“มหกรรมหนังสือมือสอง” พลิกกอง , ส่อง , รื้อ หนังสือหายากและหนังสืองานศพ


มีใครกำลังตามหาหนังสือเก่าๆ อยู่บ้างไหม?  วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังว่าผมได้ไปชมและดมกลิ่นหนังสือเก่ามา เป็นหนังสือที่เคยมีเจ้าของมาก่อน  แต่ในวันนี้เจ้าของเก่าเหล่านั้นต้องการจะขายเพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความรู้จากหนังสือให้แก่นักอ่านท่านอื่น   ซึ่งหนังสือเก่าที่ผมไปเยี่ยมชมมาในวันนี้เป็นหนังสือหายาก , หนังสืองานศพ , หนังสือวิชาการ , หนังสือจากหน่วยงานต่างๆ , หนังสือจดหมายเหตุ ฯลฯ  มากมายและหลากหลายเหล่านี้คือกองหนังสือมากมายที่วางเตรียมไว้ในร้านหนังสือริมขอบฟ้า  ที่หัวมุมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นงานมหกรรมหนังสือมือสอง ที่ทางร้านจัดขึ้นมาเป็นงานประจำปี  ในปีนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 แล้ว








ผมโชคดีที่มีโอกาสได้พูดคุยกับพี่แมว เจ้าหน้าที่ฝ่ายขายประจำร้านหนังสือริมขอบฟ้า โดยพี่แมวเล่าให้ผมฟังว่า  หนังสือมือสองเหล่านี้ทางร้านฯ ได้มาจากเจ้าของเดิมโดยตรง  ซึ่งราคาขายของหนังสือแต่ละเล่มนั้นท่านเจ้าของเดิมเป็นคนตั้งราคาไว้  ทางร้านจะขายหนังสือมือสองเหล่านี้ตามราคาที่เจ้าของเดิมเขาอยากขาย ส่วนการนำหนังสือมาขายที่ร้านฯ นี้ถือว่าเป็นการฝากขาย ฝากวางหนังสือเพื่อขายโดยทางร้านฯ จะมีรายได้จากเปอร์เซ็นต์ที่ขายได้  ประมาณ 5 – 10 % ตามแต่ราคาของแต่ละเล่มว่าจะราคาถูกหรือแพง  ถ้าหนังสือราคาถูกทางร้านจะได้น้อยหน่อยประมาณ 5 %  แต่ถ้าหนังสือราคาแพงขึ้นมาทางร้านฯ ก็จะได้เปอร์เซ็นต์มากขึ้น   โดยสูงสุดจะได้ถึง 10 % จากราคาหลังปก

ที่ผมใช้คำว่า “ราคาหลังปก” นี้น่าจะเป็นคำศัพท์เฉพาะสำหรับหนังสือมือสองเลย  เพราะว่าหนังสือใหม่เราจะพูดถึงราคาขายว่าเป็นราคาหน้าปกเท่าไหร่  ซึ่งก็ดูแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจนดี  เพราะหนังสือมือสองส่วนใหญ่คนขายจะติดสติกเกอร์ราคาไว้ที่หลังปก  เรียกได้ว่าเป็นราคาที่อยู่หลังจากการอ่านมาแล้ว  เป็นคำนิยามศัพท์ที่ผมขอบัญญัติขึ้นใช้เองเลย






















อยากรู้เรื่องเมืองไทย  ต้องไปร้านหนังสือริมขอบฟ้า

ผมถามพี่แมวถึงประวัติความเป็นมาของร้านหนังสือริมขอบฟ้าว่ามีประวัติเป็นมาอย่างไร?  ซึ่งจริงๆ แล้วผมก็เคยมีโอกาสมาซื่อหนังสือที่ร้านฯ นี้อยู่ 2 ครั้งแต่ก็นานมากแล้ว  พี่แมวจึงเล่าให้ผมฟังว่า ร้านหนังสือริมขอบฟ้านี้เปิดมาเป็นปีที่ 15 แล้ว  โดยเริ่มก่อตั้งร้านเมื่อ ปี 2546  แล้วผมถามว่าร้านหนังสือฯ นี้จะอยู่ได้นานตลอดไปไหม?  พี่แมวก็ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่าไม่อาจจะตอบคำถามนี้ได้  เพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าปัจจุบันนี้คนขายหนังสือเล่มน้อยลง  อีกทั้งพื้นที่แห่งนี้  ที่ดินที่ตั้งเป็นร้านหนังสือริมขอบฟ้านี้เป็นสัญญาเช่า  ซึ่งก็บอกไม่ได้ว่าในอนาคตเจ้าของที่ดินเขาจะบอกเลิกสัญญาเช่าเอาที่ไปทำอย่างอื่นหรือไม่?

ผมฟังพี่แมวพูดแล้วก็รู้สึกเศร้าใจเหมือนกัน  เพราะร้านหนังสือริมขอบฟ้านี้ก็เป็นเหมือนเพื่อนร่วมทางที่ดีของผมเช่นกัน  ร้านหนังสือดีๆ แบบนี้ผมยินดีสมัครใจเป็นเพื่อนด้วยแน่ๆ  ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มาพบเจอกันบ่อยๆ แต่ผมก็ติดตามฟังข่าวคราวของเพื่อนร้านหนังสือร้านนี้มาโดยตลอด  และคำว่าเพื่อนในอีกนัยยะหนึ่งก็คือ  บ้านของผมอยู่ที่ฝั่งธนบุรี  หลายครั้งที่ผมนั่งหรือโหนรถเมล์กลับจากในเมืองจะไปข้ามสะพานพระปิ่นเกล้านั้น  เมื่อรถเมล์เลี้ยวเข้าวงกลมรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแล้วผมต้องคอยชะโงกหน้าไปทางซ้ายเพื่อมองร้านหนังสือแห่งนี้ตลอด  แล้วถ้าเกิดมีครั้งใดที่ผมมองไปแล้วไม่เห็นร้านหนังสือริมขอบฟ้า  ผมคงเสียใจมากแน่ๆ   เพราะผมเชื่อคำของนักวิชาการวรรณกรรมที่บอกว่า  จำนวนร้านหนังสือคือตัววัดอัตราความรู้ของคนในประเทศ  ถ้าในบ้านเรามีร้านหนังสือลดลงไปเรื่อยๆ ก็แสดงว่าคนในประเทศเราฉลาดน้อยลงตามไปด้วยแน่ๆ











แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่