ธรรมที่เป็นส่วนแห่งวิชชา
ภิกษุ ท. !
ธรรม ๒ อย่างเล่านี้ เป็นไปในส่วนแห่ง วิชชา
ธรรม ๒ อย่าง อะไรเล่า ? คือ สมถะ และ วิปัสสนา.
ภิกษุ ท. !
สมถะ ที่อบรมแล้ว ย่อมได้ประโยชน์อะไร ?
( สมถะที่อบรมแล้ว ) ย่อมอบรมจิต
จิตที่อบรมแล้วได้ประโยชน์อะไร ?
( จิตที่อบรมแล้ว ) ย่อมละราคะได้.
ภิกษุ ท. !
วิปัสสนาที่อบรมแล้ว ย่อมได้ประโยชน์อะไร ?
( วิปัสสนาที่อบรมแล้ว ) ย่อมอบรมปัญญา
ปัญญาที่อบรมแล้ว ได้ประโยชน์อะไร ?
( ปัญญาที่อบรมแล้ว ) ย่อมละอวิชชาได้.
ภิกษุ ท. !
จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น หรือ
ปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญ.
ภิกษุ ท. !
เพราะสำรอก ราคะ ได้ จึงชื่อว่า เจโตวิมุตติ
เพราะสำรอก อวิชชา ได้ จึงชื่อว่า ปัญญาวิมุตติ.
บาลี ทุก. อํ. ๒๐/๗๗-๗๘/๒๗๕-๒๗๖.
" ธรรม ที่ เป็น ส่วน แห่ง วิชชา "
ภิกษุ ท. !
ธรรม ๒ อย่างเล่านี้ เป็นไปในส่วนแห่ง วิชชา
ธรรม ๒ อย่าง อะไรเล่า ? คือ สมถะ และ วิปัสสนา.
ภิกษุ ท. !
สมถะ ที่อบรมแล้ว ย่อมได้ประโยชน์อะไร ?
( สมถะที่อบรมแล้ว ) ย่อมอบรมจิต
จิตที่อบรมแล้วได้ประโยชน์อะไร ?
( จิตที่อบรมแล้ว ) ย่อมละราคะได้.
ภิกษุ ท. !
วิปัสสนาที่อบรมแล้ว ย่อมได้ประโยชน์อะไร ?
( วิปัสสนาที่อบรมแล้ว ) ย่อมอบรมปัญญา
ปัญญาที่อบรมแล้ว ได้ประโยชน์อะไร ?
( ปัญญาที่อบรมแล้ว ) ย่อมละอวิชชาได้.
ภิกษุ ท. !
จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น หรือ
ปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญ.
ภิกษุ ท. !
เพราะสำรอก ราคะ ได้ จึงชื่อว่า เจโตวิมุตติ
เพราะสำรอก อวิชชา ได้ จึงชื่อว่า ปัญญาวิมุตติ.
บาลี ทุก. อํ. ๒๐/๗๗-๗๘/๒๗๕-๒๗๖.