วันดับสูญ...
...สับสน
ในครอบครัวขนาดเล็กที่ประกอบไปด้วยพ่อแม่และลูก พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านขนาดกลางแถวปริมณฑล เด็กชายเติบใหญ่ขึ้นท่ามกลางความรักความเอาใจใส่จากบุคคลทั้งสอง
เด็กน้อยฉายแววฉลาด เขาอ่านหนังสือและคิดเลขเป็นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พูดจาฉะฉาน ช่างจดช่างจำ และพยายามหาเหตุผลในสิ่งที่เขาเห็น
เรื่องเรียนเด็กชายไม่เคยทำให้พ่อแม่ทั้งสองผิดหวัง เขาสอบได้ที่หนึ่งทุกครั้ง เรื่องความประพฤติทุกคนต่างก็ชื่นชมเขาเป็นเสียงเดียวกัน
เป็นเด็กชายที่ทำให้บุพการีภาคภูมิใจ ทุกอย่างดูเหมือนจะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ หากทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ดังที่ใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่าความสุขมักจะอยู่กับเราเพียงไม่นาน
ในขณะที่หนุ่มน้อยกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมปลาย เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น อุบัติเหตุจากการเดินทางท่องเที่ยวหลังวัยเกษียณฉุดคร่าชีวิตของบุพการีทั้งสองไป
ในเวลานั้นเองที่หนุ่มน้อยเพิ่งตระหนักว่านอกจากพ่อและแม่แล้วเขาไร้ญาติขาดมิตรอื่นใด
ความเศร้า เคว้งคว้าง ล่องลอยอยู่ในทุกอณูรอบกาย อนาคตที่เคยสว่างไสวกลับกลายเป็นแสงริบหรี่ในบัดดล
หากทว่าโชคชะตาก็ยังไม่ได้โหดร้ายกับเด็กหนุ่มจนเกินไปนัก หลังจากนั้นเพียงไม่นานมีผู้แจ้งความจำนงอุปการะจนหนุ่มน้อยศึกษาจบระดับปริญญาตรี และด้วยผลการเรียนอันยอดเยี่ยมทำให้เขาได้รับทุนให้ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นไปในมหาวิทยาลัยชื่อดังของสหรัฐอเมริกา
ในห้องสีขาวปลอดขนาดกว้างพอที่จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพสำหรับคนหนึ่งคน เมื่อปราศจากแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าห้องนี้จะมืดสนิทเพราะไม่มีหน้าต่างแม้สักบาน
สมชายนั่งอยู่ในห้องนั้น เป็นวันที่สามแล้วที่เขาตัดขาดตนเองจากโลกภายนอก ปราศจากการเคลื่อนไหวและการรับรู้เรื่องราวใดๆ ภายนอกกล่องสี่เหลี่ยมนี้
ดวงตาเหม่อลอย ขอบตาดำคล้ำลึกโหล เขาอดนอนมาชั่วระยะเวลาพอสมควรแล้ว สมองเฝ้าคิดซ้ำไปมาถึงเรื่องราวในอดีตด้วยเพียงหวังว่าจะพบเงื่อนงำอะไรบางอย่างที่จะหักล้างสิ่งที่ชายชราบอกแก่เขา
“ผู้อุปการะ”
สมชายคิดถึงคำๆ นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับคำนี้เป็นคำตอบของคำถามทั้งมวล เขาอยากหาเหตุผลอะไรสักอย่างมาหักล้างความคิดของตนเองทั้งๆ ที่ภายในใจลึกๆ แล้วเขาเองก็ยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้น
แท้จริงแล้วผู้อุปการะที่เขาไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้ามาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตก็คือองค์กรแห่งนี้นี่เอง
เมื่อคิดแบบนี้ทั้งหมดจะลงตัวกันอย่างเหมาะเจาะพอดี ทั้งเรื่องที่เกิดในชีวิตของเขาและเรื่องที่ชายชราเล่าให้ฟัง
“ไม่ ไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่แบบนี้ ต้องมีอะไรสิน่า คิดเข้าสิ ใช้สมองของแกคิดซะ สมชาย”
สมชายก้มหน้า มือกุมขมับ บ่นพึมพำกับตัวเองราวคนเสียสติ ความรู้สึกหมดหวัง เคว้งคว้าง ดังเช่นวันที่เขาเพิ่งสูญเสียพ่อและแม่กลับมาเยือนอีกครั้ง
สับสน ไม่รู้อะไรเลย ทั้งที่ผ่านมาและต่อจากนี้ไป จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตนี้ ชีวิตที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเขา ชีวิตที่เกิดขึ้นจากการรังสรรค์ของวิทยาศาสตร์
เขาเคียดแค้น ในใจร้อนระอุไปด้วยไฟแห่งโทสะ
หายไปซะ ทุกสิ่งทุกอย่าง จะได้ไม่ต้องคิดต้องหาต้องรับรู้อะไรอีกต่อไป
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
สมชายหลุดออกจากความฟุ้งซ่านเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ประตูเปิดออก เขาเหลือบตาไปมองชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่จะกลับมาอยู่ในอากัปกิริยาแบบเดิมอีกครั้ง
ศรัทธาถือถาดอาหารเข้ามาในห้องก่อนที่จะวางมันลงด้านหน้าของสมชาย
“ด๊อกเตอร์ คุณต้องกินอะไรบ้างนะครับ ไม่อย่างนั้นร่างกายของคุณจะไม่ไหวเอา”
เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยความปรารถนาดี แต่สมชายยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะมองไปยังเด็กหนุ่ม
ศรัทธามองลึกเข้าไปในดวงตาของสมชาย มันทั้งหม่นหมองและสิ้นหวังอย่างที่เขาไม่เคยได้เห็นจากใคร ความอึดอัดจากภายในตัวของสมชายแผ่ออกมาจนเด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงบรรยากาศไม่ปกตินั้น
บรรยากาศในห้องนี้ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง เด็กหนุ่มครุ่นคิด ลังเลหน่อยหนึ่งก่อนตัดสินใจทำลายบรรยากาศในห้อง
“ด๊อกเตอร์ครับ ผมขอถามอะไรคุณสักอย่างนะครับ”
“…”
คู่สนทนานิ่งเงียบเช่นเคย
“คุณคิดยังไงกับชีวิตที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้ คุณคิดยังไงกับชีวิตที่กำลังจะมีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคตครับ”
สมชายยังคงเงียบ เด็กหนุ่มมองคู่สนทนาอย่างครุ่นคิดอีกครั้ง เผลอถอนหายใจออกมาก่อนที่จะถามคำถามอีกครั้งแต่ใส่ความหนักแน่นลงไปในน้ำเสียงเพิ่มขึ้นไปอีก
“คุณคิดยังไงกับชีวิตมนุษย์โคลนครับ ด๊อกเตอร์สมชาย”
“พอสักทีเถอะ นี่คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่คุณศรัทธา ทางที่ดีตอนนี้คุณอย่ามายุ่งกับผมจะดีกว่า”
คำถามนั้นดึงเอาความเกรี้ยวกราดในใจของสมชายออกมาแทบจะในทันที เขาตวาดกลับไปยังเด็กหนุ่มอย่างเหลืออด แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบสามวันที่มีคนทำให้เขาพูดออกมาได้
“คุณอาจจะไม่รู้นะครับด๊อกเตอร์สมชาย คุณไม่ใช่มนุษย์โคลนเพียงคนเดียวในที่แห่งนี้”
เด็กหนุ่มยังคงพูดต่อไม่สนใจอารมณ์เกรี้ยวกราดที่สาดเข้าใส่ ทว่าประโยคนี้ของศรัทธากลับดึงสติของสมชายกลับมาอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม
จริงสิ ในเมื่อด๊อกเตอร์โทมัสบอกว่าเขาเป็นต้นแบบที่สมบูรณ์แบบคนแรก ก็หมายความว่าก่อนหน้าเขาต้องมีมนุษย์โคลนที่ไม่สมบูรณ์ และหลังจากเขาก็ต้องมีมนุษย์โคลนที่สมบูรณ์เกิดขึ้นตามมา
หมายความว่ายังมีคนอื่นๆ ที่ก่อกำเนิดด้วยวิธีเดียวกับเขาอีก
“ผู้ที่อยู่ที่นี่ ผู้ปฏิบัติงานกว่าครึ่งของที่นี่เป็นมนุษย์โคลนเช่นเดียวกับคุณ”
เด็กหนุ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงสงบลง หากแต่ความสงบนั้นกลับแฝงไปด้วยบางอารมณ์
“และผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”
ศรัทธาเงยหน้าขึ้นมองเพดาน เขากำลังสะกดกลั้นความรู้สึกภายใน
“คุณคงจะเห็นเตียงจำศีลบนยานแล้ว จำนวนเตียงจำศีลก็คือจำนวนของผู้ที่ได้รับเลือก มันน้อยมากเพียงเม็ดทรายหนึ่งกำมือเทียบกับทรายทั้งโลก”
“ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ แม้แต่คนที่อยู่ที่นี่ หากอยากรอดเขาคนนั้นก็ต้องแสดงความสามารถออกมาเพื่อที่จะกลายเป็นผู้ที่ถูกเลือก มนุษย์โคลนที่นี่ส่วนใหญ่จะถูกมอบหมายหน้าที่ที่ไม่ซับซ้อนหรือสำคัญมากนักเป็นอันดับแรก กลุ่มที่ถูกประเมินแล้วว่าสามารถพัฒนาต่อไปได้จะได้รับงานที่สำคัญมากขึ้นเป็นลำดับ”
สมชายแสดงความกระตือรือร้นออกมาให้เห็นทางดวงตา
“ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มหลัง ได้รับสิทธิให้เข้าทำการคัดเลือกเพื่อเป็นหนึ่งในผู้อพยพ”
ศรัทธาหยุดจังหวะ ถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง
“แต่จนแล้วจนรอดผมก็ทำไม่สำเร็จ”
เป็นอีกเรื่องที่สมชายไม่เคยรู้มาก่อน เรื่องราวของศรัทธาที่ได้ฟังทำให้เขาได้รับรู้ถึงเสียงหัวใจเต้นของตัวเองอีกครั้ง
“ชีวิตที่เกิดมาทุกชีวิตล้วนต้องการอยู่รอด และแน่นอนว่านั่นก็รวมถึงผมและพวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่ หลายปีที่ผ่านมาพวกเราทำงานหนักและพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะให้คนอื่นยอมรับ เพื่อให้เป็นหนึ่งในผู้อพยพ”
ดวงตามั่นคง น้ำเสียงหนักแน่น สมชายสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของคู่สนทนาตรงหน้า
“แต่คุณเองที่ได้รับโอกาสนั้นมาแล้ว โอกาสที่ทุกชีวิตล้วนต้องการจะได้มัน แต่คุณกลับกำลังจะทิ้งมันไป คุณรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ คุณกำลังทำในสิ่งที่นอกจากจะไม่ให้เกียรติชีวิตของตัวเองแล้ว คุณยังกำลังดูถูกพวกเราที่เป็นมนุษย์โคลนเช่นเดียวกับคุณด้วย”
เด็กหนุ่มยื่นมือไปจับไหล่ของสมชาย
“นี่อาจจะเป็นการเสียมารยาท แต่กรุณาฟังผมสักหน่อยนะครับ ด๊อกเตอร์”
ทั้งคู่จ้องตากัน น้ำเสียงที่เปล่งออกจากเด็กหนุ่มนั้นราบเรียบแต่หนักแน่นในความรู้สึกของสมชาย
“คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ไม่ว่าเราจะเกิดมาด้วยวิธีไหนก็ตาม เราก็คือมนุษย์คนหนึ่งเท่าเทียมกับคนอื่นๆ แม้คุณจะเกิดจากเซลล์ต้นแบบของคนอื่น แม้คุณจะเกิดจากความต้องการของคนอื่น แต่คุณไม่ใช่เขา”
“คุณก็คือคุณ ที่ผ่านมาคุณก็ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาด้วยตัวเองไม่ใช่หรือครับ คุณจะมัวโทษโชคชะตาของตัวเองและปล่อยให้มันกลืนกินจิตวิญญาณของคุณหรือครับ อดีตมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว ทำไมคุณถึงไม่ยอมรับสิ่งที่คุณเป็นและก้าวต่อไป อนาคตต่างหากล่ะครับคือสิ่งที่คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงมัน”
“และเมื่อนั้นคุณจะได้พิสูจน์ตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง”
ชั้นเมฆหนาบนท้องฟ้าค่อยๆ ถูกลมพัดพาออกไป แสงสว่างจากเบื้องบนค่อยๆ เบียดแทรกตัวผ่านลงมายังจิตใจอันมืดบอดของสมชาย คำพูดของเด็กหนุ่มที่ชื่อศรัทธามีพลังพอที่จะกะเทาะเปลือกที่ปิดกั้นเขาอยู่ให้แตกออก
สติสัปชัญญะของสมชายกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้งด้วยคำพูดของเด็กหนุ่มที่เขาแทบจะไม่มีโอกาสได้พบหรือพูดคุยด้วยเลย
แต่เด็กหนุ่มพูดถูกต้องทุกอย่าง เขาก็คือเขา ถึงแม้เขาจะเป็นประดิษฐกรรมทางวิทยาการของสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ แต่ความรักความอบอุ่นจากพ่อและแม่ที่เขาได้รับนั้นเป็นของจริง และสิ่งเหล่านั้นต่างหากที่โอบอุ้มเขาเอาไว้จนเป็นเขาได้อย่างทุกวันนี้
เขาคือลูกของท่านทั้งสอง และตอนนี้หน้าที่ของเขาที่เหลืออยู่คือช่วยให้มนุษยชาติอยู่รอด
เมฆหมอกหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ท้องฟ้ากลับมาใสกระจ่าง ดวงตาแห่งปัญญากลับมาอีกครั้ง สมชายจ้องเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าอิดโรยแต่แววตากลับมุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิม
“ขอบคุณมากนะศรัทธา ไม่ว่าคุณจะได้รับเลือกหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับผมคุณเองก็เป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่ผมได้รู้จักเช่นกัน”
เด็กหนุ่มยิ้มตอบด้วยความจริงใจ เขาดีใจที่บัดนี้มีคนยอมรับเขา แม้มันจะไม่ทำให้เขาได้รับเลือกแต่คำพูดนั้นก็จะเก็บอยู่ในใจของเด็กหนุ่มตลอดไป
และตอนนี้เด็กหนุ่มที่ชื่อศรัทธาเองก็เช่นกันที่เมฆหมอกในใจได้สลายไปจนหมดสิ้นแล้ว
วันดับสูญ...สับสน
...สับสน
ในครอบครัวขนาดเล็กที่ประกอบไปด้วยพ่อแม่และลูก พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านขนาดกลางแถวปริมณฑล เด็กชายเติบใหญ่ขึ้นท่ามกลางความรักความเอาใจใส่จากบุคคลทั้งสอง
เด็กน้อยฉายแววฉลาด เขาอ่านหนังสือและคิดเลขเป็นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พูดจาฉะฉาน ช่างจดช่างจำ และพยายามหาเหตุผลในสิ่งที่เขาเห็น
เรื่องเรียนเด็กชายไม่เคยทำให้พ่อแม่ทั้งสองผิดหวัง เขาสอบได้ที่หนึ่งทุกครั้ง เรื่องความประพฤติทุกคนต่างก็ชื่นชมเขาเป็นเสียงเดียวกัน
เป็นเด็กชายที่ทำให้บุพการีภาคภูมิใจ ทุกอย่างดูเหมือนจะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ หากทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ดังที่ใครบางคนเคยกล่าวไว้ว่าความสุขมักจะอยู่กับเราเพียงไม่นาน
ในขณะที่หนุ่มน้อยกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมปลาย เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น อุบัติเหตุจากการเดินทางท่องเที่ยวหลังวัยเกษียณฉุดคร่าชีวิตของบุพการีทั้งสองไป
ในเวลานั้นเองที่หนุ่มน้อยเพิ่งตระหนักว่านอกจากพ่อและแม่แล้วเขาไร้ญาติขาดมิตรอื่นใด
ความเศร้า เคว้งคว้าง ล่องลอยอยู่ในทุกอณูรอบกาย อนาคตที่เคยสว่างไสวกลับกลายเป็นแสงริบหรี่ในบัดดล
หากทว่าโชคชะตาก็ยังไม่ได้โหดร้ายกับเด็กหนุ่มจนเกินไปนัก หลังจากนั้นเพียงไม่นานมีผู้แจ้งความจำนงอุปการะจนหนุ่มน้อยศึกษาจบระดับปริญญาตรี และด้วยผลการเรียนอันยอดเยี่ยมทำให้เขาได้รับทุนให้ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นไปในมหาวิทยาลัยชื่อดังของสหรัฐอเมริกา
ในห้องสีขาวปลอดขนาดกว้างพอที่จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพสำหรับคนหนึ่งคน เมื่อปราศจากแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าห้องนี้จะมืดสนิทเพราะไม่มีหน้าต่างแม้สักบาน
สมชายนั่งอยู่ในห้องนั้น เป็นวันที่สามแล้วที่เขาตัดขาดตนเองจากโลกภายนอก ปราศจากการเคลื่อนไหวและการรับรู้เรื่องราวใดๆ ภายนอกกล่องสี่เหลี่ยมนี้
ดวงตาเหม่อลอย ขอบตาดำคล้ำลึกโหล เขาอดนอนมาชั่วระยะเวลาพอสมควรแล้ว สมองเฝ้าคิดซ้ำไปมาถึงเรื่องราวในอดีตด้วยเพียงหวังว่าจะพบเงื่อนงำอะไรบางอย่างที่จะหักล้างสิ่งที่ชายชราบอกแก่เขา
“ผู้อุปการะ”
สมชายคิดถึงคำๆ นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับคำนี้เป็นคำตอบของคำถามทั้งมวล เขาอยากหาเหตุผลอะไรสักอย่างมาหักล้างความคิดของตนเองทั้งๆ ที่ภายในใจลึกๆ แล้วเขาเองก็ยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้น
แท้จริงแล้วผู้อุปการะที่เขาไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้ามาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตก็คือองค์กรแห่งนี้นี่เอง
เมื่อคิดแบบนี้ทั้งหมดจะลงตัวกันอย่างเหมาะเจาะพอดี ทั้งเรื่องที่เกิดในชีวิตของเขาและเรื่องที่ชายชราเล่าให้ฟัง
“ไม่ ไม่ใช่ มันต้องไม่ใช่แบบนี้ ต้องมีอะไรสิน่า คิดเข้าสิ ใช้สมองของแกคิดซะ สมชาย”
สมชายก้มหน้า มือกุมขมับ บ่นพึมพำกับตัวเองราวคนเสียสติ ความรู้สึกหมดหวัง เคว้งคว้าง ดังเช่นวันที่เขาเพิ่งสูญเสียพ่อและแม่กลับมาเยือนอีกครั้ง
สับสน ไม่รู้อะไรเลย ทั้งที่ผ่านมาและต่อจากนี้ไป จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตนี้ ชีวิตที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเขา ชีวิตที่เกิดขึ้นจากการรังสรรค์ของวิทยาศาสตร์
เขาเคียดแค้น ในใจร้อนระอุไปด้วยไฟแห่งโทสะ
หายไปซะ ทุกสิ่งทุกอย่าง จะได้ไม่ต้องคิดต้องหาต้องรับรู้อะไรอีกต่อไป
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
สมชายหลุดออกจากความฟุ้งซ่านเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ประตูเปิดออก เขาเหลือบตาไปมองชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่จะกลับมาอยู่ในอากัปกิริยาแบบเดิมอีกครั้ง
ศรัทธาถือถาดอาหารเข้ามาในห้องก่อนที่จะวางมันลงด้านหน้าของสมชาย
“ด๊อกเตอร์ คุณต้องกินอะไรบ้างนะครับ ไม่อย่างนั้นร่างกายของคุณจะไม่ไหวเอา”
เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยความปรารถนาดี แต่สมชายยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะมองไปยังเด็กหนุ่ม
ศรัทธามองลึกเข้าไปในดวงตาของสมชาย มันทั้งหม่นหมองและสิ้นหวังอย่างที่เขาไม่เคยได้เห็นจากใคร ความอึดอัดจากภายในตัวของสมชายแผ่ออกมาจนเด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงบรรยากาศไม่ปกตินั้น
บรรยากาศในห้องนี้ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง เด็กหนุ่มครุ่นคิด ลังเลหน่อยหนึ่งก่อนตัดสินใจทำลายบรรยากาศในห้อง
“ด๊อกเตอร์ครับ ผมขอถามอะไรคุณสักอย่างนะครับ”
“…”
คู่สนทนานิ่งเงียบเช่นเคย
“คุณคิดยังไงกับชีวิตที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้ คุณคิดยังไงกับชีวิตที่กำลังจะมีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคตครับ”
สมชายยังคงเงียบ เด็กหนุ่มมองคู่สนทนาอย่างครุ่นคิดอีกครั้ง เผลอถอนหายใจออกมาก่อนที่จะถามคำถามอีกครั้งแต่ใส่ความหนักแน่นลงไปในน้ำเสียงเพิ่มขึ้นไปอีก
“คุณคิดยังไงกับชีวิตมนุษย์โคลนครับ ด๊อกเตอร์สมชาย”
“พอสักทีเถอะ นี่คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่คุณศรัทธา ทางที่ดีตอนนี้คุณอย่ามายุ่งกับผมจะดีกว่า”
คำถามนั้นดึงเอาความเกรี้ยวกราดในใจของสมชายออกมาแทบจะในทันที เขาตวาดกลับไปยังเด็กหนุ่มอย่างเหลืออด แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบสามวันที่มีคนทำให้เขาพูดออกมาได้
“คุณอาจจะไม่รู้นะครับด๊อกเตอร์สมชาย คุณไม่ใช่มนุษย์โคลนเพียงคนเดียวในที่แห่งนี้”
เด็กหนุ่มยังคงพูดต่อไม่สนใจอารมณ์เกรี้ยวกราดที่สาดเข้าใส่ ทว่าประโยคนี้ของศรัทธากลับดึงสติของสมชายกลับมาอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม
จริงสิ ในเมื่อด๊อกเตอร์โทมัสบอกว่าเขาเป็นต้นแบบที่สมบูรณ์แบบคนแรก ก็หมายความว่าก่อนหน้าเขาต้องมีมนุษย์โคลนที่ไม่สมบูรณ์ และหลังจากเขาก็ต้องมีมนุษย์โคลนที่สมบูรณ์เกิดขึ้นตามมา
หมายความว่ายังมีคนอื่นๆ ที่ก่อกำเนิดด้วยวิธีเดียวกับเขาอีก
“ผู้ที่อยู่ที่นี่ ผู้ปฏิบัติงานกว่าครึ่งของที่นี่เป็นมนุษย์โคลนเช่นเดียวกับคุณ”
เด็กหนุ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงสงบลง หากแต่ความสงบนั้นกลับแฝงไปด้วยบางอารมณ์
“และผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”
ศรัทธาเงยหน้าขึ้นมองเพดาน เขากำลังสะกดกลั้นความรู้สึกภายใน
“คุณคงจะเห็นเตียงจำศีลบนยานแล้ว จำนวนเตียงจำศีลก็คือจำนวนของผู้ที่ได้รับเลือก มันน้อยมากเพียงเม็ดทรายหนึ่งกำมือเทียบกับทรายทั้งโลก”
“ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ แม้แต่คนที่อยู่ที่นี่ หากอยากรอดเขาคนนั้นก็ต้องแสดงความสามารถออกมาเพื่อที่จะกลายเป็นผู้ที่ถูกเลือก มนุษย์โคลนที่นี่ส่วนใหญ่จะถูกมอบหมายหน้าที่ที่ไม่ซับซ้อนหรือสำคัญมากนักเป็นอันดับแรก กลุ่มที่ถูกประเมินแล้วว่าสามารถพัฒนาต่อไปได้จะได้รับงานที่สำคัญมากขึ้นเป็นลำดับ”
สมชายแสดงความกระตือรือร้นออกมาให้เห็นทางดวงตา
“ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มหลัง ได้รับสิทธิให้เข้าทำการคัดเลือกเพื่อเป็นหนึ่งในผู้อพยพ”
ศรัทธาหยุดจังหวะ ถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง
“แต่จนแล้วจนรอดผมก็ทำไม่สำเร็จ”
เป็นอีกเรื่องที่สมชายไม่เคยรู้มาก่อน เรื่องราวของศรัทธาที่ได้ฟังทำให้เขาได้รับรู้ถึงเสียงหัวใจเต้นของตัวเองอีกครั้ง
“ชีวิตที่เกิดมาทุกชีวิตล้วนต้องการอยู่รอด และแน่นอนว่านั่นก็รวมถึงผมและพวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่ หลายปีที่ผ่านมาพวกเราทำงานหนักและพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะให้คนอื่นยอมรับ เพื่อให้เป็นหนึ่งในผู้อพยพ”
ดวงตามั่นคง น้ำเสียงหนักแน่น สมชายสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของคู่สนทนาตรงหน้า
“แต่คุณเองที่ได้รับโอกาสนั้นมาแล้ว โอกาสที่ทุกชีวิตล้วนต้องการจะได้มัน แต่คุณกลับกำลังจะทิ้งมันไป คุณรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ คุณกำลังทำในสิ่งที่นอกจากจะไม่ให้เกียรติชีวิตของตัวเองแล้ว คุณยังกำลังดูถูกพวกเราที่เป็นมนุษย์โคลนเช่นเดียวกับคุณด้วย”
เด็กหนุ่มยื่นมือไปจับไหล่ของสมชาย
“นี่อาจจะเป็นการเสียมารยาท แต่กรุณาฟังผมสักหน่อยนะครับ ด๊อกเตอร์”
ทั้งคู่จ้องตากัน น้ำเสียงที่เปล่งออกจากเด็กหนุ่มนั้นราบเรียบแต่หนักแน่นในความรู้สึกของสมชาย
“คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ไม่ว่าเราจะเกิดมาด้วยวิธีไหนก็ตาม เราก็คือมนุษย์คนหนึ่งเท่าเทียมกับคนอื่นๆ แม้คุณจะเกิดจากเซลล์ต้นแบบของคนอื่น แม้คุณจะเกิดจากความต้องการของคนอื่น แต่คุณไม่ใช่เขา”
“คุณก็คือคุณ ที่ผ่านมาคุณก็ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาด้วยตัวเองไม่ใช่หรือครับ คุณจะมัวโทษโชคชะตาของตัวเองและปล่อยให้มันกลืนกินจิตวิญญาณของคุณหรือครับ อดีตมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว ทำไมคุณถึงไม่ยอมรับสิ่งที่คุณเป็นและก้าวต่อไป อนาคตต่างหากล่ะครับคือสิ่งที่คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงมัน”
“และเมื่อนั้นคุณจะได้พิสูจน์ตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง”
ชั้นเมฆหนาบนท้องฟ้าค่อยๆ ถูกลมพัดพาออกไป แสงสว่างจากเบื้องบนค่อยๆ เบียดแทรกตัวผ่านลงมายังจิตใจอันมืดบอดของสมชาย คำพูดของเด็กหนุ่มที่ชื่อศรัทธามีพลังพอที่จะกะเทาะเปลือกที่ปิดกั้นเขาอยู่ให้แตกออก
สติสัปชัญญะของสมชายกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้งด้วยคำพูดของเด็กหนุ่มที่เขาแทบจะไม่มีโอกาสได้พบหรือพูดคุยด้วยเลย
แต่เด็กหนุ่มพูดถูกต้องทุกอย่าง เขาก็คือเขา ถึงแม้เขาจะเป็นประดิษฐกรรมทางวิทยาการของสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ แต่ความรักความอบอุ่นจากพ่อและแม่ที่เขาได้รับนั้นเป็นของจริง และสิ่งเหล่านั้นต่างหากที่โอบอุ้มเขาเอาไว้จนเป็นเขาได้อย่างทุกวันนี้
เขาคือลูกของท่านทั้งสอง และตอนนี้หน้าที่ของเขาที่เหลืออยู่คือช่วยให้มนุษยชาติอยู่รอด
เมฆหมอกหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ท้องฟ้ากลับมาใสกระจ่าง ดวงตาแห่งปัญญากลับมาอีกครั้ง สมชายจ้องเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าอิดโรยแต่แววตากลับมุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิม
“ขอบคุณมากนะศรัทธา ไม่ว่าคุณจะได้รับเลือกหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับผมคุณเองก็เป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่ผมได้รู้จักเช่นกัน”
เด็กหนุ่มยิ้มตอบด้วยความจริงใจ เขาดีใจที่บัดนี้มีคนยอมรับเขา แม้มันจะไม่ทำให้เขาได้รับเลือกแต่คำพูดนั้นก็จะเก็บอยู่ในใจของเด็กหนุ่มตลอดไป
และตอนนี้เด็กหนุ่มที่ชื่อศรัทธาเองก็เช่นกันที่เมฆหมอกในใจได้สลายไปจนหมดสิ้นแล้ว