อาญาสี่ในเรื่องซิ่นลายหงส์

อาญาสี่ คือระบบการปกครองของราชอาณาจักรล้านช้างในสมัยโบราณ ที่พัฒนาขึ้นมาหลังการสถาปนาราชอาณาจักรล้านช้างในสมัยสมเด็จพระเจ้าฟ้างุ้ม และเป็นระบบการปกครองดั้งเดิมที่ถูกจารึกอยู่ใน คัมภีร์พระธรรมศาสตร์หลวง หรือคัมภีร์กฎหมายโบราณของลาวในสมัยสมเด็จพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชแห่งเวียงจันทน์ ตลอดจนกฎหมายท้าวพระยาโบราณของลาวและอีสานอีกหลายฉบับ ในวรรณกรรมโบราณเรียกระบบอาญาสี่ว่า เจ้าขันคำทั้งสี่ เมืองส่วนใหญ่ในราชอาณาจักรล้านช้างไม่ว่าจะเป็นนครหลวง เมืองเอกราช เมืองประเทศราชหรือเมืองสะทุดสะลาด เมืองหัวเศิก เมืองนครขอบด่าน เมืองกัลปนาหรือเมืองศาสนานคร ตลอดจนหัวบ้านหัวเมืองใหญ่น้อยและเมืองห้อยเมืองแขวนทั้งหลาย เช่น เมืองชั้นเอก เมืองชั้นโท เมืองชั้นตรี และเมืองชั้นจัตวา ต่างนิยมใช้ระบบการปกครองแบบอาญาสี่ทั้งสิ้น หลังจากประกาศสถาปนาพระราชอาณาจักรลาวได้มีการยกย่องพระบาทสมเด็จพระเจ้ามหาชีวิตให้อยู่เหนืออาญาทั้ง ๓ ตำแหน่ง แล้วเพิ่มอาญาตำแหน่งอื่นเข้าไปอีก ๒ ตำแหน่ง รวมเป็น ๕ ตำแหน่งเรียกว่า เจ้าย่ำขม่อมทั้งห้า หรือ เจ้ายั้งกระหม่อมทั้งห้า
ระบบอาญาสี่แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ ประเภทที่เป็นการปกครองของลาวโดยตรง ประกอบด้วย ๔ ตำแหน่ง คือ เจ้าเมือง อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร และประเภทที่สองเป็นการปกครองของลาวที่ได้รับอิทธิพลจากเขมร แบ่งออกเป็น ๔ ตำแหน่งเช่นกัน ได้แก่ เจ้าเมือง ปลัดเมือง ยกกระบัตรเมือง และกรมการเมืองหรือกรรมการเมือง แต่ในความเข้าใจโดยทั่วไปแล้วอาญาสี่มักหมายถึงถึงระบบการปกครองประเภทแรกมากกว่าประเภทที่สอง ส่วนเจ้านายในราชวงศ์ที่มีตำแหน่งต่ำกว่าอาญาสี่นั้นกษัตริย์หรือเจ้าเมืองมักโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีสำคัญอีก ๒ ประเภท ได้แก่ เสนาบดีจตุสดมภ์ และเสนาบดีอัตถสดมภ์
ความหมายของอาญาสี่
อาญา มาจากคำว่า อาชญา หรืออาดยา คำว่า ญา ลาวนิยมออกเสียง ญ ขึ้นนาสิกตามแบบแผนบาลีและตามแบบการออกเสียง ย ดั้งเดิมของลาว คำว่า อาญา หมายถึง เจ้านาย เจ้าชีวิต เจ้าผู้เป็นใหญ่เหนือกฎหมายเหนือชีวิต สามารถสั่งเป็นสั่งตายไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ มีอำนาจสิทธิ์ขาดสูงสุดในการปกครองแผ่นดิน เช่นเดียวกับการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชของสยาม อาญาสี่จึงหมายถึง เจ้าผู้เป็นใหญ่ทั้ง ๔ ตำแหน่งหลักของระบบการปกครองล้านช้าง แต่ละตำแหน่งสามารถถือเอาข้าเลกสักเป็นกองขึ้นของตนได้ สามารถเรียกเก็บส่วยจากไพร่เลกที่สังกัดกองขึ้นของตนได้ นอกจากนี้ คำว่า อาญา ยังนิยมใช้เป็นคำหน้านามของเจ้านายในคณะอาญาสี่และนำหน้านามทายาทบุตรหลานตลอดจนใช้นำหน้านามชายา ภริยา หม่อมห้าม และกรมการเมืองที่สืบเชื้อสายจากคณะอาญาสี่ด้วย ตัวอย่างเช่น อาญาเจ้า อาญาหลวง อาญาท้าว อาญานาง อาญาพ่อ อาญาแม่ อาญาน้อย เป็นต้น อย่างไรก็ตามชาวบ้านทั่วไปนิยมออกนามคำว่าอาญาโดยตัดเสียง อา ออกให้เหลือเพียงคำว่า ญา คำเดียว เช่น ญาเจ้า ญาหลวง ญาท้าว ญานาง ญาพ่อ ญาแม่ ญาน้อย เป็นต้น สำหรับราชวงศ์จำปาศักดิ์นั้นใช้คำว่าอาชญาหรืออาญาเป็นบรรดาศักดิ์ของราชนิกูลที่สืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษที่เป็นเจ้า ส่วนราชวงศ์หลวงพระบางนั้นไม่นิยมใช้คำว่าอาชญานำหน้านามเจ้านายในราชวงศ์ แต่นิยมใช้คำว่า สาทุบาทเจ้า หรือ สาทุเจ้า แทน เช่น ทุเจ้า (ตุ๊เจ้า) ทุพ่อ (ตุ๊พ่อ) ทุแม่ (ตุ๊แม่) เป็นต้น
ภายหลังเมื่อดินแดนของอาณาจักรล้านช้างบางส่วนตกเป็นประเทศราชของสยามในปี พุทธศักราช ๒๓๒๒ แล้ว ทางรัฐบาลส่วนกลางของสยามก็ยังคงปล่อยให้ดินแดนลาวทั้งหมดและดินแดนภาคอีสานเกือบทั้งหมดใช้การปกครองด้วยระบบอาญาสี่ต่อไป หัวเมืองลาวฝั่งขวาได้ยกเลิกระบบอาญาสี่หลังปฏิรูปการปกครองพุทธศักราช ๒๔๔๔ ส่วนกรณีหัวเมืองลาวฝั่งซ้ายนั้นได้ใช้เรื่อยมาจนถึงยุคสถาปนาราชอาณาจักรลาวในสมัยสมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ จากนั้นมีการแต่งตั้งพระราชอิสริยยศสมเด็จเจ้าฟ้าองค์มกุฎราชกุมารขึ้น เพื่อสืบทอดรัชทายาทจากฝ่ายวังหลวงตามอิทธิพลที่ได้รับจากศักดินาฝรั่งเศส ตำแหน่งอุปฮาตจึงลดความสำคัญลง และระบบอาญาสี่ได้ถูกยกเลิกไปโดยปริยายหลังการประกาศสละราชบัลลังก์ของสมเด็จพระเจ้าศรีสว่างวัฒนาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๘ ระบบอาญาสี่แบ่งชั้นการปกครองออกเป็น ๔ ระดับ คือ
เจ้าเมือง หรือ อาชญาหลวง (พระบาทสมเด็จบูรมนาถบูรมบุพิตร)
อุปฮาต หรือ อุปฺปหาส (เจ้าพระยาอุปราชาหอหน้า)
ราชวงศ์ หรือ ราสชวง (เจ้าพระยาราชวงสา)
ราชบุตร หรือ ราสบุด (เจ้าย่ำกระหม่อมสมเด็จพระเปนเจ้าราชบุตอุตตมโอรสส พระราชวังบวรสถานมงคลหอคำฝ่ายหลัง)
หลักการเขียนคำในเอกสารโบราณ
อาญา
อัญญา
อัญยา
อาชญา
อาชยา
อาจยา
อาตยา
อาดยา
ตำแหน่งของอัญญาทั้ง  ๔
อาญาสี่มีอยู่สี่ตำแหน่งและแต่ละตำแหน่งจะเรียกชื่อแตกต่างกันตามศักดิ์ของเมือง สามารถแบ่งได้ ๕ ระดับ ดังนี้
ตำแหน่งอาญาสี่
เมืองเอกราช    เมืองประเทศราช    หัวเมืองใหญ่, เมืองเอก, โท, ตรี    หัวเมืองขึ้น, เมืองจัตวา    เมืองขนาดเล็กมาก
สมเด็จพระเจ้ามหาชีวิต (เจ้ามหาชีวิต)    เจ้าองค์ครองนคร (เจ้านคร), เจ้าย่ำขม่อม (เจ้าหยั่งกระหม่อม)    เจ้าเมือง (ผู้ว่าราชการเมือง)    เจ้าเมือง (ผู้ว่าราชการเมือง)    เจ้าเมือง (พ่อเมือง)
สมเด็จเจ้ามหาอุปฮาต (เจ้ามหาอุปฮาต)    เจ้าอุปฮาด (เจ้าอุปราช)    อุปฮาด (พระอุปฮาต)    อัคคฮาด (อรรคราช)    วรราช (วรฮาซา)
สมเด็จเจ้าราชวงศ์    เจ้าราชวงศ์    ราชวงศ์ (พระราชวงษ์)    อัคควงศ์ (อรรควงษ์)    วรวงศ์ (วรวงษ์)
สมเด็จเจ้าราชบุตร    เจ้าราชบุตร    ราชบุตร    อัคคบุตร (อรรคบุตร)    วรบุตร (วรบุตร์)
อำนาจและหน้าที่
เจ้าเมือง
เจ้าเมือง แปลว่า ผู้เป็นใหญ่สุดแห่งเมือง มีอำนาจหน้าที่สิทธิ์ขาดในการบังคับบัญชาเหนืออาญาสี่และกรมการเมือง ตลอดจนข้าราชการทั้งปวงในเขตเมืองนั้น หากแต่จะไม่มีสิทธิ์ในบางเรื่อง เช่น ตัดสินประหารชีวิต หรือแต่งตั้งถอดถอนกรมการเมืองผู้ใหญ่ซึ่งได้แก่ อุปฮาด ราชวงศ์ ราชบุตร ได้เองโดยลำพัง เว้นแต่จะได้รับราชานุญาตจากเจ้ามหาชีวิต อย่างไรก็ตาม เจ้ามหาชีวิตเองก็ถือว่าเป็นเจ้าในระบบอาญาสี่ของกรุงเอกราช บางครั้งในแต่ละยุคสมัยต่างออกนามไม่เหมือนกัน เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้ามหาชีวิต พระเจ้ามหาชีวิต เจ้าชีวิต อาชญาหลวง อาชญาใหญ่ พระยาเมือง เจ้าพระยา พระยา (พญา, พระญา) ขุนใหญ่ ขุนเมือง เจ้าวังหลวงหรือเจ้าโฮงหลวง ในสมัยขุนบรมราชาธิราชจนถึงสมัยเจ้าฟ้างุ้มนิยมออกนามเจ้าเมืองเอกราชได้ ๘ คำ ซึ่งปรากฏในพงศาวดารล้านช้างดังต่อไปนี้
ขุน (ก่อนรัชกาลพระเจ้าฟ้างุ้ม)
ท้าว (ก่อนรัชกาลพระเจ้าฟ้างุ้ม)
เจ้าฟ้า
ท้าวฟ้า
พระยาฟ้า
ฟ้า
ญา
พระยา (พญาหรือพระญา)
ในสมัยก่อนการสถาปนาอาณาจักรล้านช้างหรือก่อนพระเจ้าฟ้างุ้มรวมเอกราชนั้น ระบบการปกครองเดิมได้แบ่งเจ้าเมืองออกเป็น ๔ ชั้น ดังนี้
เจ้าฟ้า (ท้าวฟ้า) กษัตริย์หรือพระราชา
หมื่นเฮือน (หมื่นเรือน) เจ้าเมืองชั้นเอก
พันเฮือน (พันเรือน) เจ้าเมืองชั้นโท
ฮ้อยเฮือน (ร้อยเรือน) เจ้าเมืองชั้นตรี
ในสมัยต่อได้แบ่งชั้นเจ้าเมืองออกเป็น ๕ ชั้น ดังนี้
เจ้าฟ้า (เจ้าเมือง)
เจ้าหัวเศิก (หัวศึก)
เจ้าหัวหมื่น (หัวหมื่น)
เจ้าหัวพัน (หัวพัน)
เจ้าหัวฮ้อย (หัวร้อย)
ในพระธรรมศาสตร์บทห้องมิสสาจาน ได้แสดงขันค่าคอ ขันไหม และขันแปลงของเจ้าในราชสกุลและเจ้าเมืองตลอดจนเจ้านายขุนนางในสมัยพระเจ้าสุริยวงศามหาธรรมิกราชไว้ ๔ ชั้น ดังนี้
ราชสกุลและหัวเศิก ขันค่าคอ ๑๖๐๐ เงิน ขันไหม ๘๐๐ เงิน ขันแปลง ๔๐๐ เงิน
เจ้าหัวแสนท้าวพระยาหัวหมื่น ขันค่าคอ ๑๒๐๐ เงิน ขันไหม ๖๐๐ เงิน ขันแปลง ๓๐๐ เงิน
เจ้าขุนหัวพันหัวร้อย ขันค่าคอ ๘๐๐ เงิน ขันไหม ๔๐๐ เงิน ขันแปลง ๒๐๐ เงิน
ขุนกว้านท้าวเพีย ขันค่าคอ ๖๐๐ เงิน ขันไหม ๓๐๐ เงิน ขันแปลง ๑๐๐ ถ่อง
สมัยนี้มีการออกคำนำหน้าพระนามพระมหากษัตริย์ต่างกันออกไปดังนี้
พระบาทสมเด็จบูรมนาถบูรมบุพิตร (พระบาทสมเด็จบรมนาถบรมบพิตร)
พระบาทสมเด็จบูรมบุบพิตร (พระบาทสมเด็จบรมบุพิตร)
สมเด็จพระบูรมบุพิตร
สมเด็จพระมหานคร
สมเด็จพระเปนเจ้า (สมเด็จพระเป็นเจ้า)
สมเด็จพระมหาธรรมิกราช
สมเด็จพระบูรมบุพิตร
สมเด็จบูรมบุพิตร
พระราชสมภารเจ้าย่ำกระหม่อม
พระราชบพิตร
พระราชอาชญา
พระมหาธรรมิกราชาธิราชเจ้า
พระอยู่หัว
บรรดาศักดิ์และพระยศของกษัตริย์และเจ้าเมือง ส่วนมากมักมาจากการแต่งตั้งของกษัตริย์ลาวและกษัตริย์สยาม ตลอดจนมาจากการสถาปนากันขึ้นเองของกลุ่มหัวเมืองต่างๆ สามารถแบ่งประเภทชั้นยศของผู้ปกครองเมืองได้ดังต่อไปนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้ามหาชีวิต (เจ้ามหาชีวิตหรือพระมหากษัตริย์ในยุคสถาปนาพระราชอาณาจักรลาว)
สมเด็จพระเจ้า (กษัตริย์ของราชอาณาจักรลาวทั้งสาม)
พระเจ้า (เจ้าองค์ครองนครประเทศราช)
เจ้า (เจ้าองค์ครองนครประเทศราช)
เจ้าพระยาหลวง
เจ้าพระยา
พระยา
พระ
เพีย (เจ้าเมืองขนาดเล็กบางเมือง)
ท้าว (เจ้าเมืองขนาดเล็กบางเมือง)
หลวง (เจ้าเมืองขนาดเล็กบางเมือง)
ขุน (เจ้าเมืองขนาดเล็กบางเมือง)
หมื่น (เจ้าเมืองขนาดเล็กบางเมือง)
อุปราช
อุปฮาด แปลว่า เจ้าเมืองผู้น้อย คือผู้ที่จะขึ้นเป็นเจ้าเมืองในอนาคต เป็นตำแหน่งรองเจ้าเมือง ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาราชการของเจ้าเมือง ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าเมือง ตลอดจนรับผิดชอบเกี่ยวกับบัญชีส่วยสาอากร การคลัง และการกะเกณฑ์กำลังพลในยามมีราชการสงคราม ตำแหน่งนี้บางครั้งเรียกว่า เจ้าอุปยุวราช เจ้าฝ่ายหน้า เจ้าวังหน้า เจ้าหอหน้า เจ้าหอกาง เจ้าเฮือนกางหรือเจ้าโฮงกาง เป็นตำแหน่งเทียบเท่ากับพระมหาอุปราช อุปราช สมเด็จพระอุปยุวราช สมเด็จพระยุพราช มกุฏราชกุมาร หรือสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในสมัยโบราณนิยมออกนามเจ้าอุปราชว่า เจ้าแสนหลวง พระยาแสนหลวง หรือเจ้าแสนเมือง หากเจ้าแสนหลวงได้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินจะออกนามว่า แสนหลวงเชียงลอ อุปฮาตสามารถแบ่งระดับชั้นยศได้ ดังต่อไปนี้
สมเด็จเจ้ามหาอุปฮาต (เจ้ามหาอุปฮาต) คืออุปฮาตของราชอาณาจักรหรือประเทศเอกราช ปรากฏเฉพาะภายหลังตั้งราชอาณาจักรลาวซึ่งเริ่มในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา
เจ้าอุปฮาต คืออุปฮาตของกรุงเอกราชและนครประเทศราช
พระอุปฮาต คืออุปฮาตหัวเมืองใหญ่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้มีบรรดาศักดิ์เป็นชั้นพระ อย่างไรก็ตาม หัวเมืองบางเมืองที่อุปฮาตสืบเชื้อสายจากราชวงศ์เวียงจันทน์นั้น แม้มิได้มีบรรดาศักดิ์ชั้นพระ แต่ก็มักออกคำลำลองว่าพระอุปฮาตได้เช่นกัน
หลวงอุปฮาต คืออุปฮาตหัวเมืองเล็กที่ได้รับแต่งตั้งให้มีบรรดาศักดิ์เป็นชั้นหลวง
อุปฮาต คืออุปฮาตทั่วไปทั้งหัวเมืองใหญ่และหัวเมืองเล็กที่ได้รับแต่งตั้งและมียศโดยกำเนิดเป็นท้าว บางครั้งออกนามโดยลำลองว่า ท้าวอุปฮาต
ในเอกสารโบราณเขียนคำว่า อุปฮาด แตกต่างกันออกไป ได้แก่ อุปฮาด อุปฮาต อุปฮาช อุปราช อุปหาต อุปหาด อุปฮาชา อุปฮาซา
ราชวงศ์
ราชวงศ์ แปลว่า ผู้สืบเชื้อสายจากเจ้าเมือง เป็นผู้แทนของอุปฮาด รับผิดชอบเรื่องอรรถคดีและการตัดสินถ้อยความข้อพิพาททั้งปวง ตำแหน่งนี้บางครั้งเรียกว่า เจ้าโฮงเหนือ หรือเจ้าเฮือนเหนือ เป็นตำแหน่งเทียบเท่ากับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข หรือวังหลัง ราชวงศ์สามารถแบ่งระดับชั้นยศได้ ดังต่อไปนี้
เจ้าราชวงศ์ คือราชวงศ์ของนครเอกราชและนครประเทศราช
พระราชวงศ์ คือราชวงศ์หัวเมืองใหญ่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้มีบรรดาศักดิ์เป็นชั้นพระ
ราชวงศ์ คือราชวงศ์ทั่วไปทั้งหัวเมืองใหญ่และหัวเมืองเล็กที่ได้รับแต่งตั้งและมียศโดยกำเนิดเป็นท้าว บางครั้งออกนามโดยลำลองว่า ท้าวราชวงศ์
ในเอกสารโบราณเขียนคำว่า ราชวงศ์ แตกต่างกันออกไป ได้แก่ ราชวงศ์ ราชวงษ์ ราชวง ราชวงษ
ราชบุตร
ราชบุตร แปลว่าโอรสของเจ้าเมือง โดยมากมักเป็นบุตรของเจ้าเมืองเอง หรืออาจมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเจ้าเมืองก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคำสั่งจากเมืองหลวง ราชบุตรหน้าที่ช่วยราชการตามที่เจ้าเมืองมอบหมาย ตลอดจนการปฏิบัติกิจการด้านศาสนา เรือกสวนไร่นา ถนนหนทาง และการเก็บภาษีอากรต่าง ๆ ตำแหน่งนี้บางครั้งเรียกว่า เจ้าโฮงใต้ หรือเจ้าเฮือนใต้ เป็นตำแหน่งเทียบเท่ากับพระราชโอรสของกษัตริย์หรือเจ้าเมือง ราชบุตรสามารถแบ่งระดับชั้นยศได้ ดังต่อไปนี้
เจ้าราชบุตร คือราชบุตรของนครเอกราชและนครประเทศราช
ราชบุตร คือราชบุตรทั่วไปทั้งหัวเมืองใหญ่และหัวเมืองเล็กที่ได้รับแต่งตั้งและมียศโดยกำเนิดเป็นท้าว
ในเอกสารโบราณเขียนคำว่า ราชบุตร แตกต่างกันออกไป ได้แก่ ราชบุตร ราชบุตร์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่