ความมืด ความเงียบและความกลัว
ดรัสวันต์
คุณเคยไหม กับการที่ต้องตกไปอยู่ในสภาพที่รอบตัวช่างมืดมิด ไม่มีสรรพเสียงใดๆ เลย แล้วความกลัวก็เริ่มเข้าจู่โจม ความหนาวเยือกเกิดจากภายในที่คุณอธิบายไม่ได้ว่าทำไมจึงเกิดความกลัวชนิดนี้ ความกลัวที่ ไม่ใช่กลัวผี ไม่ใช่กลัวคนทำร้าย ไม่ใช่ความกลัวภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ณ ที่แห่งนี้ ฉันมาเที่ยวครั้งหนึ่งแล้วในช่วงเวลากลางวัน เป็นสถานที่ที่งดงามด้วยธรรมชาติ ทะเลสาบสีฟ้าสดใสราวกับน้ำในสระว่ายน้ำ ทะเลสาบกว้างใหญ่ที่ห้อมล้อมด้วยขุนเขาสูงงดงามราวภาพโปสการ์ด นักท่องเที่ยวต่างมายืน ณ จุดที่ฉันยืน เพื่อถ่ายภาพความงามนี้
ฉันยืนมอง อิ่มเอมกับความงดงามตรงหน้าที่ไม่เพียงแต่ถูกบันทึกไว้แล้วในกล้องถ่ายภาพ แต่มันบันทึกไว้ในใจที่หลับตาลงครั้งไร ฉันก็จะมีภาพนี้อยู่ในความทรงจำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผู้เขียนเป็นเจ้าของภาพนี้เอง
“คืนนี้ เราจะมาที่นี่” ฉันหันไปบอกเพื่อนร่วมทาง เขาพยักหน้ารับเพราะฉันเคยอธิบายไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า จากข้อมูลที่ฉันศึกษาสภาพภูมิศาสตร์ก่อนการเดินทางมาที่นี่นั้น บอกว่าที่บริเวณนี้มีท้องฟ้าที่มืดสนิทที่สุดในโลก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราจะได้เห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า เห็นทางช้างเผือก และถ้าโชคดี ภูมิอากาศอำนวยฉันอาจจะได้เห็นแสง Aurora ที่ฉันใฝ่ฝันว่าจะต้องเห็นแสงออโรร่าให้ได้สักครั้งในชีวิต
มีสองสิ่งที่ยืนยันว่าข้อมูลเรื่องที่บริเวณนี้มีท้องฟ้าที่มืดสนิทที่สุดในโลกนั้นจริงคือการมีศูนย์ศึกษาดวงดาวตั้งอยู่ไม่ไกล และมีป้ายบอกเส้นทางที่เขียนว่า Star Gazing พร้อมรูปดาวน้อยใหญ่
ฉันตื่นเต้นจริงๆ กับสิ่งที่ตั้งใจจะไปทำในคืนนี้
ฉันกับเพื่อนกลับไปพักผ่อนที่ที่พักเพื่อรอเวลาให้มืดสนิท แต่ขณะนี้ท้องฟ้าเป็นสีแดงของแสงอาทิตย์ลำสุดท้าย ฉันอดที่จะจ้องมองแล้วยกกล้องขึ้นบันทึกภาพนี้ไว้ไม่ได้ เพราะไม่ค่อยได้เห็นฟ้าแดงเช่นนี้บ่อยนัก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผู้เขียนเป็นเจ้าของภาพนี้เอง
เรารอเวลาจนกระทั่งสามทุ่มกว่า มองฟ้าแล้วมืดสนิทจริงๆ เราจึงออกเดินทางจากที่พักไปยังจุดชมวิวเมื่อตอนกลางวัน ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร
รถเก๋งคันเล็กๆ ของเราแล่นพ้นเขตเมืองที่สว่างไสวออกมาแล้ว บนถนนไฮเวย์ทั้งมืดและเงียบ ผ่านไปสิบนาทีแล้วยังไม่มีรถแล่นสวนมาสักคัน ไม่มีใครออกมาผจญภัยเหมือนเราสองคน เมืองนี้รถน้อยมากๆ ฉันมองไม่เห็นอะไรนอกกรอบของไฟสูงของรถ ยอมรับกับตัวเองอยู่ในใจว่าเริ่มหวาดหวั่นกับความมืด เงียบและเปลี่ยว เลยต้องพยายามหาเรื่องมาคุยกับเพื่อนร่วมทาง ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเขารู้สึกเหมือนฉันไหม
เราขับมาถึงทางแยก ตลอดทางที่แล่นมาเพิ่งมีรถสวนไปเพียงสองคัน เราเลี้ยวรถออกจากไฮเวย์สายหลักเข้าสู่เส้นทางที่จะพาเราไปยังจุดชมวิวริมทะเลสาบแห่งนั้น
ถนนเรียบโล่งและมืดสนิทตลอดสาย คืนนี้เป็นคืนแรม 14 ค่ำที่ฉันหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ตอนวางแผนท่องเที่ยวว่ายิ่งเป็นคืนเดือนมืด จะยิ่งได้เห็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้าและดวงดาวมากมาย ด้วยไม่มีแสงจันทร์มาแทรกแซง
แต่ความมืดและความเปลี่ยวของสถานที่กลับทำให้ความหวาดหวั่นในใจของฉันทวีมากขึ้น ถามตัวเองในใจหลายครั้งว่าเอาจริงหรือ กลับกันดีไหม
แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป
ในที่สุดเราก็มาถึงจุดชมวิวที่เป็นชะง่อนผายื่นออกไปในทะเลสาบ เราจอดรถที่กลางลานจอด ไม่มีใครนอกจากเราสองคน ฉันค่อยๆ ก้าวลงจากรถเผชิญกับอากาศหนาวเย็นที่ 2 องศาเซลเซียส แต่ความหนาวภายนอกไม่ยะเยือกเท่าหนาวภายใน ภาพจำในสมองคือ เบื้องหน้าเป็นทะเลสาบสีฟ้าสดที่ห้อมล้อมด้วยขุนเขาทะมึน ฉันระลึกภาพเหล่านี้จากความทรงจำ เพราะเบื้องหน้าคือความมืดสนิทที่มองไม่เห็นอะไรที่อยู่นอกลำแสงของไฟหน้ารถ
ฉันแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขอบคุณภาพจากกูเกิ้ล
“ทางช้างเผือก ! ” ฉันอุทานออกมาราวกับจะให้แน่ใจในสิ่งที่เห็น ฉันคงไม่ได้ตาฟาด หรือหลงลืมไปว่าฉันกำลังยืนอยู่กลางธรรมชาติและมองไปบนฟ้าจริงๆ ไม่ใช่กำลังนั่งอยู่ในท้องฟ้าจำลอง
“เห็นไหม นี่ล่ะ Milky way ทางช้างเผือก” ฉันบอกกับเพื่อนและชี้ให้เขาดู “ทางช้างเผือก ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ นะถ้าท้องฟ้าไม่มืดสนิทจริงๆ ”
มีดาวดวงหนึ่งที่โดดเด่นสุกสว่างกว่าทุกดวง
“โน่น ดาวศุกร์”
“โอ้โห ดวงใหญ่มากๆ เลย”
“อยู่บ้านเราไม่เคยเห็นดาวศุกร์ดวงใหญ่เท่านี้เลย อย่างกะมีใครเอาหลอดไฟ LED ไปติดไว้บนฟ้า”
“คืนนี้จะมีออโรร่าไหมนะ”
ฉันมองไปที่ขอบฟ้า ความหวังที่จะได้เห็นแสงใต้ช่างริบหรี่เหลือเกินทั้งๆ ที่มีสถิติบอกว่าบริเวณนี้เคยเกิดปรากฏการณ์แสงใต้ แต่การที่ได้เห็นทางช้างเผือก ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว
ฉันมองไปรอบตัวอีกครั้ง แม้มองไม่เห็นอะไร แต่ใจก็รู้ดีว่าต่ำลงไปคือความเวิ้งว้างของผืนน้ำดำมืด ไกลออกไปที่สุดขอบฟ้าคือขุนเขาดำทะมึน ฉันเริ่มรู้สึกเหมือนหลอนๆ ลมหนาวพัดมาจนฉันเยือกไปทั้งตัวแม้จะสวมหมวกและถุงมือขนแกะที่ช่วยให้อุ่นมากแล้วก็ตาม ตัดสินใจบอกกับเพื่อนเสียงสั่นๆ ว่า
“เรากลับกันเถอะ”
ฉันมองท้องฟ้าที่ระยิบระยับด้วยดวงดาวนับแสนนับล้านบนทางช้างเผือก (....ที่จะปรากฏเป็นแถบขมุกขมัวคล้ายเมฆของแสงสว่างสีขาว ซึ่งเกิดจากดาวฤกษ์จำนวนมากภายในดาราจักร ....วิกิพีเดีย)
แถบขมุกขมัวที่พาดผ่านท้องฟ้าจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่ง ช่างงดงาม ยิ่งใหญ่อลังการจนมนุษย์ที่ยืนอยู่ใต้ผืนดาวนี้รู้สึกตัวเล็กจ้อยลงเหลือเกิน
ฉันกลับเข้ามาสู่ความอบอุ่นของฮีทเตอร์ในรถ เราขับรถออกมาจากที่นั่น ฉันอยากจะขำตัวเองที่ขับรถมาไกลกว่า 20 กิโลเมตร เพื่อมาดูดาวเพียงสองนาทีแล้วกลับ แต่ก็ขำไม่ออก ไม่รู้จะบอกหรืออธิบายอย่างไรกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น
ความกลัวภายในใจของฉัน ไม่ได้กลัวผี ไม่ได้กลัวคน ไม่ได้กลัวพายุ ฝนตกฟ้าร้อง
อยากถามคุณว่า เมื่อต้องเผชิญกับความมืด ความเงียบสงัด กับความเปลี่ยวที่ราวกับรอบตัวไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย...คุณเคยรู้สึกกลัวอย่างฉันไหมคะ
ความมืด ความเงียบและความกลัว โดย ดรัสวันต์
คุณเคยไหม กับการที่ต้องตกไปอยู่ในสภาพที่รอบตัวช่างมืดมิด ไม่มีสรรพเสียงใดๆ เลย แล้วความกลัวก็เริ่มเข้าจู่โจม ความหนาวเยือกเกิดจากภายในที่คุณอธิบายไม่ได้ว่าทำไมจึงเกิดความกลัวชนิดนี้ ความกลัวที่ ไม่ใช่กลัวผี ไม่ใช่กลัวคนทำร้าย ไม่ใช่ความกลัวภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ณ ที่แห่งนี้ ฉันมาเที่ยวครั้งหนึ่งแล้วในช่วงเวลากลางวัน เป็นสถานที่ที่งดงามด้วยธรรมชาติ ทะเลสาบสีฟ้าสดใสราวกับน้ำในสระว่ายน้ำ ทะเลสาบกว้างใหญ่ที่ห้อมล้อมด้วยขุนเขาสูงงดงามราวภาพโปสการ์ด นักท่องเที่ยวต่างมายืน ณ จุดที่ฉันยืน เพื่อถ่ายภาพความงามนี้
ฉันยืนมอง อิ่มเอมกับความงดงามตรงหน้าที่ไม่เพียงแต่ถูกบันทึกไว้แล้วในกล้องถ่ายภาพ แต่มันบันทึกไว้ในใจที่หลับตาลงครั้งไร ฉันก็จะมีภาพนี้อยู่ในความทรงจำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“คืนนี้ เราจะมาที่นี่” ฉันหันไปบอกเพื่อนร่วมทาง เขาพยักหน้ารับเพราะฉันเคยอธิบายไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า จากข้อมูลที่ฉันศึกษาสภาพภูมิศาสตร์ก่อนการเดินทางมาที่นี่นั้น บอกว่าที่บริเวณนี้มีท้องฟ้าที่มืดสนิทที่สุดในโลก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราจะได้เห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า เห็นทางช้างเผือก และถ้าโชคดี ภูมิอากาศอำนวยฉันอาจจะได้เห็นแสง Aurora ที่ฉันใฝ่ฝันว่าจะต้องเห็นแสงออโรร่าให้ได้สักครั้งในชีวิต
มีสองสิ่งที่ยืนยันว่าข้อมูลเรื่องที่บริเวณนี้มีท้องฟ้าที่มืดสนิทที่สุดในโลกนั้นจริงคือการมีศูนย์ศึกษาดวงดาวตั้งอยู่ไม่ไกล และมีป้ายบอกเส้นทางที่เขียนว่า Star Gazing พร้อมรูปดาวน้อยใหญ่
ฉันตื่นเต้นจริงๆ กับสิ่งที่ตั้งใจจะไปทำในคืนนี้
ฉันกับเพื่อนกลับไปพักผ่อนที่ที่พักเพื่อรอเวลาให้มืดสนิท แต่ขณะนี้ท้องฟ้าเป็นสีแดงของแสงอาทิตย์ลำสุดท้าย ฉันอดที่จะจ้องมองแล้วยกกล้องขึ้นบันทึกภาพนี้ไว้ไม่ได้ เพราะไม่ค่อยได้เห็นฟ้าแดงเช่นนี้บ่อยนัก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เรารอเวลาจนกระทั่งสามทุ่มกว่า มองฟ้าแล้วมืดสนิทจริงๆ เราจึงออกเดินทางจากที่พักไปยังจุดชมวิวเมื่อตอนกลางวัน ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร
รถเก๋งคันเล็กๆ ของเราแล่นพ้นเขตเมืองที่สว่างไสวออกมาแล้ว บนถนนไฮเวย์ทั้งมืดและเงียบ ผ่านไปสิบนาทีแล้วยังไม่มีรถแล่นสวนมาสักคัน ไม่มีใครออกมาผจญภัยเหมือนเราสองคน เมืองนี้รถน้อยมากๆ ฉันมองไม่เห็นอะไรนอกกรอบของไฟสูงของรถ ยอมรับกับตัวเองอยู่ในใจว่าเริ่มหวาดหวั่นกับความมืด เงียบและเปลี่ยว เลยต้องพยายามหาเรื่องมาคุยกับเพื่อนร่วมทาง ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเขารู้สึกเหมือนฉันไหม
เราขับมาถึงทางแยก ตลอดทางที่แล่นมาเพิ่งมีรถสวนไปเพียงสองคัน เราเลี้ยวรถออกจากไฮเวย์สายหลักเข้าสู่เส้นทางที่จะพาเราไปยังจุดชมวิวริมทะเลสาบแห่งนั้น
ถนนเรียบโล่งและมืดสนิทตลอดสาย คืนนี้เป็นคืนแรม 14 ค่ำที่ฉันหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ตอนวางแผนท่องเที่ยวว่ายิ่งเป็นคืนเดือนมืด จะยิ่งได้เห็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้าและดวงดาวมากมาย ด้วยไม่มีแสงจันทร์มาแทรกแซง
แต่ความมืดและความเปลี่ยวของสถานที่กลับทำให้ความหวาดหวั่นในใจของฉันทวีมากขึ้น ถามตัวเองในใจหลายครั้งว่าเอาจริงหรือ กลับกันดีไหม
แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป
ในที่สุดเราก็มาถึงจุดชมวิวที่เป็นชะง่อนผายื่นออกไปในทะเลสาบ เราจอดรถที่กลางลานจอด ไม่มีใครนอกจากเราสองคน ฉันค่อยๆ ก้าวลงจากรถเผชิญกับอากาศหนาวเย็นที่ 2 องศาเซลเซียส แต่ความหนาวภายนอกไม่ยะเยือกเท่าหนาวภายใน ภาพจำในสมองคือ เบื้องหน้าเป็นทะเลสาบสีฟ้าสดที่ห้อมล้อมด้วยขุนเขาทะมึน ฉันระลึกภาพเหล่านี้จากความทรงจำ เพราะเบื้องหน้าคือความมืดสนิทที่มองไม่เห็นอะไรที่อยู่นอกลำแสงของไฟหน้ารถ
ฉันแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“ทางช้างเผือก ! ” ฉันอุทานออกมาราวกับจะให้แน่ใจในสิ่งที่เห็น ฉันคงไม่ได้ตาฟาด หรือหลงลืมไปว่าฉันกำลังยืนอยู่กลางธรรมชาติและมองไปบนฟ้าจริงๆ ไม่ใช่กำลังนั่งอยู่ในท้องฟ้าจำลอง
“เห็นไหม นี่ล่ะ Milky way ทางช้างเผือก” ฉันบอกกับเพื่อนและชี้ให้เขาดู “ทางช้างเผือก ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ นะถ้าท้องฟ้าไม่มืดสนิทจริงๆ ”
มีดาวดวงหนึ่งที่โดดเด่นสุกสว่างกว่าทุกดวง
“โน่น ดาวศุกร์”
“โอ้โห ดวงใหญ่มากๆ เลย”
“อยู่บ้านเราไม่เคยเห็นดาวศุกร์ดวงใหญ่เท่านี้เลย อย่างกะมีใครเอาหลอดไฟ LED ไปติดไว้บนฟ้า”
“คืนนี้จะมีออโรร่าไหมนะ”
ฉันมองไปที่ขอบฟ้า ความหวังที่จะได้เห็นแสงใต้ช่างริบหรี่เหลือเกินทั้งๆ ที่มีสถิติบอกว่าบริเวณนี้เคยเกิดปรากฏการณ์แสงใต้ แต่การที่ได้เห็นทางช้างเผือก ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว
ฉันมองไปรอบตัวอีกครั้ง แม้มองไม่เห็นอะไร แต่ใจก็รู้ดีว่าต่ำลงไปคือความเวิ้งว้างของผืนน้ำดำมืด ไกลออกไปที่สุดขอบฟ้าคือขุนเขาดำทะมึน ฉันเริ่มรู้สึกเหมือนหลอนๆ ลมหนาวพัดมาจนฉันเยือกไปทั้งตัวแม้จะสวมหมวกและถุงมือขนแกะที่ช่วยให้อุ่นมากแล้วก็ตาม ตัดสินใจบอกกับเพื่อนเสียงสั่นๆ ว่า
“เรากลับกันเถอะ”
ฉันมองท้องฟ้าที่ระยิบระยับด้วยดวงดาวนับแสนนับล้านบนทางช้างเผือก (....ที่จะปรากฏเป็นแถบขมุกขมัวคล้ายเมฆของแสงสว่างสีขาว ซึ่งเกิดจากดาวฤกษ์จำนวนมากภายในดาราจักร ....วิกิพีเดีย)
แถบขมุกขมัวที่พาดผ่านท้องฟ้าจากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่ง ช่างงดงาม ยิ่งใหญ่อลังการจนมนุษย์ที่ยืนอยู่ใต้ผืนดาวนี้รู้สึกตัวเล็กจ้อยลงเหลือเกิน
ฉันกลับเข้ามาสู่ความอบอุ่นของฮีทเตอร์ในรถ เราขับรถออกมาจากที่นั่น ฉันอยากจะขำตัวเองที่ขับรถมาไกลกว่า 20 กิโลเมตร เพื่อมาดูดาวเพียงสองนาทีแล้วกลับ แต่ก็ขำไม่ออก ไม่รู้จะบอกหรืออธิบายอย่างไรกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น
ความกลัวภายในใจของฉัน ไม่ได้กลัวผี ไม่ได้กลัวคน ไม่ได้กลัวพายุ ฝนตกฟ้าร้อง
อยากถามคุณว่า เมื่อต้องเผชิญกับความมืด ความเงียบสงัด กับความเปลี่ยวที่ราวกับรอบตัวไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย...คุณเคยรู้สึกกลัวอย่างฉันไหมคะ