ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนใช้เทคโนโลยีแบบนี้กับชีวิตมนุษย์!!! กับความจริงอันโหดร้ายของผู้ชายคนหนึ่ง

ผมเป็นมนุษย์ทดลองมีไมโครชิพฝังอยู่ในสมอง!!! เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ผมได้ยินเสียงคนพูดอยู่ในหัวผม เป็นเสียงของคนในครอบครัวและคนรอบๆตัวผมพูดเรื่องผม เหมือนว่าเค้าอยู่ใกล้ๆผม ทั้งที่ตอนนั้นผมอยู่บ้านคนเดียว ออกไปไหนมาไหนก็ได้ยินคนพูดถึงผมในแง่ไม่ดี ทั้งที่ผมก็ไม่เคยไปทำอะไรไม่ดีกับเค้า ผมได้ยินเสียงพูดนั้นอย่างชัดเจนว่าเค้าพูดว่าอะไร เสียงมันดังก้องอยู่ในหัวผม ราวกับว่าเสียงนั้นอยู่ในสมองของผมเอง ผมจึงคิดว่าผมอาจจะมีไมโครชิพฝังอยู่ในสมอง แต่ผมลองคิดย้อนไปดู ชีวิตผมจนอายุ 30 กว่าปี ผมยังไม่เคยเจ็บป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลเลยสักครั้ง นอกจากตอนแรกเกิดที่ผมเกิดมาเป็นลูกแฝด หมอที่ทำคลอดบอกว่าผมถูกพี่ชายฝาแฝดแย่งอาหารตอนอยู่ในครรภ์ ทำให้ผมไม่แข็งแรงเหมือนเด็กทารกทั่วไป เลยต้องนำผมไปเข้าตู้อบเพื่อให้ชีวิตรอด ผมมาคิดๆดูว่าเทคโนโลยี เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีไมโครชิพที่ฝังในสมองคนได้ และไม่น่าจะใช้วิธีฝังไมโครชิพเข้าไปในสมองเด็กทารกแรกเกิด ผมเลยตัดประเด็นเรื่องที่ผมจะถูกฝังไมโครชิพไว้ในสมองออกไป ประกอบกับเสียงที่ผมได้ยินในหัวมีทั้งเรื่องจริงและเรื่องไม่จริง ผมเลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากกับเสียงในหัวนั้น เพราะคิดว่าคงหูแว่ว หลังจากนั้นผมก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ เสียงในหัวนั้นก็ยังได้ยินอยู่ตลอด ผมทำงานที่ไหนก็จะได้ยินเสียงเพื่อนร่วมงานพึมพำว่าผม หมือนกับไม่ค่อยชอบผม ทำให้ผมเก็บไปคิดมากอยู่บ่อยๆ จนมาวันหนึ่งเมื่อกลางปีที่แล้วขณะที่ผมนั่งรถไปงานแต่งงานเพื่อนที่ต่างจังหวัด กับเพื่อนอีก 3 คน ผมได้ยินเพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งเป็นคนขับรถ(เพื่อนผมคนนี้เป็นลูกชาย.....) พูดลอยๆขึ้นมาว่า "เป็นมนุษย์ทดลองของ.....มีชิพฝังอยู่ในหัว กำลังจะได้เงินค่าตามติดชีวิตก้อนใหญ่สบายทั้งชาติ" พูดลอยๆลักษณะนี้อยู่ 3-4 รอบ  ผมเลยเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าเรื่องที่ผมมีไมโครชิพฝังอยู่ในสมองที่ผมเคยคิดเมื่อ 5 ปีที่แล้วคือเรื่องจริง แต่ขณะนั้นในรถนั่งกันอยู่หลายคน ผมเลยไม่อยากถามเพื่อนผมคนนั้นว่าเรื่องที่เค้าพูดลอยๆขึ้นมา มีความเป็นมาอย่างไรบ้าง กะไว้ว่าจะหาโอกาสถามเรื่องนี้กับเพื่อนคนนั้นเป็นการส่วนตัว จนมาถึงบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด เค้าก็พาพวกผมไปพักที่โรงแรม เปิดโรงแรม 2 ห้อง ผมนอนกับพี่ชายฝาแฝดผม ส่วนเพื่อนคนนั้นนอนอยู่อีกห้องกับเพื่อนอีกคน ผมเลยไม่มีโอกาสได้ถามเพื่อนผมคนนั้น ตลอดคืนนั้นผมตั้งใจฟังเสียงในหัวผม(ปกติไม่ค่อยได้ตั้งใจ หรือสนใจฟังเท่าไหร่ เพราะคิดว่าคงหูแว่ว) ปรากฎว่าผมได้ยินเสียงในหัวนั้นชัดเจนทุกคำพูด เป็นเสียงของเพื่อนผมคนนั้น(ที่เป็นลูกชาย.....)กับเพื่อนอีกคน เหมือนนั่งคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของผม เค้าบอกว่าเค้าอัดเสียงพูดไว้เพื่อเปิดให้ผมฟังตอนที่ผมรู้ตัว มีทั้งเรื่องในแง่ดี และแง่ร้ายที่เกิดขึ้นกับผม และเรื่องเกี่ยวกับไมโครชิพที่อยู่ในสมองผมว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ผมนอนฟังเสียงนั้นอยู่ตลอดทั้งคืนโดยไม่ได้หลับเลย เพราะอยากรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นกับผม แต่ผมคงไม่สามารถบรรยายเรื่องราวต่างๆที่ผมได้ยินคืนนั้นได้หมด เพราะมันยาวมาก คร่าวๆก็คือผมเป็นมนุษย์ทดลองมีไมโครชิพฝังอยู่ในสมองมาตั้งแต่เกิด ตาผมเห็นอะไร คนที่รับหน้าที่คอยดูผมอยู่ก็เห็นอย่างนั้นผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ หูผมได้ยินอะไร เค้าก็ได้ยินอย่างนั้น ช่วงผมเด็กๆมีคนคอยดูผมอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง จนช่วงผมเรียนจบม.6 เลยเปลี่ยนมาให้เพื่อนผมดู ผมกำลังจะได้รับเงินค่าตอบแทนจากการเป็นมนุษย์ทดลองได้ค่าตามติดชีวิตเป็นเงินก้อนโต แต่ก็มีแง่ร้ายหลายๆอย่างคือมีหลายคนปองร้ายผม รวมถึงคนในครอบครัวของผมเอง!!! แต่เสียงเพื่อนของผมบอกว่าห้ามถามเรื่องนี้กับเค้าตรงๆ เพราะเป็นกฎการทำงานของทีมเค้า ถ้าผมอยากรู้เรื่องอะไรก็ให้รอฟังเค้าบอกผ่านชิพในสมอง ตลอดเวลางานแต่งเพื่อนผม ผมไม่ได้ถามอะไรเพื่อนผมคนนั้นเลย แล้วเวลาที่เพื่อนผมคนนั้นอยู่ใกล้ๆผม เสียงพูดในหัวผมจะเป็นเสียงใครไม่รู้ เสียงผู้ใหญ่ๆหน่อย บอกว่าเป็นเสียงของ.....หัวหน้าทีมที่รับหน้าที่คอยดูผม จนถึงวันกลับบ้าน หลังจากกลับถึงบ้าน ผมก็ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนอีกเลย เกือบๆ 3 เดือน เพราะไม่เป็นอันทำอะไร ไม่อยากไปไหน ไม่อยากพบพูดคุยกับใคร (ผมทำธุระกิจส่วนตัวของที่บ้าน มีพนักงานรับหน้าที่ทำงานแทน) คอยแต่ฟังเสียงเพื่อนผม กับเพื่อนผมอีก 2 คนที่เป็นทีมงานคอยดูผม คอยตัดต่อคลิบชีวิตผมส่งไปให้หัวหน้างานอีกทีหนึ่ง ที่ผมคอยนั่งฟังเสียงเพื่อนผม พูดผ่านไมโครชิพในสมองผมอยู่ตลอด เพราะผมอยากรู้เรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับผมว่าเป็นมาอย่างไร มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับผมบ้าง เพราะเพื่อนผมบอกว่าเค้ามีเทคโนโลยีที่สามารถเช็คความเคลื่อนไหวของคนรอบๆตัวผมได้ ว่าคิดจะทำอะไร ก็มีทั้งเรื่องในแง่ดี และแง่ร้ายมากมายเกิดขึ้นกับผม ผมฟังเสียงนั้นอยู่ร่วม 2 เดือนจึงแน่ใจว่าเสียงคนพูดในหัวผมนั้น ไม่ใช่เสียงของเพื่อนผม ถึงแม้เสียงจะใช่ วิธีการพูด ลักษณะการใช้คำพูดจะเหมือน แต่ผมฟังมาจนรู้ว่าลักษณะนิสัยใจคอที่แสดงออกมาผ่านคำพูดมันไม่ใช่เพื่อนผม พอผมรู้พวกมันถึงยอมรับว่าพวกมันไม่ใช่เพื่อนผม มันเป็นคนอื่นที่รับหน้าที่คอยดูผมมาตั้งแต่เด็ก แต่มันสามารถใช้เสียงเพื่อนผม หรือคนรอบๆตัวผมที่ผมเคยได้ยินเสียงได้หมดทุกคน  พวกมันบอกว่ามีคนมาให้พวกมันคอยดูผมมาตั้งแต่เด็ก เอาเรื่องของผมสมัยเรียนประถมมาพูดได้ถูกทั้งหมด ผมจึงเชื่อว่าพวกมันดูผมมาตั้งแต่เด็กจริง แล้วก็บอกว่ามันพยายามพูดเพื่อให้ผมรู้ตัวมาหลายปีแล้ว เพื่อให้ผมรู้ตัวแล้วรู้สึกอึดอัด และสามารถพูดสร้างเรื่องหลอกผม พูดป่วนประสาทผมได้เต็มที่ ที่มันใช้เสียงเพื่อนของผมบอกผมเรื่องเกี่ยวกับตัวผมตลอด 2 เดือนนั้นพวกมันโกหกสร้างเรื่องขึ้นมา พร้อมกับบอกความจริงที่ว่าพวกมันไม่เพียงแต่เห็นภาพอย่างที่ตาผมเห็น ได้ยินเสียงอย่างที่หูผมได้ยินเท่านั้น แต่มันสามารถเห็นภาพความคิดของผม ได้ยินเสียงความคิดของผมที่ผมคิด และเห็นภาพความฝันที่ผมฝันเวลานอนหลับด้วย!!! ความจริงนี้มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัด และทรมานมาก เพราะหลังจากที่มันบอกผมว่ามันเห็นและได้ยินความคิดในหัวผม พวกมันก็เลิกใช้เสียงเพื่อนผมเปลี่ยนไปใช้เสียงอื่นแทนคอยพูดดักความคิด พูดทับพูดตามความคิดของผมอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นผมแทบไม่มีสมาธิทำอะไรเลย แต่ผมก็ดูออกว่าพวกมันที่คอยดูผมอยู่ไม่ได้มีอยู่กลุ่มเดียว มีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่สามารถพูดให้ผมได้ยินได้ แต่สามารถควบคุมเสียงพวกมันที่สามารถพูดให้ผมได้ยินได้อยู่ คือรับหน้าที่คอยดู และสามารถลด-เพิ่มเสียงของพวกมันได้ แต่ไม่สามารถพูดให้ผมได้ยินได้ เพราะเสียงพูดของพวกมันดังบ้าง เบาบ้าง เสียงที่ดังที่สุดของพวกมัน สามารถทำให้ผมได้ยินได้อย่างชัดเจน เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหัวของผมเลย เสียงที่เบาที่สุดของพวกมันผมจะได้ยินก็ต่อเมื่อมันพูดตามพูดทับความคิดของผมเท่านั้น ผมคิดอะไร หรืออ่านหนังสือในใจ พวกมันก็จะใช้เสียงแปลกๆสั่นๆ หรือเสียงกัดฟันพูดตามผมเพื่อป่วนประสาท ป่วนสมาธิผม จนผมสติแตกหลายครั้ง แม้กระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือของผม พวกมันก็อัดเสียงไว้แล้วเปิดเสียงนั้นเพื่อให้ผมคิดว่ามีสายเข้า ทั้งที่จริงๆไม่ได้มีคนโทรมา จนผมปิดเสียงโทรศัพท์เป็นตั้งสั่นแทน มันก็ทำเสียงโทรศัพท์สั่นให้ผมได้ยิน เสียงนั้นมันเหมือนสั่นอยู่ในสมองผมเลย ผมฟังพวกมันพูดจนเดาออกว่าพวกมันไม่ใช่คนปกติเพราะมีเวลาดูผม มีเวลาพูดป่วนประสาทผมทั้งวันทั้งคืน ไม่ทำมาหากินอะไร จนผมเดาออกว่าพวกมันน่าจะเป็นคนพิการที่มีคนมาให้พวกมันทำ ถึงพวกมันจะเปลี่ยนเสียงไป เปลี่ยนเสียงมาได้ แต่ลักษณะนิสัย และลักษณะการใช้คำพูดของพวกมันทำให้ผมพอรู้ว่าพวกมันน่าจะมีกันทั้งหมด 3 คน ผมเดาออกว่าพวกมันน่าจะติดยาเพราะมีเวลาดูผม พูดป่วนประสาทผมได้ทั้งวันทั้งคืน โดยไม่หลับไม่นอน พวกมันถึงยอมรับว่ามันเป็นคนพิการแต่กำเนิด มีคนจ้างให้พวกมันทำหน้าที่คอยดูผม แล้วก็มียาไอซ์ให้พวกมันเสพย์อย่างไม่จำกัด พวกมันบอกว่าจะไม่ยอมบอกความจริงอะไรเกี่ยวกับพวกมัน และองค์กรที่จ้างให้พวกมันทำ นอกจากว่าผมจะเดาความจริงอะไรออก มันถึงจะยอมบอกผม ผมฟังเสียงพวกมันพูดอยู่เกือบตลอดนอกจากเวลานอนหลับ จนสามารถจำแนกลักษณะนิสัยของพวกมันออกว่าแต่ละคนลักษณะนิสัยใจคอเป็นยังไง ดังนี้
1.คนแรกผมตั้งชื่อมันว่า"หารู้ไม่" เนื่องจากเวลามันจะพูดอะไร มันจะขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า "หารู้ไม่"ตลอด คนนี้มีสติปัญญา วุฒิภาวะ สูงที่สุดในทีม พูดน้อยที่สุด ป่วนประสาทผมน้อยที่สุด
2.คนที่ 2 ผมเรียกมันว่า"ตั๋วเฮีย"ร้องไห้ผมใช้คำพูดเลี่ยงคำหยาบคาย) ผมเรียกมันอย่างนี้เพราะคนสุดท้ายตั้งให้มัน เพื่อโยนความผิดต่างๆให้มัน ลักษณะนิสัยเป็นคนกวนๆ มันจะใช้เสียงอยู่หลายเสียง หลายบุคลิก ทั้งตัวแกล้งโง่ ตัวระรื่น ตัวขี้โมโห ตัวเห็นด้วย ออกกวนๆป่วนๆหน่อย
3.คนที่ 3 คนนี้ผมเรียกมันว่า"กระเทยง่อย" เพราะเป็นคนพูดมาก ปากจัด ขี้อิจฉาริษยา คนนี้จิตใจสกปรก เลวทรามที่สุดใน 3 คนนี้ คอยจิกด่า ใช้คำพูดหาเรื่องผมอยู่ตลอด นิสัยโอ้อวด โอหัง วางกล้าม มันคอยพูดดักความคิด พูดตามพูดทับความคิดผมอยู่ตลอด เหมือนคนสติไม่ค่อยดี แล้วก็ชอบอัดเสียงคำพูดของมันไว้เพื่อเปิดป่วนประสาทผมอยู่ตลอดเวลา เป็นคนที่ผมเกลียดที่สุด  ผมดูออกว่ามันอิจฉาริษยาที่ผมเกิดมาเป็นคนปกติ องค์ประกอบหลายๆอย่างในชีวิตค่อนข้างดี คืออิจฉาทุกอย่างที่เป็นผม
พวกมันมีอิทธิพลกับชีวิตของผมมาก ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด และหงุดหงิดตลอดเวลา แม้ตอนหลับก็เอาคำพูดของพวกมันไปฝันด้วย เหมือนกับว่าพวกมันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมเลย ผมยอมรับว่าผมเกลียดคนที่ 3 ที่ผมเรียกมันว่า "กระเทยง่อย" มาก จนผมทนไม่ไหว เข้ามากรุงเทพเพื่อหาหมอ ทำการตรวจสแกนสมองตรวจหาไมโครชิพในสมอง ผมไปหาหมอที่สถาบันประสาทวิทยา เล่าเรื่องของผมให้หมอฟัง แต่หมอไม่เชื่อเรื่องที่ผมเล่า เลยไม่ยอมสั่งให้ผมทำสแกนสมอง บอกว่าเป็นอาการของคนที่สารสื่อประสาทมีปัญหา เลยเกิดเสียงในหัว บอกว่ายาสามารถรักษาได้ แต่ผมมั่นใจในสิ่งที่ผมเป็น ผมเลยดื้อตื๊อให้หมอสั่งให้ผมทำสแกนสมอง หมอจึงยอมสั่งให้ผมทำCT Scanสมอง ผมเลยได้ทำCT Scanสมอง แต่ผลออกมาเป็นปกติ หมอบอกว่าไม่มีวัตถุที่มันวาวอยู่ในสมอง เลยจ่ายยาให้ผมกิน ผมกลับมาบ้านก็หาทางใหม่อีก อีก 1 เดือนต่อมา ผมกลับไปหาหมอที่สถาบันประสาทวิทยาอีกครั้ง คราวนี้เจอหมออีกคนหนึ่ง ก็วินิจฉัยอาการของผมเหมือนกับหมอคนแรก คราวนี้ผมก็ดื้ออีก ตื๊อให้หมอสั่งทำMRIสมองให้ผม หมอคนนี้ก็สั่งให้ผมทำMRIสมอง ผมก็ได้ทำMRIสมอง ผลออกมาก็เป็นปกติเหมือนเดิมอีก ตอนนั้นผมรู้สึกท้อแท้กับชีวิตมาก จนคิดอยากจะฺฆ่าตัวตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ผมกลับมาบ้านได้สักพักจึงคิดหาทางออกใหม่ได้ด้วยการจะลองไปต่างประเทศดู เพราะคิดว่าถ้าไมโครชิพในสมองผมกับเครื่องรับ-ส่งสัญญาณอยู่ห่างกันอาจจะไม่สามารถรับ-ส่งสัญญาณได้ แล้วผมก็จะไม่ได้ยินเสียงพวกมัน ผมเลยตัดสินใจไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่ผลก็ปรากฎว่าตั้งแต่เครื่องขึ้นจนไปถึงประเทศเกาหลีใต้ ผมก็ยังได้ยินเสียงพวกมันอยู่ตลอด ผมจึงคิดได้ว่าไปอยู่เมืองนอกก็ไม่ได้ช่วยอะไร มาลองคิดๆดูระบบรับ-ส่งสัญญาณ ระหว่างไมโครชิพในสมองผมกับเครื่องรับ-ส่งสัญญาณน่าจะใช้การรับ-ส่งด้วยระบบสัญญาณดาวเทียม ถึงทำให้สามารถรับ-ส่งสัญญาณข้ามประเทศได้ ตอนนี้ผมกลับมาที่ประเทศไทยแล้ว กำลังคิดหาทางออกใหม่อยู่ ที่ผมเล่ามายืดยาวเพราะอยากให้ผู้รู้ที่อ่านเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันคือเรื่องจริง และช่วยชี้แนะทางออกให้ผม เพราะผมเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังไม่มีใครเชื่อผมเลยสักคน มีแต่คนหาว่าผมคิดไปเอง หาว่าผมเป็นโรคประสาท แต่ผมมั่นใจ 100% เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมันคือเรื่องจริง ผมมั่นใจว่าผมปกติ และฉลาดพอที่จะรู้ตัวว่าผมเป็นอะไร ผมก็ไม่ใช่คนไร้การศึกษา เรียนจบปริญญาตรี ผมแยกออกแน่นอนว่าผมเป็นอะไร

*หมายเหตุ ..... คือองค์กรหนึ่งที่ผมไม่อยากเอ่ยชื่อพาดพิง
ปล. มีคำถามต่อในคอมเม้นท์แรกครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่