เป็นบันทึกย่อจาก มัวกลัวว่าถ้าอยากจะเป็นตัณหา ก็เลยไม่พัฒนาไปไหน โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
ไม่รับรองความถูกต้องใดๆทั้งสิ้น ทางที่ดีเชิญไปรับฟังก่อนต่อเองที่คลิปข้างล่าง
ชาวพุทธไทย บอกให้ละตัณหา
แต่ไม่ใช่ให้รอละตัณหา
มันต้องทำ มีสิ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่รอละตัณหา!!!
(เส้นชัย ไม่มาต้องไปหามัน)
สิ่งที่ต้องทำ... ต้องทำอะไร
นั่นก็คือ ฉันทะ
(ไม่ใช่เรื่องการมอบฉันทะนะจ๊ะ)
ฉันทะ ความพอใจ
อย่างวัดหรือพระที่เราเลื่อมใส เราก็คิดว่าน่าจะไปฟังเทศน์ เรียกว่าศรัทธา
ศรัทธานี่เป็นตัวเริ่มต้น
อยากไปฟัง... นี่คือ ฉันทะ เป็นตัวเริ่มต้นการกระทำ (หมายถึงการกระทำที่ดี)
ฉันทะต้องมี ไม่งั้นจะเริ่มอะไรไม่ได้เลย (นึกถึงท่านพาหิยะ)
ฉันทะเป็นคำกลางๆ คือ ความพอใจใฝ่ปราถนานี่จะดีก็ได้ ร้ายก็ได้
พอใจร้าย ก็กลายเป็นตัณหา (ตัณหาฉันทะ อกุศลฉันทะ)
อยากไปฟังธรรม ก็เป็น กุศลฉันทะ หรือธรรมฉันทะ
โดยเฉพาะอยากไปฟังธรรม ก็จะมีชื่อเฉพาะว่า กัตตุกัมมยตาฉันทะ ความปราถนาจะทำ(ไปฟังธรรม)
ตัณหาคือความอยาก แต่การกระทำนี่เป็นความจำใจ เช่น อยากอร่อย ก็ต้องกิน ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์
(ตรงนี้ค่อนข้างจะต้องเจาะลึกในเรื่องทุกข์นะจ๊ะ หายใจก็เป็นทุกข์นี่.... อะไรๆก็ทุกข์หมดนั่นแหละ)
ฉันทะที่ใช้ทั่วไป ก็เป็นการปรารถนาพอใจในการจะทำอะไรที่ดีๆ เช่น ไปฟังธรรม
หรืออะไรที่ยังไม่ดี อยากทำให้มันดี ก็เป็นฉันทะ
อย่างไปวัด เจอกระรอก
คนหนึ่งเห็นกระรอก ก็นึกอยากจะจับกระรอกไปกิน
อีกคนหนึ่ง เห็นกระรอกเหมือนกัน เห็นกระรอกวิ่งไปมา ก็รู้สึกถึงความรื่นรมย์สวยงาม ทำให้วัดมีชีวิตชีวา
ก็ขอให้กระรอกนี้มีสุขภาพแข็งแรง สวยงามต่อไป
คนที่หนึ่งมีตัณหา คนที่สองมีฉันทะ
หรือไปเจอสวนสวย คนแรกเจอบอกว่า น่าจะตัดเอาขาย ก็เป็นตัณหา
อีกคนมาเจอ ก็ชื่นชมความสวยงาม ถ้ามีโอกาสเราจะมาช่วยทำนุบำรุงต้นไม้ อย่างนี้เรียกฉันทะ
ตัณหาจะมีลักษณะแห่งตัวตน คือ อยากได้ อยากมี อยากเสพ เอามาบำรุงบำเรอตัวเอง
ฉันทะ จะเป็นการอยากเพื่อสภาวะของสิ่งนั้นๆเอง เช่น อยากให้พื้นสะอาด อยากให้คนมีสุขภาพแข็งแรง
อยากไปช่วย ไปแก้ไข ให้มันดีขึ้น เพื่อสิ่งๆนั้น หรือคนๆนั้น ไม่เกี่ยวกับตัวเรา
แม้แต่จะเป็นร่างกายของตนเอง เช่น อยากให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง เป็นไปเพื่อสภาวะของมันก็เป็นฉันทะ
(ตรงนี้ค่อนข้างแยกแยะยากแล้ว ต้องดูเรื่องความมีตัวตน)
พอมีฉันทะมากๆแล้ว ก็จะทำให้อะไรๆให้เจริญงอกงาม ทำอะไรก็ดี ทำงานก็ทำงานได้ดี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล เป็นจุดเริ่มต้น
ถ้าไม่มีฉันทะคงไม่มีใครไปไหน เช่นจะไปฟังธรรม ก็ไปฟังธรรมให้สำเร็จ ฉันทะก็จะหมดไปเอง
ความอยากเหมือนกัน แต่ฉันทะและตัณหาไม่เหมือนกัน
ฉันทะละได้ด้วยการทำให้สำเร็จ (สำเร็จอรหัตผลก็ละฉันทะได้)
พระท่านเป็นห่วงที่คนไทยแยกไม่ออกระหว่างตัณหากับฉันทะ
มักจะบอกว่า อย่าไปอยากอย่างนั้นอย่างนี้ คิดเป็นเป็นตัณหาไปหมด แยกออกจากฉันทะไม่เป็น
จึงย้ำอีกว่า อย่าไปรอละตัณหาอยู่ เร่งทำฉันทะซะ
อะไรที่มันดีก็ให้ทำไปเลย ย้ำอีกว่า ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล
ปัจจัยของตัณหาก็คืออวิชชา ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ
ฉันทะที่เป็นฝ่ายดี ก็เป็นกุศล ธรรมะ มีวิชชา มีปัญญาเป็นเหตุปัจจัย
อะไรที่ดี ที่เป็นประโยชน์ ปัญญารู้อย่างนี้ ก็เกิดฉันทะ ปัญญาเป็นเหตุให้เกิดฉันทะ
แม้แต่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แกนกลางของสิ่งเหล่านี้ก็เป็นฉันทะ
อยากให้เขามีสภาวะที่ดี มีความสุข อยากให้เขาพ้นทุกข์ อยากให้เขาดียิ่งๆขึ้นไป
อุเบกขาก็อยากเหมือนกัน... อยากให้เขาไม่ทำอะไรผิดพลาด อยากให้เขาตั้งอยู่ในความถูกต้อง
จึงไม่เมตตากรุณาแบบผิดๆ เสียๆหายๆ อุเบกขาจึงเป็นตัวหยุด ไม่ตามใจอะไรไปแบบนั้น
ก็หยุด ไม่ตามใจ ไม่เมตตากรุณาแบบเสียหาย ใช้ปัญญา
อุเบกขาต้องคู่กับปัญญาตลอด.. (ตรงนี้สำคัญนะ ไม่ใช่เฉยโง่)
ท่านแนะนำให้ปลูกฝังให้เด็กมีฉันทะ แล้วเรื่องเด็กเสเพล ยาเสพติด จะเบาบางไปเอง
ให้รู้จักฉันทะ ปลูกฝังฉันทะ ไม่ต้องไปมัวรอละตัณหาอยู่
ศรัทธาในสิ่งที่ดี ฉันทะก็จะเกิด พยายามทำให้มันสำเร็จ ปัญญาก็จะเกิดตามมา
*****************************************************
อยากเป็นพระอรหันต์จัง.. โดนตบคว่ำเลย อย่าอยาก... อยากมันเป็นตัณหา
งั้นกลับบ้านไปเล่นเกมก่อนแล้วกัน
อ้าว... ไหนว่าจะเป็นพระอรหันต์ ไม่ปฏิบัติจะได้หรือ....?
เฮ้ย... เอาไงแน่วะ ก็ไม่อยากไง ไม่อยากเป็นพระอรหันต์แล้วจะต้องไปปฏิบัติอะไรอีก
บ้าหรือเปล่าพี่!!!
พระอานาคามียังมีฉันทะเลยพี่จ๋า เขาไปละกันโน่น ตัวสุดท้าย
ฉันทะพาข้ามฝั่งแล้วก็ทิ้งได้ตอนนั้นเลย
มัวกลัวว่าถ้าอยากจะเป็นตัณหา ก็เลยไม่พัฒนาไปไหน โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ไม่รับรองความถูกต้องใดๆทั้งสิ้น ทางที่ดีเชิญไปรับฟังก่อนต่อเองที่คลิปข้างล่าง
ชาวพุทธไทย บอกให้ละตัณหา
แต่ไม่ใช่ให้รอละตัณหา
มันต้องทำ มีสิ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่รอละตัณหา!!!
(เส้นชัย ไม่มาต้องไปหามัน)
สิ่งที่ต้องทำ... ต้องทำอะไร
นั่นก็คือ ฉันทะ
(ไม่ใช่เรื่องการมอบฉันทะนะจ๊ะ)
ฉันทะ ความพอใจ
อย่างวัดหรือพระที่เราเลื่อมใส เราก็คิดว่าน่าจะไปฟังเทศน์ เรียกว่าศรัทธา
ศรัทธานี่เป็นตัวเริ่มต้น
อยากไปฟัง... นี่คือ ฉันทะ เป็นตัวเริ่มต้นการกระทำ (หมายถึงการกระทำที่ดี)
ฉันทะต้องมี ไม่งั้นจะเริ่มอะไรไม่ได้เลย (นึกถึงท่านพาหิยะ)
ฉันทะเป็นคำกลางๆ คือ ความพอใจใฝ่ปราถนานี่จะดีก็ได้ ร้ายก็ได้
พอใจร้าย ก็กลายเป็นตัณหา (ตัณหาฉันทะ อกุศลฉันทะ)
อยากไปฟังธรรม ก็เป็น กุศลฉันทะ หรือธรรมฉันทะ
โดยเฉพาะอยากไปฟังธรรม ก็จะมีชื่อเฉพาะว่า กัตตุกัมมยตาฉันทะ ความปราถนาจะทำ(ไปฟังธรรม)
ตัณหาคือความอยาก แต่การกระทำนี่เป็นความจำใจ เช่น อยากอร่อย ก็ต้องกิน ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์
(ตรงนี้ค่อนข้างจะต้องเจาะลึกในเรื่องทุกข์นะจ๊ะ หายใจก็เป็นทุกข์นี่.... อะไรๆก็ทุกข์หมดนั่นแหละ)
ฉันทะที่ใช้ทั่วไป ก็เป็นการปรารถนาพอใจในการจะทำอะไรที่ดีๆ เช่น ไปฟังธรรม
หรืออะไรที่ยังไม่ดี อยากทำให้มันดี ก็เป็นฉันทะ
อย่างไปวัด เจอกระรอก
คนหนึ่งเห็นกระรอก ก็นึกอยากจะจับกระรอกไปกิน
อีกคนหนึ่ง เห็นกระรอกเหมือนกัน เห็นกระรอกวิ่งไปมา ก็รู้สึกถึงความรื่นรมย์สวยงาม ทำให้วัดมีชีวิตชีวา
ก็ขอให้กระรอกนี้มีสุขภาพแข็งแรง สวยงามต่อไป
คนที่หนึ่งมีตัณหา คนที่สองมีฉันทะ
หรือไปเจอสวนสวย คนแรกเจอบอกว่า น่าจะตัดเอาขาย ก็เป็นตัณหา
อีกคนมาเจอ ก็ชื่นชมความสวยงาม ถ้ามีโอกาสเราจะมาช่วยทำนุบำรุงต้นไม้ อย่างนี้เรียกฉันทะ
ตัณหาจะมีลักษณะแห่งตัวตน คือ อยากได้ อยากมี อยากเสพ เอามาบำรุงบำเรอตัวเอง
ฉันทะ จะเป็นการอยากเพื่อสภาวะของสิ่งนั้นๆเอง เช่น อยากให้พื้นสะอาด อยากให้คนมีสุขภาพแข็งแรง
อยากไปช่วย ไปแก้ไข ให้มันดีขึ้น เพื่อสิ่งๆนั้น หรือคนๆนั้น ไม่เกี่ยวกับตัวเรา
แม้แต่จะเป็นร่างกายของตนเอง เช่น อยากให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง เป็นไปเพื่อสภาวะของมันก็เป็นฉันทะ
(ตรงนี้ค่อนข้างแยกแยะยากแล้ว ต้องดูเรื่องความมีตัวตน)
พอมีฉันทะมากๆแล้ว ก็จะทำให้อะไรๆให้เจริญงอกงาม ทำอะไรก็ดี ทำงานก็ทำงานได้ดี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล เป็นจุดเริ่มต้น
ถ้าไม่มีฉันทะคงไม่มีใครไปไหน เช่นจะไปฟังธรรม ก็ไปฟังธรรมให้สำเร็จ ฉันทะก็จะหมดไปเอง
ความอยากเหมือนกัน แต่ฉันทะและตัณหาไม่เหมือนกัน
ฉันทะละได้ด้วยการทำให้สำเร็จ (สำเร็จอรหัตผลก็ละฉันทะได้)
พระท่านเป็นห่วงที่คนไทยแยกไม่ออกระหว่างตัณหากับฉันทะ
มักจะบอกว่า อย่าไปอยากอย่างนั้นอย่างนี้ คิดเป็นเป็นตัณหาไปหมด แยกออกจากฉันทะไม่เป็น
จึงย้ำอีกว่า อย่าไปรอละตัณหาอยู่ เร่งทำฉันทะซะ
อะไรที่มันดีก็ให้ทำไปเลย ย้ำอีกว่า ธรรมทั้งปวงมีฉันทะเป็นมูล
ปัจจัยของตัณหาก็คืออวิชชา ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ
ฉันทะที่เป็นฝ่ายดี ก็เป็นกุศล ธรรมะ มีวิชชา มีปัญญาเป็นเหตุปัจจัย
อะไรที่ดี ที่เป็นประโยชน์ ปัญญารู้อย่างนี้ ก็เกิดฉันทะ ปัญญาเป็นเหตุให้เกิดฉันทะ
แม้แต่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แกนกลางของสิ่งเหล่านี้ก็เป็นฉันทะ
อยากให้เขามีสภาวะที่ดี มีความสุข อยากให้เขาพ้นทุกข์ อยากให้เขาดียิ่งๆขึ้นไป
อุเบกขาก็อยากเหมือนกัน... อยากให้เขาไม่ทำอะไรผิดพลาด อยากให้เขาตั้งอยู่ในความถูกต้อง
จึงไม่เมตตากรุณาแบบผิดๆ เสียๆหายๆ อุเบกขาจึงเป็นตัวหยุด ไม่ตามใจอะไรไปแบบนั้น
ก็หยุด ไม่ตามใจ ไม่เมตตากรุณาแบบเสียหาย ใช้ปัญญา
อุเบกขาต้องคู่กับปัญญาตลอด.. (ตรงนี้สำคัญนะ ไม่ใช่เฉยโง่)
ท่านแนะนำให้ปลูกฝังให้เด็กมีฉันทะ แล้วเรื่องเด็กเสเพล ยาเสพติด จะเบาบางไปเอง
ให้รู้จักฉันทะ ปลูกฝังฉันทะ ไม่ต้องไปมัวรอละตัณหาอยู่
ศรัทธาในสิ่งที่ดี ฉันทะก็จะเกิด พยายามทำให้มันสำเร็จ ปัญญาก็จะเกิดตามมา
*****************************************************
อยากเป็นพระอรหันต์จัง.. โดนตบคว่ำเลย อย่าอยาก... อยากมันเป็นตัณหา
งั้นกลับบ้านไปเล่นเกมก่อนแล้วกัน
อ้าว... ไหนว่าจะเป็นพระอรหันต์ ไม่ปฏิบัติจะได้หรือ....?
เฮ้ย... เอาไงแน่วะ ก็ไม่อยากไง ไม่อยากเป็นพระอรหันต์แล้วจะต้องไปปฏิบัติอะไรอีก
บ้าหรือเปล่าพี่!!!
พระอานาคามียังมีฉันทะเลยพี่จ๋า เขาไปละกันโน่น ตัวสุดท้าย
ฉันทะพาข้ามฝั่งแล้วก็ทิ้งได้ตอนนั้นเลย