หลานมีนาหลานมียาย น้ามีไร่น้าขายไร่ หลานให้ยายมาอาศัยอยู่นา น้ามาอยู่กับยายในนา พอยายตายน้าชายมีนา เป็นไปได้อย่างไร

ขอปรึกษาเรื่องสำคัญเร่งด่วน อ่านรายละเอียดและช่วยด้วยครับ
     พ่อผมบวช 10 พรรษา ลุงทั้งสองคิดว่าไม่สึก จึงแบ่งกันถือครองที่ดินมรดกของพ่อไว้  แต่เกิดอุบัติเหตุ ล้มหัวฟาด รักษาอาการอาพาธ หมอให้กินมื้อเย็น
จึงสึกออกมา กลับมาอยู่บ้านโบราณเดิมของย่า ลุง สอ ถือครองกรรมสิทธฺ์ที่ดินเนื้อที่ 9 ไร่ 73 ตารางวา แปลงนี้แต่ลุงไปสร้างครอบครัวที่อื่น รู้และเข้าใจกันว่าเป็นของพ่อ พ่อเรียกสถานที่นี้ว่าสกาวรัตน์ พ่อทำอาชีพช่างก่อสร้าง นิสัยคือไม่เอยากได้ของใคร มีน้ำใจมากมาย เฉยชาไม่สนใจทรัพย์สินเงินทองแม้กระทั่งของตนเอง ผมเกิดและเติบโตมาบนที่ดินผืนนี้ ที่ดินของปู่ย่า ของพ่อ พร้อมกับพี่น้อง สองคน  เป็นลูกชายลุยงาน เอาวัวเข้าคอก ช่วยแม่ปลูกผักไปขาย ขุดหลุมกล้วย ขุดดินเตรียมแปลงผัก ช่วยแม่ทำมะม่วงดอง มีมะพร้าวที่ลุง สอ ปลูกไว้ให้มากมาย ผมช่วยปอกให้แม่ไปขาย มีที่ดินด้านทิศตะวันออก ของบ้านสวนสกาวรัตน์ เนื้อที่ประมาณ 1ไร่ ลุงวอ เป็นคนจับจองไว้แต่ไม่มีโฉนด ลุงให้แม่ปลูกกล้วย ผมเป็นคนขุดหลุมกล้วย ต่อมาพ่อได้สร้างบ้านขึ้นมาใหม่และรื้อบ้านโบราณของย่ามาทำเรือนเล็กๆ ติดกับบ้านสองชั้นหลังใหม่ ผมขอนอนเรือนเล็กกับย่า ย่าบอกว่าเรือนหลังนี้ยกให้ผม
     ทางสายแม่ ย้ายมาจากจังหวัดอื่น ยายเป็นคนขยันขันแข็ง ทำงานเก็บหอมรอบริบมาซื้อที่ทำไร่ และปลูกบ้านอยู่ประมาณ 30 ไร่  และที่อีกแปลงเนื้อที่ 10 ไร่ ยกให้แม่ อยู่ห่างจากบ้านสวนสกาวรัตน์ ประมาณ 1.5 กม และ 1 กม ตามลำดับ แม่มีพี่ 1คน น้องสาว 3 ยาย คน และน้องชาย 1 คน เราเด็กๆและลูกพี่ลูกน้องลูกของน้องสาวแม่ที่อยู่บ้านใกล้กัน เสาร์อาทิตย์ชอบเดินหอบหมอนหอบผ้าห่มไปนอนบ้านยาย ยายเป็นผู้หญิงแกร่งเป็นต้นแบบของความเข้มแข็ง ทำงานหนักทุกอย่าง เผาถ่าน ทำไร่ สานหลั๋วไม้ไผ่ไปขาย เก็บมะพร้าว  ช่วยตัดไม้ ดายหญ้า ยายบอกผมว่าผมเป็นคนไม่เอาเปรียบใครและไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบ หลานๆรักยายมาก
    เมื่อผมอายุ 20 ปี พ.ศ. 2531 ลุงได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เราสามคนพี่น้อง เพราะพ่อผมคิดว่าอย่างไรก็ให้ลูกมาแล้ว และตัวเองมีนิสัยไม่สนใจทรัพย์สินเงินทองอยู่แล้ว อย่างไรก็ต้องตกเป็นของลูก เนื้อที่ 9 ไร่ 93 ตารางวา เป็นแปลงใหญ่ติดถนนสุขุมวิท ตัวผมจากเด็กบ้านนอกวิ่งเล่นตามไร่นา หาปูปลาตามฝั่งทะเล มาเป็นนักเรียนนายเรือ ที่เขียนคำขวัญในหนังสือรุ่นเตรียมทหารว่า  เชื่อมั่นและกล้าหาญที่จะทำความดี
    แม่ก็ได้รับรางวัลคุณแม่ดีเด่นของเมือง  บอกผมกับพี่สาวว่าขอให้ยายมาอยู่ด้วย เพราะตอนนี้น้าชายไปทำงานขับรถอยู่ต่างจังหวัด มีแต่น้องผู้หญิง น่าเป็นห่วงอันตราย เราดีใจ บอกยินดีให้ยายมาอยู่ด้วย ผมมีโอกาสช่วยพ่อและทีมงานของพ่อไปช่วยกันรื้อบ้านยาย ขนย้ายไม้ มาปลูกเป็นเรือนหลังเล็กๆอยู่ตรงท้ายบ้านสวนสกาวรัตน์ ส่วนน้าสาว 2 คน ไปอยู่ตรงที่ดิดกันที่เป็นของลุง วอ เรือนของยายตอนแรกก็ต่อไฟฟ้าจากบ้านพ่อมาให้  เสาร์อาทิตย์ที่ผมได้กลับบ้านผมจะแวะมาหายาย คุยกับยาย ฟังยายพร่ำขอบคุณความมีน้ำใจของพ่อเสมอ เรายินดีที่ยายมาอยู่ด้วย บ้านยายเป็นศูนย์กลางของหลานๆให้มารวมตัวกัน  เรารู้ข่าวว่าที่แปลงใหญ่ของยายถูกขายไป น้าชาย น้าสาวเป็นมหาเศรษฐีมีเงินกันละ 10 ล้าน ว่ากันว่าน้าชาย ได้มากกว่าใคร เพราะถือส่วนของยายไว้ด้วย พ.ศ.ประมาณ 2533
    บ้านของยายพ่อปลูกให้ถูกรื้อลง น้าชายได้สร้างหลังใหญ๋โอ่อ่า ใช้หมายเลขที่บ้านเดิมของยายที่ยายเป็นเจ้าบ้าน  ขอใช้ไฟฟ้า พื้นที่บ้านยายกลายเป็นล้อมรั้ว 2 งาน 44 ตารางวา อีกด้านนอกของรั้ว ทำเป็นที่จอดรถบรรทุก ยายขึ้นไปอยู่ชั้นสอง ผมเคยไปหายายไหว้พระสวดมนต์ให้หลานๆที่นั่น   หลานๆไปหายายต้องอ้อมประตูรั้วไปด้านข้างบ้าน ผมคิดว่าเงินที่สร้างบ้านเป็นของใครผมไม่สนใจว่าส่วนของยายหรือของน้าชาย แต่ยายเป็นเจ้าบ้านในทะเบียนบ้าน รู้ว่าปลูกบ้านอยู่กับยาย แต่ไม่นาน ยายบอกไม่ต้องการขึ้นลงชั้น
   น้าชายจึงปลูกเรือนหลังเล็กด้านข้างแต่อยู่ในรั้วให้ยายอยู่คนเดียว มีน้าสาวดูแลเรื่องข้าวปลา ต้องเปิดประตูรั้วเข้ามา หลานๆก็มาหายายโดยไม่ต้องขึ้นไปบ้านใหญ่ ขณะที่น้าสาวสร้างบ้านสวย บนที่ดินที่เคยเป็นของลุง วอ พ่อเป็นเป็นช่างก่อสร้างให้ ไม่คิดค่าแรง
   พ.ศ. 2534 พ่อสร้างบ้านให้พี่สาว 2535 พ่อสร้างบ้านทรงไทยประยุกต์ให้ผม ส่วนน้องชาย ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ต่อมาพ่อได้ออกเงินสร้างที่พักแบบรีสอร์ตให้เช่ารายวันให้น้องชาย น้องชาย ขณะที่สร้งบ้านทรงไทย มีครอบครัวของทีมงานพ่อ ที่ได้รับอนุญาตให้สร้างที่อยู่ในพื้นที่ ขโมยปั้มน้ำ ถูกขับไล่ออกไป
   พ.ศ. 2535 ลุงวอ โอนที่อีกแปลงของตระกูลให้เราสามคนพี่น้อง พ่อไม่เอา พ่อเราจ่ายค่าโอน
   พ.ศ. 2540 เราสามพี่น้องตกลงใจขายที่ให้ เพื่อนทหารเรือที่เป็นเพื่อนรัก ของผม เพื่อนกำลังหาซื้อที่ดินปลูกบ้านอยู่แถวสัตหีบ ผมเลยบอกว่าเอ็งเพื่อนรักข้า มาอยู่กับข้าดีกว่า คุยกันกับพี่น้อง แล้วไปแจ้งให้พ่อทราบ เราได้ขายที่ดินให้เพื่อนไป 60 ตารางวา ราคา 300000 บาท มีการรังวัดแบ่งแยกและโอนเพื่อนทหารเรียบร้อย ขณะเดียวกันเราได้ทำการรังวัดบริเวณที่ล้อมรั้วตรงไปที่จอดรถ และแบ่งแยกแปลกไว้ในนามเดิมทั้งสามพี่น้องด้วย รวมทั้งทำแนวกำหนดแนวเขตพื้นที่เขตของแต่ละคนไว้เป็นแนวไว้ แต่ยังไม่ได้แยกแปลง ผลประโยชน์จากการให้เช่าด้านหน้าถนนสุขุมวิท เราสามพี่น้องมาแบ่งเท่าๆกัน แบ่งเงินให้พ่อส่วนหนึ่ง ตามสมควร พ่อไม่เคยเรียกร้องอะไร
    พ.ศ. 2544  ผมลาออกจากราชการไปทำงานบริษัทเอกชน ผมพี่สาวและน้องชาย คุยกันว่า จะต้องทำธุรกิจห้องพักให้เช่า แบ่งผลประโยชน์ร่วมกันในครอบครัว เราเอาที่ดินแปลงใหญ่ ที่เหลือ 8 ไร่เศษ ไปจำนอง 2200000 บาท พ่อช่วยเราก่อสร้างจนเสร็จ พี่สาวเป็นคนดูแลเก็บเงินใช้หนี้ธนาคารและแบ่งให้พ่อเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน
พ่อรู้เรื่องเราเอาเข้าจำนอง แม่ก็รู้เรื่องจำนอง
    พ.ศ. 2546 ผมปรึกษากับพี่น้องว่าโครงการแรกประสบความสำเร็จ สมควรทำอีกโครงการหนึ่ง เรายังให้น้าชายอยู่อาศัยต่อไปเพราะเป็นน้องชายของแม่ ผมบอกน้าชายว่าต้องการใช้ที่จอดรถ น้าชายบอกว่าต้องการทำที่จอดและซ่อมรถ ผมปฏิเสธและดำเนินการออกแบบตึกล้อมรั้วบ้านไว้  การทำตึกใหม่นี้ผมออกแบบเป็นตึกสามชั้นเพราะต้องการใช้พื้นที่ให้คุ้มค่า พี่น้องบอกว่าขอให้ผมทำไปคนเดียวเลย เพราะมันใหญ่เกินไป ผมต้องตกกระไดพลอยโจนเพราะดำเนินการออกแบบขออนุญาตก่อสร้างไปแล้ว แต่พี่น้องก็ให้การสนับสนุนในการเพิ่มวงเงินกู้จำนอง 5500000 บาท ในการนี้เราต้องเอาโฉนดที่เป็นที่ตั้งบ้านและที่จอดรถของน้าชายไปจำนองด้วย เพราะตัวตึกก่อสร้างในพื้นที่ทั้งสองโฉนด  ผมทำงานอยู่ที่กรุงเทพ แม่โทรไปให้คุยกับน้าชาย เรื่องถังพักน้ำขนาดใหญ่ของบ้านที่สร้างออกมานอกรั้ว  ผมให้ใช้สอยได้ต่อไป คนงานก่อสร้างได้มาตั้งแค้มป์ในพื้นที่หน้าสิ่งปลูกสร้าง ผมยกเลิกสัญญษกับผู้รับเหมาซึ่งเป็นคนในพื้นที่ เพราะงานไม่เป็นไปตามที่กำหนด งานไม่ได้มาตรฐานและล่าช้าเกินกำหนด และเหตุผลที่สำคัญคือคนงานก่อสร้างสายอิสานที่มาทำงานกับผู้รับเหมาบอกว่าไม่ได้ค่าแรงจากผู้รับเหมา ทั้งที่ตามงวดรวมค่าแรงค่าวัสดุไปแล้ว หัวหน้าคนงานในพื้นที่ ไม่ยอมย้ายออกคนไป ผม มาดำเนินการขับไล่ด้วยตนเอง และรับประกันกับคนงานสายอิสานว่า รับประกันว่าจ่ายค่าแรงตามงวด ร้างตึกดสร็จ ผมทำงานหนัก  หาเงินส่งจ่ายธนาคารเดือนละ 75000 บาท เป็นเวลา 5 ปีเป็นไปได้หรือไม่ที่พ่อกับแม่จะไม่รู้
       พ.ศ. 2551 เราสามคนพี่น้องไถ่ถอนจำนอง ทั้งหมด เอาที่ดินทั้งหมดมารวมกันเป็นแปลงใหญ่อีกครั้งหนึ่ง แล้วแบ่งกันใหม่ มีถนนส่วนกลางร่วมกันคงชื่อสามคน ที่เหลือแบ่งแยก และแสวงหาประโยชน์จาการให้เช่าเอาเอง ห้องพักโครงการแรกเป็นของพี่สาว โครงการที่สองและพื้นที่ในรั้วบ้านน้าชายเป็นของผม แม่บอกให้ผมโอนให้น้าชายไม่เช่นนั้นจะตัดแม่ตัดลูก ผมปฏิเสธแต่ให้อยู่อาศัยในฐานะญาติต่อไป เพราะเป็นน้องชายแม่ ผมลาออกจากงานเอกชนมาดูแลธุรกิจการที่บ้าน เพราะหมดหนี้สินและหมดกำลังใจทำงาน
      พ.ศ. 2560 แม่เถียงกับพี่สาวเรื่องโครงการที่เราสามพี่น้องให้เงินแม่ไปเพื่อสร้างที่พักให้เช่าบนที่ดินมรดกแม่ที่ห่างไกลออกไป 1 กม  จำนวน 2 ล้านบาท ผมช่วยพี่สาวยืนยันว่าเป็นเงินของพวกเราให้แม่กับพ่อลงทุนเพื่อเก็บเกี่ยวรายได้เองเพื่อไว้ดูแลทั้งแม่และพ่อ ไม่ใช่เงินของแม่ และผมยังควักเพิ่มพิเศษให้อีก 2 แสนเป็น 2200000 ด้วย แม่บอกว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสมบัติของพ่อ ผมชี้ไปที่บ้านน้าชาย บอกว่า งั้นตรงนี้ทำให้จบเลยมั้ย  แม่บอกว่าเอาเลย
    ต้นปี 2561 ผมยืนหนังสือให้น้าชายย้ายออก เมื่อครบกำหนดยื่นฟ้องขับไล่ น้าชายฟ้องแย้งครอบครองปรปักษ์
    ปลายปี 2561 เดือนธันวา ผมแพ้คดีครอบครองปรปักษ์ แม่ขอให้ผมพอ เพื่อเห็นแก่วิญญาณยาย ผมรักษาสัญญาแรกที่บอกแม่ครับ ว่าจะทำให้จบ
  
    เรื่องราวเป็นอย่างไร ทำไมน้าชายถึงชนะคดีได้ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
    เราอยากได้สิ่งใด เราโกหกเพื่อสิ่งนั้น เราเป็นมนุษย์
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่