.
‘ปากกา’ เป็นชื่อของชายหนุ่ม
เขามีพี่ชายคนหนึ่งมีชื่อว่า ‘หนังสือ’ มีน้องสาวคนหนึ่งชื่อว่า ‘สมุด’ ดีว่าพวกเขามีกันสามศรีพี่น้อง จึงมีชื่อเรียงฉายา ตามอายุจากมากไปหาน้อยได้ว่า ‘พี่ใหญ่หนังสือ’ ‘น้องรองปากกา’ ‘น้องเล็กสมุด’ ซึ่งถ้าหากพ่อกับแม่ร่วมมือกันผลิตทายาทเครื่องเขียนออกมาอีก แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า บรรดาน้อง ๆ ที่อยู่ในสายพานการผลิต คงจะมีชื่อว่า ‘น้องดินสอ’ ‘น้องยางลบ’ หรือ ‘น้องไม้บรรทัด’ อย่างแน่นอน เขาเคยทึ่งในความกล้าหาญผิดมนุษย์มนา ของคุณพ่อคุณแม่ ที่นอกกรอบตั้งชื่อลูกออกมาได้ไม่เหมือนใคร และนึกว่าถ้าพวกเขาทั้งสามพากันเกิดมาช้ากว่านั้น คงมีชื่อเป็น ‘นายคอมพิวเตอร์’ ‘นายคีย์บอร์ด’ และ’นางสาวโปรแกรม’ เป็นแน่แท้
สาเหตุเพราะคุณพ่อคุณแม่ชองชายหนุ่มเป็นนักเขียนด้วยกันทั้งคู่ แม้ว่ารายได้ของงานเขียนในยุคนั้นจะไม่มากมายนัก แต่ก็สามารถดูแลครอบครัวได้อย่างสบายไม่เดือดร้อน บางครั้งเขาจะเห็นคุณพ่อคุณแม่พากันนั่งมองข้อความเพียงประโยคเดียวในหนังสืออย่างชื่นชม ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจว่า ทั้งสองท่านพากันบรรลุไปถึงระดับไหนแล้ว บางครั้งทั้งสองเคยอภิปรายกันอย่างเผ็ดร้อนถึงการใช้คำว่า ที่... ซึ่ง... จะ... และ... หรือ... คำฟุ่มเฟือย... คำซ้ำซ้อน ...อะไรประมาณนี้ แน่นอนว่าเขาไม่รู้เรื่อง
“สระพยัญชนะ คือจุดกำเนิดของงานศิลปะแห่งวรรณกรรม” คุณพ่อเคยประกาศก้องในวงอาหารมื้อเย็นบ่อยครั้ง จนจำได้ “ไม่ต่างจากตัวโน้ตของคีตกวี ไม่ต่างจากเนื้อสีในจานสีของจิตรกร ไม่ต่างจากอุปกรณ์การก่อสร้างของวิศวกร ทุกอย่างคืองานศิลป์”
“อาหารคือการดวล” สมัยเด็ก ปากกาเคยสวนคำพูดของ อากิยามะ จาง ออกไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่ากำลังปัดขสงเส้นทางลำเลียงความคิดเพริดแพร้วของผู้เป็นพ่อ จนคุณแม่ต้องเบรกเกม ด้วยการสับมะเหงก ลงมาในมุมสี่สิบห้าองศา บนหัวของเขาด้วยแรงประมาณสี่นิวตัน กระทั่งทุกวันนี้เขายังหา ‘ความหมาย’ ของมะเหงกในตำนานไม่ได้ว่า คืออะไร
“ดังนั้น ลูก ๆ ทุกคน ย่อมไม่ใช่ทายาทอสูร แต่เป็นทายาทนักเขียน”
นั่นคือคำพูดประกาศจุดยืนและกำหนดทิศทางเส้นเวลาของลูกทุกคน ผู้ที่จะรับบทบาทสืบ ทอดเจตนารมณ์และสร้างแรงขับเคลื่อนความหวังและความฝันของบุพการี แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป พี่ดินสอก็เลี้ยวแหกโค้งออกจากเส้นทางในฝันของวงค์ตระกูล หันเข้าสู่วงการธุรกิจ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับงานเขียนหนังสือเลยสักนิด กลายเป็นเจ้าของบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ดำเนินธุรกิจสิ่นค้าส่งออกนอก และมีทีท่าจะเป็นไปอย่างสวยงาม ส่วนน้องสมุดยังจัดว่าไม่ออกนอกเส้นทางเสียเลยทีเดียว เธอได้รับการบรรจุเข้าไปเป็นบรรณาลักษณ์ ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เพื่อที่จะเข้าไปหาคำตอบว่า ทำไมจึงเรียกว่าห้องมุด ไม่เรียกว่าห้องหนังสือ ทั้งที่มีแต่หนังสือ โลกของเธอจึงอยู่ในโลกของการอ่านเสียเป็นส่วนใหญ่ และดูว่าเธอเองก็พอใจกับแนวทางนี้ จนลืมไปว่าอุดมการณ์ของคุณพ่อคุณแม่แท้จริงเป็นอย่างไร
เหลือเพียงปากกา ที่ยังคงมุ่งมั่นกับเส้นทางชีวิต จะต้องทำให้ความฝันของวงค์ตระกูลเป็นจริงให้ได้ หลังเรียนจบมาไม่นาน เขาก็สามารถปั่นนิยายเรื่องยาวออกมาได้ และมั่นใจในฝีมือการเขียนที่เพาะบ่มประสบการณ์มากมายมาเนิ่นนาน และไม่รีรอที่จะบุกไปพบบรรณาธิการสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งอย่างอาจหาญมั่น
“คุณเขียนนิยายแนวผีบ้าผีบออะไรของคุณ”
ชายวัยค่อนคน ค่อนวัย แต่ไม่ค่อนเงิน กับท่าทางภูมิฐานมีชาติตระกูลร่ำรวยขว้างต้นฉบับลงบนพื้นโต๊ะอย่างแรง ทำเอาชายหนุ่มเจ้าของต้นฉบับสะดุ้งเฮือก โยนสายตามองต้นฉบับและตวัดสายตากลับอย่างแรงจ้องมองหน้าคนเจ้าอารมณ์สลับกันไปมาอยู่เช่นนั้น
“อ่า...มีอะไรหรือครับ....” ปากกาแกะคำถามออกจากปาก โยนใส่หน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้ามึนงงสงสัย เพราะนิยายเรื่องนี้เขาตั้งใจตั้งกายเขียนแบบทุ่มเทสุดชีวิตแทบล้มประดาตาย ค้นหาข้อมูลสำคัญเพื่อความถูกต้องเป็นเวลานาน ทว่าเขาไม่เข้าใจอารมณ์ของบรรณาธิการเอาเสียเลย
“ผมถามคุณก่อน ไม่ใช่ให้คุณมาย้อนถาม ผมถามว่า คุณเขียนนิยายแนวไหน” เสียงของบรรณาธิการแข็งพอๆ กับผนังห้อง
“แนวรักพิเรียดวัยรุ่นดรามาสยองแฟนตาซีครับ รับรองว่าไม่เหมือนใคร”
“คุณนี่ ไม่รู้เรื่องอะไรบ้างเสียเลย...สมัยนี้คุณไม่ต้องเขียนแนวมั่วยากเย็นเข็ญใจขนาดนั้น มันขายยาก นอกจากคุณเป็นนักเขียนโด่งดังมาก่อน หน้าใหม่ต้องเขียนงานง่าย ๆ ถึงจะเข้าตากรรมการ โอ้ย ! ภาษงภาษาไม่ต้องยึดติด วิบัติเข้าไปให้มาก ๆ วัยรุ่นชอบ อ้อ แล้วก็เรื่องอย่างว่านะ ใส่เข้าไปให้เยอะ ๆ ฉากโป้ ๆ เปลือย ๆ ไม่ต้องยั้ง ฐานของนักอื่นส่วนใหญ่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นอยากจับอยากลอง งานถึงจะเขียนได้ คุณทะลึ่งเขียนแนวผีบ้า ใครเขาจะซื้อไปอ่าน”
“นี่ผมตั้งใจเขียนสุดฝีมือแล้ว สำนวนก็แนวร่วมสมัย นะครับ และ...” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย แต่อีกฝ่ายไม่ฟังเสียง หยิบต้นฉบับโยนมาให้เบื้องหน้า
“อ่านย่อหน้านี้ซิ”
หนุ่มนักเขียนขมวดคิ้วเป็นเงื่อนพิรอดอย่างไม่เข้าใจ ขณะก้มหน้าดูต้นฉบับ ท่อนนี้มันวรรคทองของเขาชัดๆ ใช้เวลาเกือบปีกว่าจะเรียบเรียงออกมาได้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าบรรณาธิการจอมโหดคิดอะไรอยู่ในใจ
“อ่านดัง ๆ ให้ผมฟัง” เสียงประกาศิตโยนออกมาอีก ชายหนุ่มแม้จะไม่เข้าใจจุดประสงค์ แต่ก็ยอมอ่านออกเสียงโดยดี เพราะบรรณาธิการจอมโหดคนนี้มีผลต่อการพิจารณานิยายของเขา หรือชีวิตจิตใจของเขา
“มือหนาใหญ่ ของชายหนุ่ม คว้ามือบางเล็ก ของหญิงสาว ร่างหนาทึบเคลื่อนเข้าไปใกล้ร่างบางเบา ร่างบางเฉียบพยายามเบี่ยงกายหนีมือหนา แต่มือใหญ่ยังพยายามยื่นมาคว้ามือเล็ก หากร่างบางถอยหลังหลบมือหนาที่ยื่นมาแบบมีเจตนาแอบแผง...”
ยังไม่ทันอ่านจบย่อหน้านั้น บรรณาธิการก็ยกมือโบกไปมาบอกด้วยเสียงอันดัง “ พอแล้วๆ พอๆๆๆ”
“ทำไมหรือครับ” ชายหนุ่มถามอย่างผิดหวัง ก่อนกระตุกตัวเองให้นั่งตัวตรง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีคนเข้าใจความงดงามของงานเขียนย่อหน้านั้น เพราะกว่าจะเขียนออกมาได้ หมายถึงเขาตะลุยอ่านนิยายในโลกนี้มาอย่างดี จนจับแนวทางและวิธีการเขียนของนักเขียนดังๆ มาตั้งหลายบรรทัด ในรอบสี่ปี
“ทำไมพระเอกตัวร่างใหญ่มือใหญ่ ทำไมนางเอกตัวบางมือเล็ก”
“อ้าว ก็มันเป็นค่านิยมนี่ครับ ใครจะอยากอ่านพระเอกตัวบางร่างน้อย นางเอกเอกมือใหญ่ตัวหนาล่ะครับ”
“คุณไม่เข้าใจ....” บรรณาธิการส่ายหัวอย่างเอือมใจ “ทำไมนายวนเวียนอยู่แต่ ร่าง และ มือ อวัยวะส่วนอื่นมันไม่น้อยใจหรือ”
“ผมไม่เข้าใจ...” ชายหนุ่มหมายความตามที่พูด และหมายความตามที่คิด บรรณาธิการเหวี่ยงรอยยิ้มหมิ่นๆ ออกมาจากริมฝีปากสุดแรงเกิด รอยยิ้มหมิ่นนั้นคมราวกระบี่ไร้เงาเชือดเฉือนความเชื่อมั่นและความภูมิใจของชายหนุ่มรักเขียนขาดกระเด็นกระจุยกระจาย
“คุณต้องให้เกียรติอวัยวะส่วนอื่นบ้าง ไม่ใช่วนเวียนอยู่แต่กับมือและร่าง แบบนี้มันทำให้พระเอกต้องเป็นคนร่างหนาตัวใหญ่ นางเอกต้องตัวบางร่างเล็ก มันไม่ยุติธรรม รู้ไหม มันไม่ยุติธรรม มันเก็บกดรู้ไหม.....มันเก็บกด อะไรกัน ! พระเอกต้อง มือใหญ่ มือใหญ่ที่คว้ามือเล็ก ร่างใหญ่ใส่จับร่างเล็ก ร่างหนาเข้าหาร่างบาง คนนะเฟ้ย ! ไม่ใช่เสาเข็มกับกระดาษ มันจะให้พระเอกกัด ทับ นางเอกตายทั้งเป็นหรือยังไง”
บรรณาธิการหลั่งไหลคำพูดออกมาไม่ขาดสาย สีหน้าท่าทางฉาบเคลือบไว้ด้วยความไม่สบอารมณ์และความขมขื่นสิ้นหวัง เขาสบัดสายตาใส่หน้านักเขียนหนุ่มเต็มแรง “คุณต้องปรับปรุงงานคุณใหม่...ให้ดีกว่านี้...และกว่านี้”
“แต่นี่มันงานระดับสาสเตอร์พีชของผมนะครับ” นักเขียนหนุ่มหลบสายตาได้แบบหวุดหวิด ชนิดเส้นยาแดงผ่าสามสิบสอง ก่อนเทคำพูดออกมาจากปากอย่างระมัดระวังว่า
“ ผมก็มีเหตุผลนะครับ ถ้าไม่ใช้มือใหญ่ร่างหนาร่างบาง ผมก็ต้องใช้ ชื่อตัวละครแทน แล้วคนอ่านก็จะบ่นว่า ทำไมต้องใช้ชื่อตัวละครบ่อย ๆ จนกลายเป็นคำซ้ำซากซ้ำซ้อนไป แล้วผมต้องเขียนยังไงครับ”
บรรณาธิการระบายริมผีปากตัวเองด้วยรอยยิ้ม ซึ่งจำลองเหตุการณ์ของรอยยิ้มมาจากการยกพลขึ้นบกที่หาดนอร์มังดีวันดีเดย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2487 ก่อนหยิบต้นฉบับขึ้นมาพลางพูดว่า
“ฟังให้ดีนะครับ ถ้าเป็นผม... ใช่...หมายถึงว่าไม่ใช่คุณแน่นอน ผมจะแก้งานย่อหน้านี้ว่า .... ตาใหญ่จ้องตาเล็ก มือหนาของชายหนุ่มคว้ามือบางของหญิงสาว ตาใหญ่เคลื่อนเข้าไปใกล้ตาเล็ก เท้าบางพยายามเบี่ยงกายหนีปากหนา แต่ปากหนายังพยายามคว้าหูเล็ก หากจมูกบางบางถอยหลังหลบ ก้นหนาที่ยื่นมาแบบมีเจตนาแอบแฝง.”
“โอย.....” นักเขียนหนุ่มหงายหลังล้มฟาดลงบนพื้นเต็มความยาว ไม่คิดไม่ฝันว่าในจักรวาลนี้ จะมีสิ่งมีชีวิตที่มองโลกกว้างขนาดนี้ ความเชื่อมั่นของเขาติดปีกโบยบินสูงขึ้นไปทุกทีแบบไร้อนาคต งานเขียนเป็นงานไม่ง่ายดาย แต่ย่อหน้าเดียวยังทำให้เขาสะท้านสะเทือนไปถึงวัยเด็กอนุบาล เขามองโลกแคบเกินไป งานถึงจำกัดอยู่แค่ ‘มือกับร่าง’ งานเลยออกมา จึงมีแต่มือบางร่างบาง มือใหญ่กุมมือเล็ก อะไรประมาณนั้น
ทำไมเขาไม่คิดนะว่าอวัยวะทุกส่วนของร่างกายมันมี เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพความเท่าเทียมกัน
ทำไมตับ ไต ไส้ พุง กระดูก เส้นเอ็น เม็ดเลือด ถูกมองข้าม ทำไมเขาไม่นึกถึงข้อนี้มาก่อนเลย ทำไมต้องแต่ ‘มือใหญ่กุมมือหนา’ ‘ร่างใหญ่จับร่างบาง’ ความจริงมันต้องมี ‘ก้นใหญ่กอดปากเล็ก’ ‘ตาใหญ่มองตาเล็ก’ อย่างมีความหมาย ตาเล็กหยี ไล่อ่านตัวหนังสือเล็กบาง ให้ตายเถอะ.โรบินสัน บิกซี งานเขียนไม่ง่ายเลย
ปากกาลุกมานั่งเก้าอี้ ด้วยอาการเลื่อนลอย และก่อนที่เขาจะล้มละลายคิดไปมากกว่านี้ บรรณาธิการจอมโหดก็ฟาดคำพูดออกมาเต็มเบ้าหูเขาว่า
“อ๊ะ ๆ ๆ....กฎทุกข้อต้องมีข้อยกเว้น... คุณสามารถเอาอวัยวะไดก็ได้ไปเขียน มีข้อแม้ว่าห้ามเอาอวัยวะของสงวนไปเขียนเด็ดขาด นายบอกว่า ‘สะดือใหญ่วิ่งหนีหน้าแข้งเล็ก’ ได้ แต่ห้ามลามกทะลึ่งโจ้งแจ้งเด็ดขาด ข้อนี้ไม่ต้องยกตัวอย่างก็ได้ เข้าใจไหม”
“คร้าบ.....” นักเขียนหนุ่มน้ำตานองหน้า แต่เรื่องยังไม่ยุติแค่นี้ เพราะเสียงของบรรณธิการจอมโหดยังเหวี่ยงไปมาในอากาศราวแผ่นเหล็กมหึมา จนสะท้านสะเทือน
(มีต่อครับ)
ปัญหาของนักเขียน (รีไรท์)
‘ปากกา’ เป็นชื่อของชายหนุ่ม
เขามีพี่ชายคนหนึ่งมีชื่อว่า ‘หนังสือ’ มีน้องสาวคนหนึ่งชื่อว่า ‘สมุด’ ดีว่าพวกเขามีกันสามศรีพี่น้อง จึงมีชื่อเรียงฉายา ตามอายุจากมากไปหาน้อยได้ว่า ‘พี่ใหญ่หนังสือ’ ‘น้องรองปากกา’ ‘น้องเล็กสมุด’ ซึ่งถ้าหากพ่อกับแม่ร่วมมือกันผลิตทายาทเครื่องเขียนออกมาอีก แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า บรรดาน้อง ๆ ที่อยู่ในสายพานการผลิต คงจะมีชื่อว่า ‘น้องดินสอ’ ‘น้องยางลบ’ หรือ ‘น้องไม้บรรทัด’ อย่างแน่นอน เขาเคยทึ่งในความกล้าหาญผิดมนุษย์มนา ของคุณพ่อคุณแม่ ที่นอกกรอบตั้งชื่อลูกออกมาได้ไม่เหมือนใคร และนึกว่าถ้าพวกเขาทั้งสามพากันเกิดมาช้ากว่านั้น คงมีชื่อเป็น ‘นายคอมพิวเตอร์’ ‘นายคีย์บอร์ด’ และ’นางสาวโปรแกรม’ เป็นแน่แท้
สาเหตุเพราะคุณพ่อคุณแม่ชองชายหนุ่มเป็นนักเขียนด้วยกันทั้งคู่ แม้ว่ารายได้ของงานเขียนในยุคนั้นจะไม่มากมายนัก แต่ก็สามารถดูแลครอบครัวได้อย่างสบายไม่เดือดร้อน บางครั้งเขาจะเห็นคุณพ่อคุณแม่พากันนั่งมองข้อความเพียงประโยคเดียวในหนังสืออย่างชื่นชม ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจว่า ทั้งสองท่านพากันบรรลุไปถึงระดับไหนแล้ว บางครั้งทั้งสองเคยอภิปรายกันอย่างเผ็ดร้อนถึงการใช้คำว่า ที่... ซึ่ง... จะ... และ... หรือ... คำฟุ่มเฟือย... คำซ้ำซ้อน ...อะไรประมาณนี้ แน่นอนว่าเขาไม่รู้เรื่อง
“สระพยัญชนะ คือจุดกำเนิดของงานศิลปะแห่งวรรณกรรม” คุณพ่อเคยประกาศก้องในวงอาหารมื้อเย็นบ่อยครั้ง จนจำได้ “ไม่ต่างจากตัวโน้ตของคีตกวี ไม่ต่างจากเนื้อสีในจานสีของจิตรกร ไม่ต่างจากอุปกรณ์การก่อสร้างของวิศวกร ทุกอย่างคืองานศิลป์”
“อาหารคือการดวล” สมัยเด็ก ปากกาเคยสวนคำพูดของ อากิยามะ จาง ออกไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่ากำลังปัดขสงเส้นทางลำเลียงความคิดเพริดแพร้วของผู้เป็นพ่อ จนคุณแม่ต้องเบรกเกม ด้วยการสับมะเหงก ลงมาในมุมสี่สิบห้าองศา บนหัวของเขาด้วยแรงประมาณสี่นิวตัน กระทั่งทุกวันนี้เขายังหา ‘ความหมาย’ ของมะเหงกในตำนานไม่ได้ว่า คืออะไร
“ดังนั้น ลูก ๆ ทุกคน ย่อมไม่ใช่ทายาทอสูร แต่เป็นทายาทนักเขียน”
นั่นคือคำพูดประกาศจุดยืนและกำหนดทิศทางเส้นเวลาของลูกทุกคน ผู้ที่จะรับบทบาทสืบ ทอดเจตนารมณ์และสร้างแรงขับเคลื่อนความหวังและความฝันของบุพการี แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป พี่ดินสอก็เลี้ยวแหกโค้งออกจากเส้นทางในฝันของวงค์ตระกูล หันเข้าสู่วงการธุรกิจ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับงานเขียนหนังสือเลยสักนิด กลายเป็นเจ้าของบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ดำเนินธุรกิจสิ่นค้าส่งออกนอก และมีทีท่าจะเป็นไปอย่างสวยงาม ส่วนน้องสมุดยังจัดว่าไม่ออกนอกเส้นทางเสียเลยทีเดียว เธอได้รับการบรรจุเข้าไปเป็นบรรณาลักษณ์ ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ เพื่อที่จะเข้าไปหาคำตอบว่า ทำไมจึงเรียกว่าห้องมุด ไม่เรียกว่าห้องหนังสือ ทั้งที่มีแต่หนังสือ โลกของเธอจึงอยู่ในโลกของการอ่านเสียเป็นส่วนใหญ่ และดูว่าเธอเองก็พอใจกับแนวทางนี้ จนลืมไปว่าอุดมการณ์ของคุณพ่อคุณแม่แท้จริงเป็นอย่างไร
เหลือเพียงปากกา ที่ยังคงมุ่งมั่นกับเส้นทางชีวิต จะต้องทำให้ความฝันของวงค์ตระกูลเป็นจริงให้ได้ หลังเรียนจบมาไม่นาน เขาก็สามารถปั่นนิยายเรื่องยาวออกมาได้ และมั่นใจในฝีมือการเขียนที่เพาะบ่มประสบการณ์มากมายมาเนิ่นนาน และไม่รีรอที่จะบุกไปพบบรรณาธิการสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งอย่างอาจหาญมั่น
“คุณเขียนนิยายแนวผีบ้าผีบออะไรของคุณ”
ชายวัยค่อนคน ค่อนวัย แต่ไม่ค่อนเงิน กับท่าทางภูมิฐานมีชาติตระกูลร่ำรวยขว้างต้นฉบับลงบนพื้นโต๊ะอย่างแรง ทำเอาชายหนุ่มเจ้าของต้นฉบับสะดุ้งเฮือก โยนสายตามองต้นฉบับและตวัดสายตากลับอย่างแรงจ้องมองหน้าคนเจ้าอารมณ์สลับกันไปมาอยู่เช่นนั้น
“อ่า...มีอะไรหรือครับ....” ปากกาแกะคำถามออกจากปาก โยนใส่หน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้ามึนงงสงสัย เพราะนิยายเรื่องนี้เขาตั้งใจตั้งกายเขียนแบบทุ่มเทสุดชีวิตแทบล้มประดาตาย ค้นหาข้อมูลสำคัญเพื่อความถูกต้องเป็นเวลานาน ทว่าเขาไม่เข้าใจอารมณ์ของบรรณาธิการเอาเสียเลย
“ผมถามคุณก่อน ไม่ใช่ให้คุณมาย้อนถาม ผมถามว่า คุณเขียนนิยายแนวไหน” เสียงของบรรณาธิการแข็งพอๆ กับผนังห้อง
“แนวรักพิเรียดวัยรุ่นดรามาสยองแฟนตาซีครับ รับรองว่าไม่เหมือนใคร”
“คุณนี่ ไม่รู้เรื่องอะไรบ้างเสียเลย...สมัยนี้คุณไม่ต้องเขียนแนวมั่วยากเย็นเข็ญใจขนาดนั้น มันขายยาก นอกจากคุณเป็นนักเขียนโด่งดังมาก่อน หน้าใหม่ต้องเขียนงานง่าย ๆ ถึงจะเข้าตากรรมการ โอ้ย ! ภาษงภาษาไม่ต้องยึดติด วิบัติเข้าไปให้มาก ๆ วัยรุ่นชอบ อ้อ แล้วก็เรื่องอย่างว่านะ ใส่เข้าไปให้เยอะ ๆ ฉากโป้ ๆ เปลือย ๆ ไม่ต้องยั้ง ฐานของนักอื่นส่วนใหญ่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นอยากจับอยากลอง งานถึงจะเขียนได้ คุณทะลึ่งเขียนแนวผีบ้า ใครเขาจะซื้อไปอ่าน”
“นี่ผมตั้งใจเขียนสุดฝีมือแล้ว สำนวนก็แนวร่วมสมัย นะครับ และ...” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย แต่อีกฝ่ายไม่ฟังเสียง หยิบต้นฉบับโยนมาให้เบื้องหน้า
“อ่านย่อหน้านี้ซิ”
หนุ่มนักเขียนขมวดคิ้วเป็นเงื่อนพิรอดอย่างไม่เข้าใจ ขณะก้มหน้าดูต้นฉบับ ท่อนนี้มันวรรคทองของเขาชัดๆ ใช้เวลาเกือบปีกว่าจะเรียบเรียงออกมาได้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าบรรณาธิการจอมโหดคิดอะไรอยู่ในใจ
“อ่านดัง ๆ ให้ผมฟัง” เสียงประกาศิตโยนออกมาอีก ชายหนุ่มแม้จะไม่เข้าใจจุดประสงค์ แต่ก็ยอมอ่านออกเสียงโดยดี เพราะบรรณาธิการจอมโหดคนนี้มีผลต่อการพิจารณานิยายของเขา หรือชีวิตจิตใจของเขา
“มือหนาใหญ่ ของชายหนุ่ม คว้ามือบางเล็ก ของหญิงสาว ร่างหนาทึบเคลื่อนเข้าไปใกล้ร่างบางเบา ร่างบางเฉียบพยายามเบี่ยงกายหนีมือหนา แต่มือใหญ่ยังพยายามยื่นมาคว้ามือเล็ก หากร่างบางถอยหลังหลบมือหนาที่ยื่นมาแบบมีเจตนาแอบแผง...”
ยังไม่ทันอ่านจบย่อหน้านั้น บรรณาธิการก็ยกมือโบกไปมาบอกด้วยเสียงอันดัง “ พอแล้วๆ พอๆๆๆ”
“ทำไมหรือครับ” ชายหนุ่มถามอย่างผิดหวัง ก่อนกระตุกตัวเองให้นั่งตัวตรง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีคนเข้าใจความงดงามของงานเขียนย่อหน้านั้น เพราะกว่าจะเขียนออกมาได้ หมายถึงเขาตะลุยอ่านนิยายในโลกนี้มาอย่างดี จนจับแนวทางและวิธีการเขียนของนักเขียนดังๆ มาตั้งหลายบรรทัด ในรอบสี่ปี
“ทำไมพระเอกตัวร่างใหญ่มือใหญ่ ทำไมนางเอกตัวบางมือเล็ก”
“อ้าว ก็มันเป็นค่านิยมนี่ครับ ใครจะอยากอ่านพระเอกตัวบางร่างน้อย นางเอกเอกมือใหญ่ตัวหนาล่ะครับ”
“คุณไม่เข้าใจ....” บรรณาธิการส่ายหัวอย่างเอือมใจ “ทำไมนายวนเวียนอยู่แต่ ร่าง และ มือ อวัยวะส่วนอื่นมันไม่น้อยใจหรือ”
“ผมไม่เข้าใจ...” ชายหนุ่มหมายความตามที่พูด และหมายความตามที่คิด บรรณาธิการเหวี่ยงรอยยิ้มหมิ่นๆ ออกมาจากริมฝีปากสุดแรงเกิด รอยยิ้มหมิ่นนั้นคมราวกระบี่ไร้เงาเชือดเฉือนความเชื่อมั่นและความภูมิใจของชายหนุ่มรักเขียนขาดกระเด็นกระจุยกระจาย
“คุณต้องให้เกียรติอวัยวะส่วนอื่นบ้าง ไม่ใช่วนเวียนอยู่แต่กับมือและร่าง แบบนี้มันทำให้พระเอกต้องเป็นคนร่างหนาตัวใหญ่ นางเอกต้องตัวบางร่างเล็ก มันไม่ยุติธรรม รู้ไหม มันไม่ยุติธรรม มันเก็บกดรู้ไหม.....มันเก็บกด อะไรกัน ! พระเอกต้อง มือใหญ่ มือใหญ่ที่คว้ามือเล็ก ร่างใหญ่ใส่จับร่างเล็ก ร่างหนาเข้าหาร่างบาง คนนะเฟ้ย ! ไม่ใช่เสาเข็มกับกระดาษ มันจะให้พระเอกกัด ทับ นางเอกตายทั้งเป็นหรือยังไง”
บรรณาธิการหลั่งไหลคำพูดออกมาไม่ขาดสาย สีหน้าท่าทางฉาบเคลือบไว้ด้วยความไม่สบอารมณ์และความขมขื่นสิ้นหวัง เขาสบัดสายตาใส่หน้านักเขียนหนุ่มเต็มแรง “คุณต้องปรับปรุงงานคุณใหม่...ให้ดีกว่านี้...และกว่านี้”
“แต่นี่มันงานระดับสาสเตอร์พีชของผมนะครับ” นักเขียนหนุ่มหลบสายตาได้แบบหวุดหวิด ชนิดเส้นยาแดงผ่าสามสิบสอง ก่อนเทคำพูดออกมาจากปากอย่างระมัดระวังว่า
“ ผมก็มีเหตุผลนะครับ ถ้าไม่ใช้มือใหญ่ร่างหนาร่างบาง ผมก็ต้องใช้ ชื่อตัวละครแทน แล้วคนอ่านก็จะบ่นว่า ทำไมต้องใช้ชื่อตัวละครบ่อย ๆ จนกลายเป็นคำซ้ำซากซ้ำซ้อนไป แล้วผมต้องเขียนยังไงครับ”
บรรณาธิการระบายริมผีปากตัวเองด้วยรอยยิ้ม ซึ่งจำลองเหตุการณ์ของรอยยิ้มมาจากการยกพลขึ้นบกที่หาดนอร์มังดีวันดีเดย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2487 ก่อนหยิบต้นฉบับขึ้นมาพลางพูดว่า
“ฟังให้ดีนะครับ ถ้าเป็นผม... ใช่...หมายถึงว่าไม่ใช่คุณแน่นอน ผมจะแก้งานย่อหน้านี้ว่า .... ตาใหญ่จ้องตาเล็ก มือหนาของชายหนุ่มคว้ามือบางของหญิงสาว ตาใหญ่เคลื่อนเข้าไปใกล้ตาเล็ก เท้าบางพยายามเบี่ยงกายหนีปากหนา แต่ปากหนายังพยายามคว้าหูเล็ก หากจมูกบางบางถอยหลังหลบ ก้นหนาที่ยื่นมาแบบมีเจตนาแอบแฝง.”
“โอย.....” นักเขียนหนุ่มหงายหลังล้มฟาดลงบนพื้นเต็มความยาว ไม่คิดไม่ฝันว่าในจักรวาลนี้ จะมีสิ่งมีชีวิตที่มองโลกกว้างขนาดนี้ ความเชื่อมั่นของเขาติดปีกโบยบินสูงขึ้นไปทุกทีแบบไร้อนาคต งานเขียนเป็นงานไม่ง่ายดาย แต่ย่อหน้าเดียวยังทำให้เขาสะท้านสะเทือนไปถึงวัยเด็กอนุบาล เขามองโลกแคบเกินไป งานถึงจำกัดอยู่แค่ ‘มือกับร่าง’ งานเลยออกมา จึงมีแต่มือบางร่างบาง มือใหญ่กุมมือเล็ก อะไรประมาณนั้น
ทำไมเขาไม่คิดนะว่าอวัยวะทุกส่วนของร่างกายมันมี เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพความเท่าเทียมกัน
ทำไมตับ ไต ไส้ พุง กระดูก เส้นเอ็น เม็ดเลือด ถูกมองข้าม ทำไมเขาไม่นึกถึงข้อนี้มาก่อนเลย ทำไมต้องแต่ ‘มือใหญ่กุมมือหนา’ ‘ร่างใหญ่จับร่างบาง’ ความจริงมันต้องมี ‘ก้นใหญ่กอดปากเล็ก’ ‘ตาใหญ่มองตาเล็ก’ อย่างมีความหมาย ตาเล็กหยี ไล่อ่านตัวหนังสือเล็กบาง ให้ตายเถอะ.โรบินสัน บิกซี งานเขียนไม่ง่ายเลย
ปากกาลุกมานั่งเก้าอี้ ด้วยอาการเลื่อนลอย และก่อนที่เขาจะล้มละลายคิดไปมากกว่านี้ บรรณาธิการจอมโหดก็ฟาดคำพูดออกมาเต็มเบ้าหูเขาว่า
“อ๊ะ ๆ ๆ....กฎทุกข้อต้องมีข้อยกเว้น... คุณสามารถเอาอวัยวะไดก็ได้ไปเขียน มีข้อแม้ว่าห้ามเอาอวัยวะของสงวนไปเขียนเด็ดขาด นายบอกว่า ‘สะดือใหญ่วิ่งหนีหน้าแข้งเล็ก’ ได้ แต่ห้ามลามกทะลึ่งโจ้งแจ้งเด็ดขาด ข้อนี้ไม่ต้องยกตัวอย่างก็ได้ เข้าใจไหม”
“คร้าบ.....” นักเขียนหนุ่มน้ำตานองหน้า แต่เรื่องยังไม่ยุติแค่นี้ เพราะเสียงของบรรณธิการจอมโหดยังเหวี่ยงไปมาในอากาศราวแผ่นเหล็กมหึมา จนสะท้านสะเทือน
(มีต่อครับ)