11. สับสน
ภายในอาณาบริเวณของบ้านเดี่ยวสมัยใหม่ ซึ่งเน้นความกะทัดรัดลงตัวพอเหมาะพอดีเป็นหลัก เพื่อให้ครอบครัวขนาดย่อมอันประกอบไปด้วยพ่อแม่ลูกได้มีพื้นที่ส่วนตัว ได้ใช้ชีวิตรวมถึงมีเวลาดี ๆ ร่วมกันอย่างเป็นปกติสุข ตามแบบฉบับของครอบครัวในอุดมคติทั่วไป
ในอ้อมกอดทะนุถนอมแผ่วเบาซึ่งเต็มล้นด้วยไออุ่นแสนละมุน ท่ามกลางรอยยิ้มสดใสอ่อนโยนที่ทอประกายเจิดจ้างดงามราวแสงตะวันยามเช้า นับตั้งแต่ครั้งที่เด็กชายเริ่มรับรู้จดจำความได้ นี่คือทุกสิ่งภายในบ้านหลังนี้ เป็นทุกบรรยากาศและความรู้สึกที่ไม่เคยเหือดแห้งหรือจืดจางบางเบาลงไปเลยแม้สักวินาทีเดียว
แรงกายแรงใจทั้งหมดที่ทุ่มเทมาให้ การดูแลเอาใจใส่อย่างดีที่สุดเท่าที่คนเป็นพ่อแม่จะสามารถให้ได้ นั่นคือสิ่งที่เด็กชายผู้เป็นลูกได้รับเสมอมาไม่เคยขาดตกบกพร่อง ไม่ห่างหายแปรเปลี่ยน ทว่ากลับยิ่งเพิ่มพูนผูกพันทบทวี ในทุกวันและวินาทีที่ครอบครัวได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวประสบการณ์ร่วมกัน
เพื่อแสดงความซาบซึ้งและตอบแทนความรักอันยิ่งใหญ่นั้น เด็กชายจึงประพฤติปฏิบัติตัวอย่างดีเสมอ ในแบบที่ไม่เคยทำให้ท่านทั้งสองต้องคิดมากหรือรู้สึกหนักใจเลยสักครั้ง
ความนอบน้อมอย่างสมวัยทำให้ไม่ว่าใครได้เห็นได้รู้จัก ต่างก็ต้องเอ่ยปากชื่นชมในความน่ารักน่าเอ็นดู อีกทั้งผลการสอบที่ทำคะแนนเต็มร้อยได้ทุกครั้ง คว้าผลการเรียนอันดับหนึ่งของระดับชั้นแบบผูกขาดมาได้ทุกเทอม ถูกส่งตัวไปแข่งขันตอบปัญหาที่ไหนเมื่อใดก็ไม่เคยพลาดรางวัลชนะเลิศเลยสักหน
โรงเรียนได้เกียรติยศชื่อเสียงรวมถึงความน่าเชื่อถือทางวิชาการ ครูบาอาจารย์ได้ความภูมิอกภูมิใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้สอนสั่งอบรม ส่วนเหล่าบรรดาผู้ปกครองก็สามารถอมยิ้มยืดอกคุยกับใครต่อใครได้ ว่าลูกหลานของตนเองอยู่โรงเรียนเดียวกันกับเด็กที่ฉลาดและเรียนเก่งขนาดนี้ และทั้งหมดนั้นจะสะท้อนกลับมาเป็นความเชิดหน้าชูตาของพ่อแม่และครอบครัว
เด็กอัจฉริยะผู้เพียบพร้อมไปด้วยไอคิวและอีคิวที่ไม่ว่าใครต่างก็นิยมชมชอบ ต่างก็ชื่นชมเอ็นดูและพร้อมใจกันช่วยสนับสนุน
เส้นทางที่ปูให้ก้าวเดินนอกจากจะราบเรียบไร้ซึ่งหลุมบ่อหรือแม้แค่เพียงปุ่มปมที่เล็กที่สุดแล้ว ยังโรยพร้อมไปด้วยกลีบกุหลาบหลากสีให้ได้เพลิดตาเพลินใจไปกับความสวยสดและกลิ่นหอมอันน่าพึงใจ
ดูอย่างไรสิ่งที่กำลังรอคอยอยู่อย่างแน่นอนก็คืออนาคตสดใส ที่ทั้งสว่างไสวและเปล่งประกายเจิดจ้าจนไม่อาจมีสิ่งใดมาบดบังบิดเบือนไปได้เลย
หากทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่คิดที่วาดหวัง ถ้าทุกอย่างเป็นตามนั้นและคงอยู่อย่างนั้นตลอดไปก็คงจะดี
ทว่ามันก็คงจะเป็นดังคำที่ใครหลายคนเคยตั้งข้อสังเกตและฝากคำถามเอาไว้
‘เพราะเหตุใด...สิ่งที่เรียกว่าความสุขจึงไม่อาจดำรงอยู่กับเราไปได้ตราบนานเท่านานดังที่ใจปรารถนา’
และแล้วมรสุมลูกใหญ่ซึ่งรุนแรงแสนสาหัสอย่างที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตก็สาดซัดมา พายุอันบ้าคลั่งซึ่งเปี่ยมล้นด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง ถาโถมโหมกระหน่ำเข้าใส่อย่างไร้ความปรานี
วินาทีนั้นผลกระทบจากคลื่นลมปั่นป่วนมหาศาลได้ก่อให้เกิดจุดพลิกผัน และการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเด็กชายก็ได้เดินทางมาถึง
ขณะที่เด็กชายซึ่งเติบใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นหนุ่มน้อย กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมปลาย ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งสดใส ดวงอาทิตย์ยังคงแผดแสงแรงกล้า และรถรายังคงติดขัดอยู่บนท้องถนนไม่ต่างจากวันปกติทั่วไป
โดยปราศจากเค้าเงื่อนหรือลางบอกเหตุใด ๆ รวดเร็วและรุนแรงเสียจนไม่อาจตั้งหลักเตรียมใจได้ทัน
ในช่วงเวลาสายของวันที่เด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ภายในห้องเรียน กำลังอธิบายคำตอบของคำถามบนหน้ากระดานอยู่นั้น อุบัติเหตุอันไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวหลังจากวัยเกษียณ ก็ฉุดกระชากชีวิตของบุพการีทั้งสองให้ปลิดปลิวไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
ช่วงชีวิตเรียบง่ายอันแสนสุขแต่สมบูรณ์พร้อมที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่คล้ายจะมืดมนคลุมเครือจนมองไม่เห็นเส้นทางให้ไปต่อนับจากนี้ ทั้งหมดนั้นราวกับเขากำลังอยู่ในห้วงนิทรายาวนานและฝันไป
ทว่า...มันกลับเป็นฝันร้ายวนเวียนซ้ำ ๆ ที่ไม่รู้จักจบสิ้น ที่เขาจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอันคุ้นเคยอีกแล้ว
เมื่อปราศจากทั้งพ่อและแม่คอยเคียงข้าง เด็กหนุ่มจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเขาไร้ญาติขาดมิตร ในวันที่ปราศจากเกราะคุ้มกันภัย ไม่มีไออุ่นจากดวงตะวันคอยส่องชี้นำทาง ความเคว้งคว้างหนาวเหน็บก็รุกคืบรุมเร้าเกาะกุมจิตวิญญาณ กลืนกินแสงสว่างแห่งตัวตนของเขาไปทีละน้อย
อนาคตที่เคยชัดเจนริบหรี่จวนเจียนจะมืดดับลงทุกขณะ เส้นทางสวยสดงดงามที่เคยทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา กลับแคบและหดสั้นลงจนเหลือระยะเพียงแค่ก้าวเดินตรงหน้าเท่านั้น
หากแต่โชคชะตาก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใจร้ายกับเขาจนถึงที่สุด จะว่านี่คือความโชคดีบนความโชคร้ายก็คงไม่ผิดไปนัก ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวจวนเจียนตรงทางแยกแห่งชีวิต ก็กลับมีบุคคลใจดีผู้ไม่ประสงค์ออกหน้าเสนอนามปรากฏตัว พร้อมทั้งยื่นมือมาให้เขาได้ยึดจับไว้
โดยปราศจากข้อเรียกร้องหรือเงื่อนไขตอบแทนอื่นใด...
เขาผู้นั้นแจ้งความจำนงจะรับอุปการะเด็กหนุ่ม ส่งเสียเรื่องค่าใช้จ่ายประจำวันให้มีอยู่มีกินตามความเหมาะสม และให้ได้รับการศึกษาจนถึงระดับที่ตัวของเด็กหนุ่มเองจะพอใจหรือเรียนต่อไปได้ไหว
แม้จะไม่เคยพบหรือรู้จักกันมาก่อน ไม่แม้กระทั่งจะรู้ชื่อเสียงเรียงนามจริงของอีกฝ่าย แต่เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะยื่นมือออกไปคว้าจับโอกาสที่ผ่านเข้ามาในครั้งนี้เอาไว้ และสามารถฉุดดึงพาตัวเองให้กลับเข้าสู่เส้นทางที่ถูกที่ควรได้อีกครั้งในที่สุด
เขาใช้เงินทุนที่ได้รับมาจากผู้อุปการะในจำนวนที่น้อยที่สุดจนศึกษาจบชั้นมัธยมปลาย จากนั้นก็ใช้ผลการเรียนอันยอดเยี่ยมคว้าทุนประเภทเรียนดีจากมหาวิทยาลัย และพาตัวเองให้ผ่านระดับปริญญาตรีมาได้อย่างไม่ยากเย็น
ด้วยความฉลาดปราดเปรื่องอันโดดเด่นชนิดหาใครทัดเทียมได้ยาก เขาจึงได้รับข้อเสนอเพื่อมอบทุนให้ศึกษาต่อในระดับสูงยิ่งขึ้นไป จนศึกษาจบระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของสหรัฐอเมริกามาได้ในท้ายที่สุด
ภายในห้องพักทรงสี่เหลี่ยมซึ่งเลือกใช้สีขาวปลอดเป็นสีหลักทั่วทั้งห้อง แม้จะมีขนาดความกว้างเพียงแค่คนหนึ่งคนใช้อาศัยพักผ่อนหลับนอน อีกทั้งยังไม่มีหน้าต่างแม้สักบาน แต่ก็ยังให้ความรู้สึกถึงความโปร่งโล่งที่ไม่ทำให้อึดอัดคับแคบเลยสักนิด
อุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันและเพื่อความสะดวกสบายมีพร้อมครบครัน ทว่าตลอดระยะเวลาสามวันมานี้พวกมันกลับไม่เคยถูกนำมาใช้งาน หรือแม้แค่จะถูกแตะต้องสัมผัสเลยสักครั้ง
บริเวณชุดโต๊ะทำงานตัวเล็กที่มีไว้ให้ตรงมุมห้อง วิวัฒน์นั่งหลับตานิ่งอยู่ที่ตรงนั้นโดยปราศจากการขยับเคลื่อนไหว และการรับรู้เรื่องราวอื่นใดที่ภายนอกกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวใบนี้
ดวงตาหม่นหมองไร้แววดูเหม่อลอย ราวกับสติการรับรู้หลุดลอยไปไกลสู่โลกอื่น เปลือกตาบนหรี่ปรือรวมถึงขอบตาล่างดำคล้ำดูลึกโหล ทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าเขานั่งอยู่อย่างนี้และอดนอนมานานพอสมควรแล้ว
ชายหนุ่มผู้จมตัวเองอยู่ในภวังค์ เฝ้าคิดวกวนเวียนถึงเรื่องราวในอดีตของตนเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น เพียงหวังจะได้เบาะแส พบเงื่อนงำอะไรสักอย่าง ที่จะหักล้างกับสิ่งที่โทมัสพูดบอกแก่เขา
“ผู้อุปการะ...ผู้อุปการะอย่างนั้นหรือ”
คำ ๆ นี้ถูกทบทวนทั้งโดยทางคำพูดและในความนึกคิดครั้งแล้วครั้งเล่า ประหนึ่งเขากำลังใช้พลังแห่งมันสมองและสติปัญหาทั้งหมด ในการขบคิดหาคำตอบจากคำถามอันยากแสนยาก
ถ้าที่นี่...ที่องค์กรแห่งนี้ หรืออาจจะแค่ดอกเตอร์โทมัสเพียงลำพังก็ตามแต่ หากคนใดคนหนึ่งจากหนึ่งในสองคือผู้เสนอตัวเป็นผู้อุปการะส่งเสียเลี้ยงดู หลังจากที่พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตลงไป
ถ้าคิดแบบนี้ระยะเวลาจะเหมาะเจาะพอดี เหตุการณ์ทั้งหมดจะสอดคล้องลงตัวกันที่สุดกับสิ่งเขาได้รับฟังจากชายชรามา
ยามเมื่อเหตุผลอะไรสักอย่างถูกเชื่อมโยงและคิดขึ้นมา เพื่อพยายามที่จะหักล้างชุดข้อมูลและความคิดที่ตัวเองมี ทว่าความขัดแย้งไม่สอดคล้องก็จะก่อให้เกิดคำถามอื่นตามมาอีกมากมาย
และทั้งหมดนั้นก็กลับจะยิ่งตอกย้ำ และทำให้เขายอมรับอย่างยอมจำนนว่าทุกอย่างที่โทมัสพูดคือเรื่องจริง
“ไม่ ไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ต้องมีสิน่า อะไรสักอย่างที่ผิดพลาด สิ่งสำคัญที่เผลอมองข้ามไป คิดสิ คิดเข้าไป เค้นมันสมองทั้งหมดของแกออกมา แล้วคิดไปเรื่อย ๆ ซะสิ เจ้าโง่วิวัฒน์”
เขาก้มหน้าลงโดยที่มือทั้งสองเกาะกุมอยู่บนศีรษะและใบหน้าของตนเอง ความโดดเดี่ยวเคว้งคว้างในแบบที่เคยได้สัมผัสและลืมเลือนไปนานตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็ก ไหลย้อนกลับมาให้ได้รู้สึกสิ้นหวังอับจนหนทางอีกครั้ง
สับสน ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตนี้ดี ชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นจากมนุษย์ซึ่งกำลังพยายามเล่นในบทบาทของพระเจ้า มนุษย์ผู้ถือครองพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งการรังสรรค์โดยวิทยาศาสตร์ไว้ในมือ
ฉับพลันความคิดเคียดแค้นชิงชังก็พลุ่นพล่าน สุมแน่นร้อนรนในอกจนอยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปเสียให้หมด โลกจะแตกหรือจักรวาลจะดับสูญ อะไรก็ได้เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยเรื่องราวแบบนี้อีกต่อไป
ขณะที่จิตใจเปราะบางกำลังย่ำแย่จนใกล้จะเกินรับไหว วินาทีที่อารมณ์ความรู้สึกกำลังทิ้งตัวจมดิ่งลงจนเกือบถึงก้นหลุมซึ่งมืดมิดที่สุด เสียงเคาะประตูจากแขกผู้มาเยือนภายนอกห้องที่ดังขึ้นก็ทำให้เขาหลุดจากภวังค์เลวร้าย รีบดึงสติของตัวเองให้กลับมาอยู่กับตัวได้อีกครั้ง
ตลอดระยะเวลาหลายวันที่วิวัฒน์เอาแต่หมกตัวอยู่แค่ภายในห้อง ชายหนุ่มที่ชื่อศรัทธาผู้ซึ่งพอจะได้รู้จักหน้าค่าตา ได้ทำความรู้จักกันอยู่บ้าง ก็รับหน้าที่คอยส่งข้าวส่งน้ำวันละสามมื้อให้แก่เขามาโดยตลอด
ดังนั้น ต่อให้ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองก็สามารถคาดเดาได้ไม่ยากเลยสักนิด ว่าผู้ที่อยู่หลังบานประตูในขณะนี้ย่อมต้องเป็นศรัทธาอย่างแน่นอน
ผู้มาเยือนก้าวเท้าเข้ามาหลังบานประตูเปิดเลื่อนออก ชะงักฝีก้าวหน่อยหนึ่งก่อนจะเหลียวมองตรวจสอบไปทางถาดอาหารมื้อเช้าก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรถูกแตะต้องหรือพร่องลงไปเลยสักนิด ก็ถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกเหนื่อยหน่าย
“ต่อให้ไม่สนใจอะไร ไม่เห็นแก่ใคร ก็เห็นแก่ตัวเอง สงสารตัวเองหน่อยเถอะ กินอะไรลงไปสักนิดก็ยังดีนะ วัฒน์”
วันดับสูญ บทที่ 11 สับสน
ภายในอาณาบริเวณของบ้านเดี่ยวสมัยใหม่ ซึ่งเน้นความกะทัดรัดลงตัวพอเหมาะพอดีเป็นหลัก เพื่อให้ครอบครัวขนาดย่อมอันประกอบไปด้วยพ่อแม่ลูกได้มีพื้นที่ส่วนตัว ได้ใช้ชีวิตรวมถึงมีเวลาดี ๆ ร่วมกันอย่างเป็นปกติสุข ตามแบบฉบับของครอบครัวในอุดมคติทั่วไป
ในอ้อมกอดทะนุถนอมแผ่วเบาซึ่งเต็มล้นด้วยไออุ่นแสนละมุน ท่ามกลางรอยยิ้มสดใสอ่อนโยนที่ทอประกายเจิดจ้างดงามราวแสงตะวันยามเช้า นับตั้งแต่ครั้งที่เด็กชายเริ่มรับรู้จดจำความได้ นี่คือทุกสิ่งภายในบ้านหลังนี้ เป็นทุกบรรยากาศและความรู้สึกที่ไม่เคยเหือดแห้งหรือจืดจางบางเบาลงไปเลยแม้สักวินาทีเดียว
แรงกายแรงใจทั้งหมดที่ทุ่มเทมาให้ การดูแลเอาใจใส่อย่างดีที่สุดเท่าที่คนเป็นพ่อแม่จะสามารถให้ได้ นั่นคือสิ่งที่เด็กชายผู้เป็นลูกได้รับเสมอมาไม่เคยขาดตกบกพร่อง ไม่ห่างหายแปรเปลี่ยน ทว่ากลับยิ่งเพิ่มพูนผูกพันทบทวี ในทุกวันและวินาทีที่ครอบครัวได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวประสบการณ์ร่วมกัน
เพื่อแสดงความซาบซึ้งและตอบแทนความรักอันยิ่งใหญ่นั้น เด็กชายจึงประพฤติปฏิบัติตัวอย่างดีเสมอ ในแบบที่ไม่เคยทำให้ท่านทั้งสองต้องคิดมากหรือรู้สึกหนักใจเลยสักครั้ง
ความนอบน้อมอย่างสมวัยทำให้ไม่ว่าใครได้เห็นได้รู้จัก ต่างก็ต้องเอ่ยปากชื่นชมในความน่ารักน่าเอ็นดู อีกทั้งผลการสอบที่ทำคะแนนเต็มร้อยได้ทุกครั้ง คว้าผลการเรียนอันดับหนึ่งของระดับชั้นแบบผูกขาดมาได้ทุกเทอม ถูกส่งตัวไปแข่งขันตอบปัญหาที่ไหนเมื่อใดก็ไม่เคยพลาดรางวัลชนะเลิศเลยสักหน
โรงเรียนได้เกียรติยศชื่อเสียงรวมถึงความน่าเชื่อถือทางวิชาการ ครูบาอาจารย์ได้ความภูมิอกภูมิใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้สอนสั่งอบรม ส่วนเหล่าบรรดาผู้ปกครองก็สามารถอมยิ้มยืดอกคุยกับใครต่อใครได้ ว่าลูกหลานของตนเองอยู่โรงเรียนเดียวกันกับเด็กที่ฉลาดและเรียนเก่งขนาดนี้ และทั้งหมดนั้นจะสะท้อนกลับมาเป็นความเชิดหน้าชูตาของพ่อแม่และครอบครัว
เด็กอัจฉริยะผู้เพียบพร้อมไปด้วยไอคิวและอีคิวที่ไม่ว่าใครต่างก็นิยมชมชอบ ต่างก็ชื่นชมเอ็นดูและพร้อมใจกันช่วยสนับสนุน
เส้นทางที่ปูให้ก้าวเดินนอกจากจะราบเรียบไร้ซึ่งหลุมบ่อหรือแม้แค่เพียงปุ่มปมที่เล็กที่สุดแล้ว ยังโรยพร้อมไปด้วยกลีบกุหลาบหลากสีให้ได้เพลิดตาเพลินใจไปกับความสวยสดและกลิ่นหอมอันน่าพึงใจ
ดูอย่างไรสิ่งที่กำลังรอคอยอยู่อย่างแน่นอนก็คืออนาคตสดใส ที่ทั้งสว่างไสวและเปล่งประกายเจิดจ้าจนไม่อาจมีสิ่งใดมาบดบังบิดเบือนไปได้เลย
หากทุกสิ่งเป็นไปอย่างที่คิดที่วาดหวัง ถ้าทุกอย่างเป็นตามนั้นและคงอยู่อย่างนั้นตลอดไปก็คงจะดี
ทว่ามันก็คงจะเป็นดังคำที่ใครหลายคนเคยตั้งข้อสังเกตและฝากคำถามเอาไว้
‘เพราะเหตุใด...สิ่งที่เรียกว่าความสุขจึงไม่อาจดำรงอยู่กับเราไปได้ตราบนานเท่านานดังที่ใจปรารถนา’
และแล้วมรสุมลูกใหญ่ซึ่งรุนแรงแสนสาหัสอย่างที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตก็สาดซัดมา พายุอันบ้าคลั่งซึ่งเปี่ยมล้นด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง ถาโถมโหมกระหน่ำเข้าใส่อย่างไร้ความปรานี
วินาทีนั้นผลกระทบจากคลื่นลมปั่นป่วนมหาศาลได้ก่อให้เกิดจุดพลิกผัน และการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเด็กชายก็ได้เดินทางมาถึง
ขณะที่เด็กชายซึ่งเติบใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นหนุ่มน้อย กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมปลาย ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งสดใส ดวงอาทิตย์ยังคงแผดแสงแรงกล้า และรถรายังคงติดขัดอยู่บนท้องถนนไม่ต่างจากวันปกติทั่วไป
โดยปราศจากเค้าเงื่อนหรือลางบอกเหตุใด ๆ รวดเร็วและรุนแรงเสียจนไม่อาจตั้งหลักเตรียมใจได้ทัน
ในช่วงเวลาสายของวันที่เด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ภายในห้องเรียน กำลังอธิบายคำตอบของคำถามบนหน้ากระดานอยู่นั้น อุบัติเหตุอันไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวหลังจากวัยเกษียณ ก็ฉุดกระชากชีวิตของบุพการีทั้งสองให้ปลิดปลิวไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
ช่วงชีวิตเรียบง่ายอันแสนสุขแต่สมบูรณ์พร้อมที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่คล้ายจะมืดมนคลุมเครือจนมองไม่เห็นเส้นทางให้ไปต่อนับจากนี้ ทั้งหมดนั้นราวกับเขากำลังอยู่ในห้วงนิทรายาวนานและฝันไป
ทว่า...มันกลับเป็นฝันร้ายวนเวียนซ้ำ ๆ ที่ไม่รู้จักจบสิ้น ที่เขาจะไม่มีโอกาสได้ลืมตาตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอันคุ้นเคยอีกแล้ว
เมื่อปราศจากทั้งพ่อและแม่คอยเคียงข้าง เด็กหนุ่มจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเขาไร้ญาติขาดมิตร ในวันที่ปราศจากเกราะคุ้มกันภัย ไม่มีไออุ่นจากดวงตะวันคอยส่องชี้นำทาง ความเคว้งคว้างหนาวเหน็บก็รุกคืบรุมเร้าเกาะกุมจิตวิญญาณ กลืนกินแสงสว่างแห่งตัวตนของเขาไปทีละน้อย
อนาคตที่เคยชัดเจนริบหรี่จวนเจียนจะมืดดับลงทุกขณะ เส้นทางสวยสดงดงามที่เคยทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา กลับแคบและหดสั้นลงจนเหลือระยะเพียงแค่ก้าวเดินตรงหน้าเท่านั้น
หากแต่โชคชะตาก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใจร้ายกับเขาจนถึงที่สุด จะว่านี่คือความโชคดีบนความโชคร้ายก็คงไม่ผิดไปนัก ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวจวนเจียนตรงทางแยกแห่งชีวิต ก็กลับมีบุคคลใจดีผู้ไม่ประสงค์ออกหน้าเสนอนามปรากฏตัว พร้อมทั้งยื่นมือมาให้เขาได้ยึดจับไว้
โดยปราศจากข้อเรียกร้องหรือเงื่อนไขตอบแทนอื่นใด...
เขาผู้นั้นแจ้งความจำนงจะรับอุปการะเด็กหนุ่ม ส่งเสียเรื่องค่าใช้จ่ายประจำวันให้มีอยู่มีกินตามความเหมาะสม และให้ได้รับการศึกษาจนถึงระดับที่ตัวของเด็กหนุ่มเองจะพอใจหรือเรียนต่อไปได้ไหว
แม้จะไม่เคยพบหรือรู้จักกันมาก่อน ไม่แม้กระทั่งจะรู้ชื่อเสียงเรียงนามจริงของอีกฝ่าย แต่เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะยื่นมือออกไปคว้าจับโอกาสที่ผ่านเข้ามาในครั้งนี้เอาไว้ และสามารถฉุดดึงพาตัวเองให้กลับเข้าสู่เส้นทางที่ถูกที่ควรได้อีกครั้งในที่สุด
เขาใช้เงินทุนที่ได้รับมาจากผู้อุปการะในจำนวนที่น้อยที่สุดจนศึกษาจบชั้นมัธยมปลาย จากนั้นก็ใช้ผลการเรียนอันยอดเยี่ยมคว้าทุนประเภทเรียนดีจากมหาวิทยาลัย และพาตัวเองให้ผ่านระดับปริญญาตรีมาได้อย่างไม่ยากเย็น
ด้วยความฉลาดปราดเปรื่องอันโดดเด่นชนิดหาใครทัดเทียมได้ยาก เขาจึงได้รับข้อเสนอเพื่อมอบทุนให้ศึกษาต่อในระดับสูงยิ่งขึ้นไป จนศึกษาจบระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของสหรัฐอเมริกามาได้ในท้ายที่สุด
ภายในห้องพักทรงสี่เหลี่ยมซึ่งเลือกใช้สีขาวปลอดเป็นสีหลักทั่วทั้งห้อง แม้จะมีขนาดความกว้างเพียงแค่คนหนึ่งคนใช้อาศัยพักผ่อนหลับนอน อีกทั้งยังไม่มีหน้าต่างแม้สักบาน แต่ก็ยังให้ความรู้สึกถึงความโปร่งโล่งที่ไม่ทำให้อึดอัดคับแคบเลยสักนิด
อุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันและเพื่อความสะดวกสบายมีพร้อมครบครัน ทว่าตลอดระยะเวลาสามวันมานี้พวกมันกลับไม่เคยถูกนำมาใช้งาน หรือแม้แค่จะถูกแตะต้องสัมผัสเลยสักครั้ง
บริเวณชุดโต๊ะทำงานตัวเล็กที่มีไว้ให้ตรงมุมห้อง วิวัฒน์นั่งหลับตานิ่งอยู่ที่ตรงนั้นโดยปราศจากการขยับเคลื่อนไหว และการรับรู้เรื่องราวอื่นใดที่ภายนอกกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวใบนี้
ดวงตาหม่นหมองไร้แววดูเหม่อลอย ราวกับสติการรับรู้หลุดลอยไปไกลสู่โลกอื่น เปลือกตาบนหรี่ปรือรวมถึงขอบตาล่างดำคล้ำดูลึกโหล ทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าเขานั่งอยู่อย่างนี้และอดนอนมานานพอสมควรแล้ว
ชายหนุ่มผู้จมตัวเองอยู่ในภวังค์ เฝ้าคิดวกวนเวียนถึงเรื่องราวในอดีตของตนเองซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น เพียงหวังจะได้เบาะแส พบเงื่อนงำอะไรสักอย่าง ที่จะหักล้างกับสิ่งที่โทมัสพูดบอกแก่เขา
“ผู้อุปการะ...ผู้อุปการะอย่างนั้นหรือ”
คำ ๆ นี้ถูกทบทวนทั้งโดยทางคำพูดและในความนึกคิดครั้งแล้วครั้งเล่า ประหนึ่งเขากำลังใช้พลังแห่งมันสมองและสติปัญหาทั้งหมด ในการขบคิดหาคำตอบจากคำถามอันยากแสนยาก
ถ้าที่นี่...ที่องค์กรแห่งนี้ หรืออาจจะแค่ดอกเตอร์โทมัสเพียงลำพังก็ตามแต่ หากคนใดคนหนึ่งจากหนึ่งในสองคือผู้เสนอตัวเป็นผู้อุปการะส่งเสียเลี้ยงดู หลังจากที่พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตลงไป
ถ้าคิดแบบนี้ระยะเวลาจะเหมาะเจาะพอดี เหตุการณ์ทั้งหมดจะสอดคล้องลงตัวกันที่สุดกับสิ่งเขาได้รับฟังจากชายชรามา
ยามเมื่อเหตุผลอะไรสักอย่างถูกเชื่อมโยงและคิดขึ้นมา เพื่อพยายามที่จะหักล้างชุดข้อมูลและความคิดที่ตัวเองมี ทว่าความขัดแย้งไม่สอดคล้องก็จะก่อให้เกิดคำถามอื่นตามมาอีกมากมาย
และทั้งหมดนั้นก็กลับจะยิ่งตอกย้ำ และทำให้เขายอมรับอย่างยอมจำนนว่าทุกอย่างที่โทมัสพูดคือเรื่องจริง
“ไม่ ไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ต้องมีสิน่า อะไรสักอย่างที่ผิดพลาด สิ่งสำคัญที่เผลอมองข้ามไป คิดสิ คิดเข้าไป เค้นมันสมองทั้งหมดของแกออกมา แล้วคิดไปเรื่อย ๆ ซะสิ เจ้าโง่วิวัฒน์”
เขาก้มหน้าลงโดยที่มือทั้งสองเกาะกุมอยู่บนศีรษะและใบหน้าของตนเอง ความโดดเดี่ยวเคว้งคว้างในแบบที่เคยได้สัมผัสและลืมเลือนไปนานตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็ก ไหลย้อนกลับมาให้ได้รู้สึกสิ้นหวังอับจนหนทางอีกครั้ง
สับสน ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตนี้ดี ชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นจากมนุษย์ซึ่งกำลังพยายามเล่นในบทบาทของพระเจ้า มนุษย์ผู้ถือครองพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งการรังสรรค์โดยวิทยาศาสตร์ไว้ในมือ
ฉับพลันความคิดเคียดแค้นชิงชังก็พลุ่นพล่าน สุมแน่นร้อนรนในอกจนอยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปเสียให้หมด โลกจะแตกหรือจักรวาลจะดับสูญ อะไรก็ได้เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยเรื่องราวแบบนี้อีกต่อไป
ขณะที่จิตใจเปราะบางกำลังย่ำแย่จนใกล้จะเกินรับไหว วินาทีที่อารมณ์ความรู้สึกกำลังทิ้งตัวจมดิ่งลงจนเกือบถึงก้นหลุมซึ่งมืดมิดที่สุด เสียงเคาะประตูจากแขกผู้มาเยือนภายนอกห้องที่ดังขึ้นก็ทำให้เขาหลุดจากภวังค์เลวร้าย รีบดึงสติของตัวเองให้กลับมาอยู่กับตัวได้อีกครั้ง
ตลอดระยะเวลาหลายวันที่วิวัฒน์เอาแต่หมกตัวอยู่แค่ภายในห้อง ชายหนุ่มที่ชื่อศรัทธาผู้ซึ่งพอจะได้รู้จักหน้าค่าตา ได้ทำความรู้จักกันอยู่บ้าง ก็รับหน้าที่คอยส่งข้าวส่งน้ำวันละสามมื้อให้แก่เขามาโดยตลอด
ดังนั้น ต่อให้ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองก็สามารถคาดเดาได้ไม่ยากเลยสักนิด ว่าผู้ที่อยู่หลังบานประตูในขณะนี้ย่อมต้องเป็นศรัทธาอย่างแน่นอน
ผู้มาเยือนก้าวเท้าเข้ามาหลังบานประตูเปิดเลื่อนออก ชะงักฝีก้าวหน่อยหนึ่งก่อนจะเหลียวมองตรวจสอบไปทางถาดอาหารมื้อเช้าก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรถูกแตะต้องหรือพร่องลงไปเลยสักนิด ก็ถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกเหนื่อยหน่าย
“ต่อให้ไม่สนใจอะไร ไม่เห็นแก่ใคร ก็เห็นแก่ตัวเอง สงสารตัวเองหน่อยเถอะ กินอะไรลงไปสักนิดก็ยังดีนะ วัฒน์”