้า ถ้าดันหลังอย่างเดียวเบาะไม่ลงครับ ส่วนปุ่มเล็กด้านหน้าสำหรับที่รองต้นขา และจะมีที่รองเท้าใต้ที่นั่งข้างหน้าเราอีกอัน ส่วนสื่อบันเทิงต่างๆเช่นหนัง ผมว่าการบินไทยดีกว่าเยอะเลย หนังใหม่กว่า เยอะกว่า
อาหารบนเครื่อง ก็ไม่ถึงกับอร่อยแต่ก็ไม่แย่ กินเอาอิ่มก็ได้อยู่ครับ หลังมื้ออาหารมีไอศกรีมไฮเก้นดาซให้ด้วย อันนี้อร่อยจริง
อุตส่าจองที่นั่งด้านซ้ายของตัวเครื่องเพื่อจะได้เห็นฟูจิ แต่ๆๆ เมฆเพียบ เริ่มเห็นแววว่าจะแห้วตั้งแต่เข้าเขตญี่ปุ่น เมฆหนามองไม่เห็นพื้นเลย จนเครื่องลดระดับมองไปนอกหน้าต่าง เห็นก้อนดำๆไกลๆ อ๊ะนั่นไง...โผล่มาให้เห็นหน่อยนึง หน่อยนึงจริงๆ
ห้าโมงครึ่งตามเวลาญี่ปุ่น เราเดินทางถึงสนามบินฮาเนดะ กว่าจะผ่าน ตม. รับกระเป๋า ผ่านศุลกากร ก็ประมาณหกโมงเย็น วันนี้เราจะนอนกันที่นี่เพราะวันรุ่งขึ้นเราจะบินภายในประเทศไปที่ Abashiri แต่เช้า
หลังออกมาภายนอกก็ต้องหาอะไรกินก่อน สนามบินฮาเนดะ International terminal มีโซนร้านค้าร้านอาหารอยู่เรียกว่า EDO Ko-ji อยู่ชั้น 4 และ Tokyo POP town อยู่ชั้น 5 มีร้านค้ารวมกันกว่า 50 ร้าน เดินเที่ยวกันเพลินเลย
หลังจากเดินวนดูอยู่พักหนึ่ง เลือกร้านนี้แล้วกันสำหรับอาหารมื้อแรกและการจ่ายเงินครั้งแรกอย่างเป็นทางการในญี่ปุ่น ร้านชื่อ Port-Side Kitchen ซึ่งเสิร์ฟอาหารตะวันตก อ้าวแล้วกัน มาญี่ปุ่นมากินอาหารฝรั่ง...เดี๋ยวๆ คือร้านอื่นคนเข้าแถวกันยาว นี่มันหกโมงเย็น ร้านนี้ยังไม่มีคิว เอาเถอะหิว
มาแล้วมื้อแรก ข้าวผัดเนื้อย่างกระเทียมอะไรซักอย่าง เบียร์เย็นๆอีก 1 แก้วใหญ่ บ๊ะ...เข้ากันดีจริงๆ จานนี้หมดอย่างรวดเร็ว ก็หิวนี่ เนื้อก็อร่อยนุ่มใช้ได้ ตอนออกจากร้านมา มีคิวแล้วครับดีนะเข้าไปก่อน
เดินเที่ยวไปอีกหน่อยจะเจอสะพาน สะพานในสนามบินเนี๊ยะนะ...ใช่แล้วครับ สะพานนี้ชื่อ Haneda Nihonbashi ซึ่งจำลองจากสะพาน Nihonbashi ในยุค EDO ผนังด้านข้างมีภาพประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นให้ดูกันเพลินๆ
เดินข้ามสะพานมามีที่ให้เขียนแผ่นไม้เหมือนกับในศาลเจ้า เขียนไว้เป็นที่ระลึกได้ ไม้แผ่นหนึ่งราคาแรงอยู่ ถ้าไม่อยากเสียเงินก็จะมีกระดาษรูปเครื่องบินเป็นโพสอิท เขียนแล้วแปะก็ได้อันนี้ฟรี
โรงแรม: Excel Hotel Tokyu
ที่ตั้ง: Haneda Airport Domestic Terminal 2 ชั้น2
ราคาที่จ่าย: 32,000เยนสำหรับ 1 คืน ไม่รวมอาหารเช้า
เวปไซท์: https://www.tokyuhotels.co.jp/haneda-e/?utm_source=google&utm_medium=maps
คืนนี้เรานอนกันที่นี่ Excel Hotel Tokyu โรงแรมอยู่ที่ Domestic Terminal 2 ซึ่งที่ International Terminal ก็มีโรงแรม แต่ที่เลือกโรงแรมนี้เพราะเราหวังว่าจะได้วิวที่เห็น Runway ซึ่งเอาเข้าจริง ได้วิวหลังคาterminalมาแทน...ปิดม่านนอนไป สำหรับคนที่ต้องการที่พักราคาประหยัดใกล้สนามบิน ข้ามโรงแรมนี้ไปเลยครับ แพงเกิ้น
ห้องพักเรียกว่ากว้างขวางสำหรับโรงแรมในญี่ปุ่น อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบถ้วน ปลั๊กเสียบเพียบ แถมมีปลั๊กสำหรับ USB อีกเป็น 10 ช่อง ชาร์จอุปกรณ์ได้สบายเลย แต่ราคาแบบนี้ นอนให้รู้ครั้งเดียวพอครับ
เช้าวันต่อมาเรานั่งรถชัทเทิลบัสไปที่ Domestic Terminal 1 โดย Domestic Terminal ในสนามบิน Haneda จะมี 2 Terminal ดังนี้
-Domestic Terminal 1 สายการบินที่ทำการ JAL, JTA, SKY
-Domestic Terminal 2 สายการบินที่ทำการ ANA,AIRDO,SOLASEED AIR
เหตุผลหนึ่งที่เรานอนกันที่สนามบินเพราะเที่ยวบินที่จะไป Abashiri ของเราออก 07:25 นี่ถ้าอยู่นอกสนามบินต้องตื่นกี่โมงเนี๊ยะ...พักในนี้ออกหกโมงยังทัน นั่งชัทเทิลบัสห้านาทีถึงแล้ว
แล้วกระเป๋าล่ะ...ไปเกือบครึ่งเดือนแบบนี้กระเป๋าไม่เยอะไปหมดเหรอ คราวนี้เรามีกระเป๋าใบใหญ่ 2 ใบกระเป๋าเล็กขนาดขึ้นเครื่องได้ 1 ใบ เป้สะพายหลังอีกคนละ 1 ใบ แต่การเดินทางคราวนี้เราวางแผนส่งกระเป๋าใบใหญ่ที่สุด 1 ใบล่วงหน้าเสมอ เช่น เราจะเที่ยว Abashiri 1 วันจากนั้นไปที่ Asahikawa เราจะส่งกระเป๋าไปที่ Asahikawa เลย ซึ่งการส่งกระเป๋าล่วงหน้าที่ญี่ปุ่นค่อนข้างเชื่อถือได้เรื่องความปลอดภัยและตรงเวลามากๆ ถ้าส่งข้ามภูมิภาคเช่น Tokyo ส่งไป Hokkaido อาจจะใช้เวลา 2 วัน ใครจะส่งกระเป๋าถามเจ้าหน้าที่ให้ชัวร์นะครับ
ใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชม.บินไปสนามบิน Memanbetsu ซึ่งใกล้ Abashiri ที่สุดแล้ว โดยสนามบินนี้ชื่อจะไปคล้ายๆกับสนามบิน Okhotsk Monbetsu Airport ใครไป Abashiri ดูสนามบินให้ดีๆนะครับ วิวจากบนเครื่องดีจริงๆ เห็นแต่เมฆ ช่วงที่เราไปอากาศสลับกันระหว่างฝนกับแดด เรียกว่าฝน 3 วันแดดวันนึงประมาณนี้
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น