ถ้ารู้แล้ว เห็นแล้ว เข้าใจแล้ว กิเลสตัณหาเครื่องร้อยรัดมันก็จะค่อยๆหายไป หมดไป ได้เองหรือ ?
จากพระสูตรนี้
นิพพานสูตรที่ ๒
[๑๕๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค
ทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วย
ธรรมีกถาอันปฏิสังยุตต์ด้วยนิพพาน ก็ภิกษุเหล่านั้นกระทำให้มั่น มนสิการแล้ว
น้อมนึกธรรมีกถาด้วยจิตทั้งปวงแล้ว เงี่ยโสตลงฟังธรรม ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้วได้ทรงเปล่งอุทาน
นี้ในเวลานั้นว่า
ฐานะที่บุคคลเห็นได้ยากชื่อว่านิพพาน ไม่มีตัณหา นิพพาน
นั้นเป็นธรรมจริงแท้ ไม่เห็นได้โดยง่ายเลย ตัณหาอัน
บุคคลแทงตลอดแล้ว กิเลสเครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่บุคคล
ผู้รู้ ผู้เห็นอยู่ ฯ.....
หมายความว่าตราบใดที่เรายังไม่รู้ ยังไม่เห็นนิพพาน ตราบนั้นเราก็ยังต้องตกเป็นทาสของตัณหาตลอดไปใช่มั้ยครับ ?
ธรรมที่รู้ได้ยาก เห็นได้ยาก ชื่อว่านิพพาน แต่..
จากพระสูตรนี้
นิพพานสูตรที่ ๒
[๑๕๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค
ทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วย
ธรรมีกถาอันปฏิสังยุตต์ด้วยนิพพาน ก็ภิกษุเหล่านั้นกระทำให้มั่น มนสิการแล้ว
น้อมนึกธรรมีกถาด้วยจิตทั้งปวงแล้ว เงี่ยโสตลงฟังธรรม ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้วได้ทรงเปล่งอุทาน
นี้ในเวลานั้นว่า
ฐานะที่บุคคลเห็นได้ยากชื่อว่านิพพาน ไม่มีตัณหา นิพพาน
นั้นเป็นธรรมจริงแท้ ไม่เห็นได้โดยง่ายเลย ตัณหาอัน
บุคคลแทงตลอดแล้ว กิเลสเครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่บุคคล
ผู้รู้ ผู้เห็นอยู่ ฯ.....
หมายความว่าตราบใดที่เรายังไม่รู้ ยังไม่เห็นนิพพาน ตราบนั้นเราก็ยังต้องตกเป็นทาสของตัณหาตลอดไปใช่มั้ยครับ ?