ที่มา :
พล้อตเรื่อง ได้รับแรงบันดาลใจจาก เรื่องสั้นของคุณนะสายป่าน
เรื่อง
คลีนิคลบความจำ
https://pantip.com/topic/38246327
นำมาต่อยอด (ได้อีก) โดยการผสมผสานผสานเข้ากับนิยายเรื่อง
เงื่อนรักกามเทพ บทล่าสุด(25)
https://pantip.com/topic/38276482
ของคุณส่องแสงตะวันฉาย
แล้วนำมาก่อเกิดเป็นพล็อตใหม่ ขึ้นมา
ขอบคุณ ทั้งสองท่านที่เป็นแรงบันดาลใจครับ เป้นตัวอย่างการหาพล็อตเรื่อง จากสิ่งรอบตัวนี่เอง ไม่ต้องไปไหนไกล^^
....
ถนนสายนั้นเหยียดยาวอ้างว้างเงียบเหงา
ชายหนุ่มพบว่าตัวเองกำลังเดินอย่างเลื่อนลอย ราวกำลังอยู่ในม่านหมอกแห่งความฝัน ไม่เข้าใจว่าตัวเองมาเดินตามลำพังบนถนนแห่งนี้ได้อย่างไรกัน หรือว่าเป็นถนนนำทางสู่ความตาย
ถนนสายนั้นเหยียดยาวอ้างว้างเงียบเหงา
หญิงสาวพบว่าตัวเองกำลังเดินอย่างเลื่อนลอยราวกำลังอยู่ในม่านหมอกแห่งความฝัน ไม่เข้าใจว่าตัวเองมาเดินตามลำพังบนถนนแห่งนี้ได้อย่างไรกัน หรือว่าเป็นถนนนำทางสู่ความตาย
ชายหนุ่ม หญิงสาว
เดินมาคนละทิศคนละทาง จำเป็นจะต้องเดินสวนทางกัน ความสงสัยระแวงทำให้ต่างฝ่ายหยุดยืนห่างกันออกไปพอมองเห็นหน้ากันชัดเจน อารมณ์ภายในปนเปกันไปทั้งความอแปลกใจ ไม่ไว้วางใจ และความรู้สึกว่าไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป แม้เพียงเป็นเพียงการเดินสวนทางก็ตาม แต่เมื่อต่างฝ่ายเห็นว่า คนเดินสวนทางมาไม่ได้สวมหน้ากาก ถือมีดยาว หรือเลื่อยยนต์มาด้วย จึงพากันเดินเข้าหากันอีกคนละสองสามก้าว ก่อนหยุดรักษาระยะส่วนตัวเอาไว้ เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะฝ่ายหญิงมาเจอฃายแปลกหน้าบนถนนสายเปล่าเพียงลำพัง ไม่ดีสักเท่าไรแม้ว่ายังไม่เห็นอาการคุกคาม
“คุณเป็นใคร มาทำอะไรแถวนี้” เสียงทุ้มหนักถามก่อน จ้องมองอย่างจะค้นหาคำตอบ
“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มาทำอะไร แล้วคุณล่ะ”
นั่นสินะ....เราเป็นใคร ชายหนุ่มเหวี่ยงคำถามย้อนศรกลับเข้าหาตัวเอง ทำไมสมองจดจำอะไรไม่ได้เลย ความทรงจำเหมือนมีใครหรืออะไรบางอย่าง มาลบออกจากจากชีวิตอย่างโหดร้าย สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านไป พาหมอกสีขาวกลุ่มใหญ่มาด้วย ทำให้มองอีกฝ่ายเดี๋ยวชัดเจนเดี๋ยวเลือนราง
“คุณจำอะไรไม่ได้... ใช่ไหมคะ”
“ทำไมคุณถามแบบนั้น”
“เพราะฉันเองก็จำอะไรไม่ได้ คงเหมือนคุณนั่นล่ะ”
“ลองนึกดูสิครับ...” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงขึ้น เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน “คุณอาจจะยังพอจำอะไรได้บ้าง บ้าน เพื่อน พ่อแม่พี่น้อง หรืออะไรพวกนั้น”
“อย่าเลยค่ะ คุณเองก็น่าจะรู้คำตอบดี”
ถนนสายนี้เป็นถนนที่มีแต่ปัจจุบันหรืออย่างไร ถ้าเธอจำความหลังไม่ได้ เขาเองก็คงน่าจะจดจำอะไรไม่ได้เหมือนกัน สีหน้าของแต่ละฝ่ายล้วนบ่งบอกคำตอบได้เป็นอย่างดี ถ้าภาพแห่งความทรงจำไม่เหลืออะไร แล้วมีอะไรบ้างติดตัวอยู่ในเวลานี้ล่ะ สัญชาตญาณของมนุษย์ ...ความดี... ความชั่ว... สามัญสำนึก... ติดตัวมาตั้งแต่เกิดหรืออย่างไร แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีใครขโมยมันไปได้ ต่อให้ความทรงจำถูกลบหายไปก็ตาม
“คุณคงอยากรู้ความเป็นมาของคุณ” เขาถามอีก อีกฝ่ายพยักหน้า ตอบกลับมาโดยแทบไม่ต้องคิด
“แน่นอนค่ะ คุณเองก็คงเหมือนกัน ว่าคุณเป็นใคร ทำไมมาเดินคนเดียวแบบนี้” ทั้งคู่มีทีท่าผ่อนคลายลง
“ท่าทางคุณหิวนะครับ” ในกระเป๋ามีขนมปังอยู่สองชิ้น ในกระเป๋าเสื้อ ไม่รู้ว่าติดตัวมาได้อย่างไร แต่มันก็ควรจะทำหน้าที่ของขนมปังอันดีงามเสียดี ใช่แล้ว ขนมปังเกิดมาเพื่อถูกกินจึงจะถือว่าแตกดับลับหายอย่างมีเกียรติและศักด์ศรี เมื่อมีสองชิ้นก็ควรจะแบ่งให้เพื่อนร่วมทาง แม้ว่าจะเป็นการเดินสวนทางกันก็ตาม ถนนก็คือถนน คนใช่ร่วมเส้นทาง แม้ผู้คนจะเดินด้วยจุดหมายปลายทางต่างกันก็ตาม
แต่จะไม่ฝืดคอไปหน่อยหรือ ถ้าไม่มีน้ำ เกิดขนมปังติดคอตายจะทำอย่างไร แต่ตัวเองก็รู้สึกหิวขึ้นมาเหมือนกัน
“ผมมีขนมปัง สองชิ้น ผมแบ่งให้คุณชิ้นหนึ่ง”
หญิงสาวมองขนมปังในมือ มองหน้า อย่างชั่งใจ
“ผมไม่วางยาคุณหรอกน่า” ชายหนุ่มบอกรับประกันความปลอดภัย หญิงสาวขยับใกล้เข้ามาอีกก้าวหนึ่ง
“ฉันบังเอิญมีน้ำติดตัวมาด้วย” เธอว่า พลางหยิบขวดน้ำออกมาจากกระเปาเสื้อ แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ก็พอประทังความกระหายและพาขนมปังไปสูสุคติได้อย่างเรียบร้อย “เรามาแลกกัน ยุติธรรมดีไหมคะ”
“ทำไมต้องแลกกันด้วย ต่างฝ่ายต่างให้กันด้วยใจไม่ดีกว่าหรือครับ”
“มันก็เหมือนกันนั่นละคะ”
“ไม่เหมือน การให้ด้วยใจและการให้ด้วยหน้าที่มรรยาทไม่เหมือนกัน”
หญิงสาวมองหน้าคนพูดด้วยสายตากึ่งหงุดหงิดกึ่งขบขัน ผู้ชายคนนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นตัวเอง และความกวนประสามคนอื่นหรืออย่างไร แต่มาคิดถึงทีก็เริ่มคล้อยตามความคิดนั้น ในสภาพการณ์อยู่กับปัจจุบันแบบนี้น้ำใจไมตรีน่าจะสำคัญมากกว่ากฏระเบียบ
“ตกลงค่ะ พวกเราให้อาหารกันและกัน”
ทั้งคู่ก้าวเข้าหากัน จนอยู่ในระยะยื่นอาหารในมือให้กันและกันได้ ต่างฝ่ายหันข้างให้กันขณะจัดการกับอาหาร อาจเพราะความที่ยังไม่คุ้นเคยกันเท่าไร เลยต้องรักษาอาการความเป็นกันเองไว้ระดับหนึ่ง แต่ข่องว่างดูเหมือนจะลดลงมากแล้ว เมื่ออาหารและน้ำทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ จึงหันหน้ามองกันอีกครั้งด้วยสีหน้าท่าทางสดชื่นขึ้นบ้าง หลังจากนั้นการพูดคุยก็เริ่มต้นขึ้นกลางถนนนั่นเอง ต่างฝ่ายต่างรับรู้ว่าความทรงจำต่างถูกลบเลือนหายไปกับกลุ่มหมอกควันด้านหลัง และก็ไม่รู้เส้นทางข้างหน้าเช่นกัน ความทรงจำใหม่เกิดขึ้นบนถนนสายนี้เอง
ช่วงหนึ่งของการสนทนา ชายหนุ่มเสนอแนะว่าให้แต่ละคนหันหลังกลับไป เดินกลับไป แทนที่จะเดินต่อไปเบื้องหน้า เพราะเบื้องหน้าของแต่ละคนก็คือเบื้องหลังของอีกฝ่ายนั่นเอง
จะเป็นได้อย่างไรว่า เบื้องหลังของคนหนึ่งคืออนาคตของอีกฝ่ายหนึ่ง มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่ออดีตและอนาคตกลายเป็นสิ่งเดียวกัน จะมีความหมายอะไรต่อไป ถนนสายนี้ยังปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่นปรากฏให้เห็น สองข้างทางเต็มไปด้วยกลุ่มหมอกลอยพัดผ่านไปมา ถนนด้านหลังของแต่ละคนก็เป็นความหม่นมัวเช่นกัน ไม่แตกต่างกันเลยสักนิด
“ความทรงจำของเรา มันเป็นของเรา เราก็ควรไปรับรู้มันบ้าง” บอกย้ำเมื่อเห็นอีกฝ่ายลังเลใจ “อย่างน้อยมันก็เป็นของเรานะครับ”
“มัน ‘เคย’ เป็นเท่านั่นละค่ะ ไม่มีตัวตน ปล่อยมันไปเถอะค่ะ”
“ผมว่ามันก็ไม่ต่างจากเราพยายามหนีตัวเองนะครับ”
“ไม่ใช่หนีหรอกค่ะ แต่เราไม่ยึดติดว่าเป็นของเราต่างหาก”
ชายหนุ่มสั่นศีรษะกลับกับความคิดของอีกฝ่าย แต่ในที่สุดก็ตกลงกันได้ โดยที่เขาจะทดลองเดินกลับไปข้างหลังก่อนเผื่อว่าจะพบอะไรบ้าง หรือไม่ก็พบความทรงจำของตัวเอง ได้ผลอย่างไรจะกลับมารายงาน และเธอก็ตกลงตามนี้ ดังนั้นชายหนุ่มหันหลังกลับ ก่อนเดินห่างหายไปในความหม่นมัวของม่านหมอก
ความอ้างว่างเปล่าเปลี่ยวกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองว่าสามารถเดินมาตตามลำพังบนถนนสายน่ากลัวนี้ได้อย่างไร จนกระทั่งได้พบเพื่อนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่ก็ทำให้อบอุ่นใจได้ เพื่อน หรือคนเราจำเป็นจะต้องมีเพื่อน คงไม่มีใครอยู่คนเดียวได้ หรืออย่างไร
เราตายไปแล้ว
ไม่เป็นไปไม่ได้ ยังมีชีวิต ยังมีลมหายใจ
แต่สภาพการณ์เวลานี้หมายถึงอะไร
หายไปนาน...
นานจนทำให้เริ่มกระวนกระวายใจ เพื่อนหน้าใหม่เพิ่งรู้จักกันทำให้ใจหายอย่างประหลาดกับการหายตัวไป แต่มาคิดดูให้ดี ชายหนุ่มหายไปเบื้องหน้า เส้นทางที่เธอเดินก็เป็นเส้นทางที่เขาหันหลังกลับไปนั่นเองทำไมต้องมาหยุดรอ ทำไมไม่เดินต่อไป ไม่มีอะไรผิดแผนเลยสักนิด แค่เดินไปข้างหน้าเท่านั้น บ้าจริง ทำไมไม่นึกออกตั้งแต่แรกนะ
หญิงสาวตัดสินใจเดินรุดหน้าต่อไปทันที แม้จะเป็นการเดินทางผ่านความหม่นมัวเพียงลำพัง ถ้ายังมีพลังก็ต้องเดินต่อไป เส้นทางยังคงยาวเหยียดไม่มีเลี้ยวโค้งไปไหนเลย
ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าอยู่ริมถนน ท่าทางหมดเรี่ยวแรงและสิ้นหวัง
ในที่สุดก็เจอตัวเสียที แต่ทำไมเป็นแบบนี้ จะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเขาอย่างแน่นอน มือเขย่าบ่าไหล่ไปมาอย่างแรง เป็นการเรียดสติให้กลับคืนมา รู้สึกตกใจกับท่าทางของอีกฝ่าย
“ผมไม่ควรกลับมาเลย น่าจะเดินต่อไป” ชายหนุ่มก้มหน้า กำมือแน่นเหมือนพยายามต่อสู้กับภายในของตนเอง “ คุณเองก็ไม่ควรจะเดินกลับหลังไป ผมบอกคุณได้เท่านี้”
“ทำไมคะ” เธอไม่เข้าใจคำพูดแฝงนัยยะ
“ผมรู้แล้วละว่า ทำไมความทรงจำของเราถึงหายไป มันเป็นความทรงจำที่แสนเลวร้าย ผมไม่อยากยอมรับมัน ยิ่งผมเดินกลับหลังมาเท่าไร ความจำยิ่งชัดเจนมากขึ้น ผมไปต่อไปไม่ไหวแล้ว....คุณเองก็อยู่ในความทรงจำนั้นด้วย”
“เราเคยรู้จักกันหรือคะ”
“เรารู้จักกันมากกว่าที่คุณคิดเสียอีก ผมไม่ควรเดินกลับมาเลย”
หญิงสาวพยายามประคองร่างไร้พลังใจให้ลุกขึ้นจนได้ คำว่าเพื่อนร่วมทางเริ่มมีความหมาย ชายหนุ่มยืนหยัดขึ้นมาได้อีกครั้ง มองคนยืนอยู่ข้างกายพร้อมด้วยความคิดในใจว่าจะต้องปกป้องดูแลให้ถึงที่สุด และไม่ยอมให้กลับไปพบความทรงจำอันเลวร้ายผิดพลาดอย่างเด็ดขาด เพียงหันหลังออกจากอดีตก้าวต่อไปข้างหน้า ความทรงจำเลวร้ายจะค่อยลบเลือนไปเอง
“คุณยังไม่บอกฉันเลย เราเคยรู้จักกันใช่ไหมคะ แล้วทำไม...”
“ช่างเถอะครับ...” เขาตัดบท ลูดลมหายใจลึก หมดเวลากับการคร่ำครวญให้เสียอาการ ไม่ใช่เด็กผู้หญิงขี้แย จะต้องเข้มแข็งเพราะมีภาระต้องดูแล “คุณเองก็บอกว่าอดีตไร้ตัวตน ไม่ควรไปยึดติดไม่ใช่หรือครับ ความทรงจำบางอย่างมีแต่ทำร้ายเรา เชื่อผมเถอะครับ อย่ากลับไป มันไม่ได้มีคุณค่ามากพอจะให้เราจดจำหรอกครับ บางคนหนีไม่ได้ แต่เราหนีได้นะครับ”
“หนี...ไปไหนคะ”
"โน่นไงครับ...” มือชี้ไปยังทางแยกเส้นหนึ่ง เธอเพิ่งรู้ว่ากำลังยืนอยู่บริเวณสี่แยกพอดี ถนนสายนี้มีทางแยกซ้ายขวาออกไปให้เลือก เส้นทางที่เพิ่งเดินจากมาก็เป็นอดีตของตัวเองที่ไม่ควรหันหลังกลับไป ทางข้างหน้าก็เป็นความทรงจำเลวร้าย เหลืออีกสองทางให้เลือก "ผมว่าเราไปได้"
“เราจะเลือกไปทางไหนดีคะ ซ้าย หรือขวา”
“ทางไหนก็ได้ ไม่สำคัญ ที่ไม่ใช่เส้นทางที่เราผ่านมาก็แล้วกัน เราไปกันเถอะครับ”
คว้าข้อมือของอีกฝ่าย ผู้ยังมีท่าทางลังเล แต่มือที่กุมเอาไว้ให้ความรู้สึกอบอุ่นมั่นลงไม่โดดเดี่ยวอ้างว้าง จะอยู่หรือตายไปแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทั้งคู่หันหน้ายิ้มให้กันอย่างสนิทเป็นครั้งแรก และก้าวเดินเคียงคู่กันไปทันที ไม่ว่าจะมีอะไรรอคอยอยู่ข้างหน้า พร้อมร่วมมือร่วมใจเผชิญ ไม่อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป
บนถนนสายนั้น

จบแล้วครับ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยือนครับ






ถนนสายนั้น
พล้อตเรื่อง ได้รับแรงบันดาลใจจาก เรื่องสั้นของคุณนะสายป่าน
เรื่อง คลีนิคลบความจำ
https://pantip.com/topic/38246327
นำมาต่อยอด (ได้อีก) โดยการผสมผสานผสานเข้ากับนิยายเรื่อง
เงื่อนรักกามเทพ บทล่าสุด(25)
https://pantip.com/topic/38276482
ของคุณส่องแสงตะวันฉาย
แล้วนำมาก่อเกิดเป็นพล็อตใหม่ ขึ้นมา
ขอบคุณ ทั้งสองท่านที่เป็นแรงบันดาลใจครับ เป้นตัวอย่างการหาพล็อตเรื่อง จากสิ่งรอบตัวนี่เอง ไม่ต้องไปไหนไกล^^
....
ถนนสายนั้นเหยียดยาวอ้างว้างเงียบเหงา ชายหนุ่มพบว่าตัวเองกำลังเดินอย่างเลื่อนลอย ราวกำลังอยู่ในม่านหมอกแห่งความฝัน ไม่เข้าใจว่าตัวเองมาเดินตามลำพังบนถนนแห่งนี้ได้อย่างไรกัน หรือว่าเป็นถนนนำทางสู่ความตาย
ถนนสายนั้นเหยียดยาวอ้างว้างเงียบเหงา หญิงสาวพบว่าตัวเองกำลังเดินอย่างเลื่อนลอยราวกำลังอยู่ในม่านหมอกแห่งความฝัน ไม่เข้าใจว่าตัวเองมาเดินตามลำพังบนถนนแห่งนี้ได้อย่างไรกัน หรือว่าเป็นถนนนำทางสู่ความตาย
ชายหนุ่ม หญิงสาว
เดินมาคนละทิศคนละทาง จำเป็นจะต้องเดินสวนทางกัน ความสงสัยระแวงทำให้ต่างฝ่ายหยุดยืนห่างกันออกไปพอมองเห็นหน้ากันชัดเจน อารมณ์ภายในปนเปกันไปทั้งความอแปลกใจ ไม่ไว้วางใจ และความรู้สึกว่าไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป แม้เพียงเป็นเพียงการเดินสวนทางก็ตาม แต่เมื่อต่างฝ่ายเห็นว่า คนเดินสวนทางมาไม่ได้สวมหน้ากาก ถือมีดยาว หรือเลื่อยยนต์มาด้วย จึงพากันเดินเข้าหากันอีกคนละสองสามก้าว ก่อนหยุดรักษาระยะส่วนตัวเอาไว้ เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะฝ่ายหญิงมาเจอฃายแปลกหน้าบนถนนสายเปล่าเพียงลำพัง ไม่ดีสักเท่าไรแม้ว่ายังไม่เห็นอาการคุกคาม
“คุณเป็นใคร มาทำอะไรแถวนี้” เสียงทุ้มหนักถามก่อน จ้องมองอย่างจะค้นหาคำตอบ
“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มาทำอะไร แล้วคุณล่ะ”
นั่นสินะ....เราเป็นใคร ชายหนุ่มเหวี่ยงคำถามย้อนศรกลับเข้าหาตัวเอง ทำไมสมองจดจำอะไรไม่ได้เลย ความทรงจำเหมือนมีใครหรืออะไรบางอย่าง มาลบออกจากจากชีวิตอย่างโหดร้าย สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านไป พาหมอกสีขาวกลุ่มใหญ่มาด้วย ทำให้มองอีกฝ่ายเดี๋ยวชัดเจนเดี๋ยวเลือนราง
“คุณจำอะไรไม่ได้... ใช่ไหมคะ”
“ทำไมคุณถามแบบนั้น”
“เพราะฉันเองก็จำอะไรไม่ได้ คงเหมือนคุณนั่นล่ะ”
“ลองนึกดูสิครับ...” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงขึ้น เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน “คุณอาจจะยังพอจำอะไรได้บ้าง บ้าน เพื่อน พ่อแม่พี่น้อง หรืออะไรพวกนั้น”
“อย่าเลยค่ะ คุณเองก็น่าจะรู้คำตอบดี”
ถนนสายนี้เป็นถนนที่มีแต่ปัจจุบันหรืออย่างไร ถ้าเธอจำความหลังไม่ได้ เขาเองก็คงน่าจะจดจำอะไรไม่ได้เหมือนกัน สีหน้าของแต่ละฝ่ายล้วนบ่งบอกคำตอบได้เป็นอย่างดี ถ้าภาพแห่งความทรงจำไม่เหลืออะไร แล้วมีอะไรบ้างติดตัวอยู่ในเวลานี้ล่ะ สัญชาตญาณของมนุษย์ ...ความดี... ความชั่ว... สามัญสำนึก... ติดตัวมาตั้งแต่เกิดหรืออย่างไร แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีใครขโมยมันไปได้ ต่อให้ความทรงจำถูกลบหายไปก็ตาม
“คุณคงอยากรู้ความเป็นมาของคุณ” เขาถามอีก อีกฝ่ายพยักหน้า ตอบกลับมาโดยแทบไม่ต้องคิด
“แน่นอนค่ะ คุณเองก็คงเหมือนกัน ว่าคุณเป็นใคร ทำไมมาเดินคนเดียวแบบนี้” ทั้งคู่มีทีท่าผ่อนคลายลง
“ท่าทางคุณหิวนะครับ” ในกระเป๋ามีขนมปังอยู่สองชิ้น ในกระเป๋าเสื้อ ไม่รู้ว่าติดตัวมาได้อย่างไร แต่มันก็ควรจะทำหน้าที่ของขนมปังอันดีงามเสียดี ใช่แล้ว ขนมปังเกิดมาเพื่อถูกกินจึงจะถือว่าแตกดับลับหายอย่างมีเกียรติและศักด์ศรี เมื่อมีสองชิ้นก็ควรจะแบ่งให้เพื่อนร่วมทาง แม้ว่าจะเป็นการเดินสวนทางกันก็ตาม ถนนก็คือถนน คนใช่ร่วมเส้นทาง แม้ผู้คนจะเดินด้วยจุดหมายปลายทางต่างกันก็ตาม
แต่จะไม่ฝืดคอไปหน่อยหรือ ถ้าไม่มีน้ำ เกิดขนมปังติดคอตายจะทำอย่างไร แต่ตัวเองก็รู้สึกหิวขึ้นมาเหมือนกัน
“ผมมีขนมปัง สองชิ้น ผมแบ่งให้คุณชิ้นหนึ่ง”
หญิงสาวมองขนมปังในมือ มองหน้า อย่างชั่งใจ
“ผมไม่วางยาคุณหรอกน่า” ชายหนุ่มบอกรับประกันความปลอดภัย หญิงสาวขยับใกล้เข้ามาอีกก้าวหนึ่ง
“ฉันบังเอิญมีน้ำติดตัวมาด้วย” เธอว่า พลางหยิบขวดน้ำออกมาจากกระเปาเสื้อ แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ก็พอประทังความกระหายและพาขนมปังไปสูสุคติได้อย่างเรียบร้อย “เรามาแลกกัน ยุติธรรมดีไหมคะ”
“ทำไมต้องแลกกันด้วย ต่างฝ่ายต่างให้กันด้วยใจไม่ดีกว่าหรือครับ”
“มันก็เหมือนกันนั่นละคะ”
“ไม่เหมือน การให้ด้วยใจและการให้ด้วยหน้าที่มรรยาทไม่เหมือนกัน”
หญิงสาวมองหน้าคนพูดด้วยสายตากึ่งหงุดหงิดกึ่งขบขัน ผู้ชายคนนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นตัวเอง และความกวนประสามคนอื่นหรืออย่างไร แต่มาคิดถึงทีก็เริ่มคล้อยตามความคิดนั้น ในสภาพการณ์อยู่กับปัจจุบันแบบนี้น้ำใจไมตรีน่าจะสำคัญมากกว่ากฏระเบียบ
“ตกลงค่ะ พวกเราให้อาหารกันและกัน”
ทั้งคู่ก้าวเข้าหากัน จนอยู่ในระยะยื่นอาหารในมือให้กันและกันได้ ต่างฝ่ายหันข้างให้กันขณะจัดการกับอาหาร อาจเพราะความที่ยังไม่คุ้นเคยกันเท่าไร เลยต้องรักษาอาการความเป็นกันเองไว้ระดับหนึ่ง แต่ข่องว่างดูเหมือนจะลดลงมากแล้ว เมื่ออาหารและน้ำทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ จึงหันหน้ามองกันอีกครั้งด้วยสีหน้าท่าทางสดชื่นขึ้นบ้าง หลังจากนั้นการพูดคุยก็เริ่มต้นขึ้นกลางถนนนั่นเอง ต่างฝ่ายต่างรับรู้ว่าความทรงจำต่างถูกลบเลือนหายไปกับกลุ่มหมอกควันด้านหลัง และก็ไม่รู้เส้นทางข้างหน้าเช่นกัน ความทรงจำใหม่เกิดขึ้นบนถนนสายนี้เอง
ช่วงหนึ่งของการสนทนา ชายหนุ่มเสนอแนะว่าให้แต่ละคนหันหลังกลับไป เดินกลับไป แทนที่จะเดินต่อไปเบื้องหน้า เพราะเบื้องหน้าของแต่ละคนก็คือเบื้องหลังของอีกฝ่ายนั่นเอง
จะเป็นได้อย่างไรว่า เบื้องหลังของคนหนึ่งคืออนาคตของอีกฝ่ายหนึ่ง มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่ออดีตและอนาคตกลายเป็นสิ่งเดียวกัน จะมีความหมายอะไรต่อไป ถนนสายนี้ยังปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่นปรากฏให้เห็น สองข้างทางเต็มไปด้วยกลุ่มหมอกลอยพัดผ่านไปมา ถนนด้านหลังของแต่ละคนก็เป็นความหม่นมัวเช่นกัน ไม่แตกต่างกันเลยสักนิด
“ความทรงจำของเรา มันเป็นของเรา เราก็ควรไปรับรู้มันบ้าง” บอกย้ำเมื่อเห็นอีกฝ่ายลังเลใจ “อย่างน้อยมันก็เป็นของเรานะครับ”
“มัน ‘เคย’ เป็นเท่านั่นละค่ะ ไม่มีตัวตน ปล่อยมันไปเถอะค่ะ”
“ผมว่ามันก็ไม่ต่างจากเราพยายามหนีตัวเองนะครับ”
“ไม่ใช่หนีหรอกค่ะ แต่เราไม่ยึดติดว่าเป็นของเราต่างหาก”
ชายหนุ่มสั่นศีรษะกลับกับความคิดของอีกฝ่าย แต่ในที่สุดก็ตกลงกันได้ โดยที่เขาจะทดลองเดินกลับไปข้างหลังก่อนเผื่อว่าจะพบอะไรบ้าง หรือไม่ก็พบความทรงจำของตัวเอง ได้ผลอย่างไรจะกลับมารายงาน และเธอก็ตกลงตามนี้ ดังนั้นชายหนุ่มหันหลังกลับ ก่อนเดินห่างหายไปในความหม่นมัวของม่านหมอก
ความอ้างว่างเปล่าเปลี่ยวกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองว่าสามารถเดินมาตตามลำพังบนถนนสายน่ากลัวนี้ได้อย่างไร จนกระทั่งได้พบเพื่อนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่ก็ทำให้อบอุ่นใจได้ เพื่อน หรือคนเราจำเป็นจะต้องมีเพื่อน คงไม่มีใครอยู่คนเดียวได้ หรืออย่างไร
เราตายไปแล้ว
ไม่เป็นไปไม่ได้ ยังมีชีวิต ยังมีลมหายใจ
แต่สภาพการณ์เวลานี้หมายถึงอะไร
หายไปนาน...
นานจนทำให้เริ่มกระวนกระวายใจ เพื่อนหน้าใหม่เพิ่งรู้จักกันทำให้ใจหายอย่างประหลาดกับการหายตัวไป แต่มาคิดดูให้ดี ชายหนุ่มหายไปเบื้องหน้า เส้นทางที่เธอเดินก็เป็นเส้นทางที่เขาหันหลังกลับไปนั่นเองทำไมต้องมาหยุดรอ ทำไมไม่เดินต่อไป ไม่มีอะไรผิดแผนเลยสักนิด แค่เดินไปข้างหน้าเท่านั้น บ้าจริง ทำไมไม่นึกออกตั้งแต่แรกนะ
หญิงสาวตัดสินใจเดินรุดหน้าต่อไปทันที แม้จะเป็นการเดินทางผ่านความหม่นมัวเพียงลำพัง ถ้ายังมีพลังก็ต้องเดินต่อไป เส้นทางยังคงยาวเหยียดไม่มีเลี้ยวโค้งไปไหนเลย
ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าอยู่ริมถนน ท่าทางหมดเรี่ยวแรงและสิ้นหวัง
ในที่สุดก็เจอตัวเสียที แต่ทำไมเป็นแบบนี้ จะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเขาอย่างแน่นอน มือเขย่าบ่าไหล่ไปมาอย่างแรง เป็นการเรียดสติให้กลับคืนมา รู้สึกตกใจกับท่าทางของอีกฝ่าย
“ผมไม่ควรกลับมาเลย น่าจะเดินต่อไป” ชายหนุ่มก้มหน้า กำมือแน่นเหมือนพยายามต่อสู้กับภายในของตนเอง “ คุณเองก็ไม่ควรจะเดินกลับหลังไป ผมบอกคุณได้เท่านี้”
“ทำไมคะ” เธอไม่เข้าใจคำพูดแฝงนัยยะ
“ผมรู้แล้วละว่า ทำไมความทรงจำของเราถึงหายไป มันเป็นความทรงจำที่แสนเลวร้าย ผมไม่อยากยอมรับมัน ยิ่งผมเดินกลับหลังมาเท่าไร ความจำยิ่งชัดเจนมากขึ้น ผมไปต่อไปไม่ไหวแล้ว....คุณเองก็อยู่ในความทรงจำนั้นด้วย”
“เราเคยรู้จักกันหรือคะ”
“เรารู้จักกันมากกว่าที่คุณคิดเสียอีก ผมไม่ควรเดินกลับมาเลย”
หญิงสาวพยายามประคองร่างไร้พลังใจให้ลุกขึ้นจนได้ คำว่าเพื่อนร่วมทางเริ่มมีความหมาย ชายหนุ่มยืนหยัดขึ้นมาได้อีกครั้ง มองคนยืนอยู่ข้างกายพร้อมด้วยความคิดในใจว่าจะต้องปกป้องดูแลให้ถึงที่สุด และไม่ยอมให้กลับไปพบความทรงจำอันเลวร้ายผิดพลาดอย่างเด็ดขาด เพียงหันหลังออกจากอดีตก้าวต่อไปข้างหน้า ความทรงจำเลวร้ายจะค่อยลบเลือนไปเอง
“คุณยังไม่บอกฉันเลย เราเคยรู้จักกันใช่ไหมคะ แล้วทำไม...”
“ช่างเถอะครับ...” เขาตัดบท ลูดลมหายใจลึก หมดเวลากับการคร่ำครวญให้เสียอาการ ไม่ใช่เด็กผู้หญิงขี้แย จะต้องเข้มแข็งเพราะมีภาระต้องดูแล “คุณเองก็บอกว่าอดีตไร้ตัวตน ไม่ควรไปยึดติดไม่ใช่หรือครับ ความทรงจำบางอย่างมีแต่ทำร้ายเรา เชื่อผมเถอะครับ อย่ากลับไป มันไม่ได้มีคุณค่ามากพอจะให้เราจดจำหรอกครับ บางคนหนีไม่ได้ แต่เราหนีได้นะครับ”
“หนี...ไปไหนคะ”
"โน่นไงครับ...” มือชี้ไปยังทางแยกเส้นหนึ่ง เธอเพิ่งรู้ว่ากำลังยืนอยู่บริเวณสี่แยกพอดี ถนนสายนี้มีทางแยกซ้ายขวาออกไปให้เลือก เส้นทางที่เพิ่งเดินจากมาก็เป็นอดีตของตัวเองที่ไม่ควรหันหลังกลับไป ทางข้างหน้าก็เป็นความทรงจำเลวร้าย เหลืออีกสองทางให้เลือก "ผมว่าเราไปได้"
“เราจะเลือกไปทางไหนดีคะ ซ้าย หรือขวา”
“ทางไหนก็ได้ ไม่สำคัญ ที่ไม่ใช่เส้นทางที่เราผ่านมาก็แล้วกัน เราไปกันเถอะครับ”
คว้าข้อมือของอีกฝ่าย ผู้ยังมีท่าทางลังเล แต่มือที่กุมเอาไว้ให้ความรู้สึกอบอุ่นมั่นลงไม่โดดเดี่ยวอ้างว้าง จะอยู่หรือตายไปแล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทั้งคู่หันหน้ายิ้มให้กันอย่างสนิทเป็นครั้งแรก และก้าวเดินเคียงคู่กันไปทันที ไม่ว่าจะมีอะไรรอคอยอยู่ข้างหน้า พร้อมร่วมมือร่วมใจเผชิญ ไม่อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป
บนถนนสายนั้น
จบแล้วครับ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยือนครับ