เมื่อบุคคลนั้นเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐนี้อยู่อย่างนี้ ชื่อว่ามี สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔.........





[๘๒๙] เมื่อบุคคลนั้นเจริญอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐนี้อยู่อย่างนี้
ชื่อว่ามี  สติปัฏฐาน ๔  สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔  อินทรีย์ ๕  พละ ๕ โพชฌงค์ ๗   ถึงความเจริญบริบูรณ์


บุคคลนั้นย่อมมีธรรมทั้งสองดังนี้ คือ สมถะและวิปัสสนาคู่เคียงกันเป็นไป เขาชื่อว่า
กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ละธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง
เจริญธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง
ทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง

            

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน
มีข้อที่เรากล่าวไว้ว่า อุปาทานขันธ์ ๕ ได้แก่อุปาทานขันธ์ คือ  รูป คือเวทนา คือสัญญา คือสังขาร คือวิญญาณ
เหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง

            
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน
คือ  อวิชชาและภวตัณหา เหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง

            
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน
คือ  สมถะและวิปัสสนา เหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรเจริญด้วยปัญญาอันยิ่ง


ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นไฉน
คือ วิชชาและวิมุตติ เหล่านี้ชื่อว่าธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง ฯ



--------------------------------------------


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔  บรรทัดที่ ๑๐๖๑๖ - ๑๐๖๓๐.  หน้าที่  ๔๕๐ - ๔๕๑.
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=14&A=10616&Z=10630&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=825
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่