หมายเหตุ! ที่เราตั้งประเภทของกระทู้เป็นกระทู้คำถามเพราะเรายังไม่ได้ยืนยันบัญชีกับเว็บไซด์พันธุ์ทิพย์
เราอยากแชร์ประสบการณ์และเชื่อว่าหลายๆ คนก็อยากมีธุรกิจของตัวเอง ดังนั้นขอให้พิจารณาให้ถี่ถ้วนและรอบคอบ เสียเวลาคิดหน้าคิดหลังอีกสักนิดจะได้ไม่ต้องมานั่งเครียดเหมือนเราทุกวันนี้ (ขออภัยเรื่องยาวหน่อยนะ)
แรกเริ่มเราก็เป็นพนักงานเงินเดือนธรรมดาๆ อาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ตอนปลายปี 2560 บริษัทที่เราทำงานอยู่ดันยุบแผนก เราเลยกลายเป็นคนตกงานแบบไม่ได้ตั้งใจ ที่ผ่านมาเราก็พอมีเก็บเงินอยู่บ้างจึงอยากลองหาธุรกิจส่วนตัวทำดู เราสนใจธุรกิจโฮสเทล จึงเริ่มหาที่หาทางตั้งแต่ต้นปี 2561 แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องเงินทุน จึงค่อนข้างจะหายากหน่อย เราเลยหางานควบคู่ไปด้วย
และแล้วเหมือนชะตากลั่นแกล้ง เราได้งานประจำ (เหมือนจะโชคดี) แต่เมื่อทำได้พักเราก็เจอประกาศเซ้งกิจการโฮสเทลหลังมช.ในเพจซื้อขายของเฟสบุ๊ก เลยลองติดต่อเจ้าของโพสนั้นไป เมื่อได้เข้าไปดูสถานที่จริงและคุยรายละเอียด เราก็สนใจจะลองลุยธุรกิจนี้ดู แต่งานประจำก็น่าเสียดาย เลยกลายเป็นการตัดสินใจครั้งที่ใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของเรา และเราตัดสินใจลาออกจากงานประจำและลุยธุรกิจโฮสเทล เลยจ่ายเงินมัดจำไปเป็นจำนวนห้าหมื่นบาทโดยโอนผ่านธนาคาร (ตัวเลขสมมติ)
นายหนึ่ง (นายสมมติ) เป็นคนที่ปล่อยเซ้งกิจการโฮสเทลให้เรา แต่พอนัดทำสัญญากันก็มีการเลื่อนไปเลื่อนมา* สุดท้ายได้ทำสัญญากัน แต่ปรากฎว่าเป็นการทำสัญญาเช่าช่วงโดยนายหนึ่งอ้างว่าเขามีสิทธิ์ในการปล่อยเช่าช่วงนี้ ด้วยความใจร้อนอยากทำธุรกิจ เราเลยไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี ทำสัญญาเช่าช่วงกับนายหนึ่งเรียบร้อย ลงวันที่ 17 พฤษภาคม (วันที่สมมติ) และเราตกลงกับนายหนึ่งว่าจะได้เข้าทำกิจการเมื่อเราจ่ายเงินส่วนที่เหลืออยู่เป็นจำนวนสามแสนหนึ่งหมื่นบาท (ตัวเลขสมมติ)
ซึ่งเราก็นัดเพื่อที่จะชำระเงินส่วนที่เหลือในสัปดาห์ต่อมา และจะได้เข้าดำเนินกิจการอย่างที่เราใฝ่ฝัน แต่นายหนึ่งก็เลื่อนนัดเราอีกและกล่าวอ้างว่า เจ้าของบ้านต้องการเลื่อนสัญญาเช่าให้ตรงกับต้นเดือน จึงขอนัดชำระเงินส่วนที่เหลือและให้เราเข้าดำเนินกิจการตอนปลายเดือนพฤษภาคมแทน เราเห็นว่ามันก็อีกไม่กี่วันจึงไม่ได้คิดอะไร และแล้วนายหนึ่งก็เลื่อนนัดอีกและกล่าวอ้างว่าตนได้เดินทางไปกรุงเทพฯ เนื่องจากต้องไปดูแลพ่อที่ป่วยอยู่ ทั้งนี้เราก็ได้เซ็นสัญญากับนายหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย แต่เราไม่ได้มีพยานมาเซ็นและไม่ได้ขอสำเนาบัตรประชาชนของนายหนึ่งไว้ (เนื่องจากไว้ใจ เพราะระหว่างที่คุยกันนายหนึ่งดูน่าเชื่อถือ)
จนกระทั่งวันที่ 1 มิถุนายน (วันที่สมมติ) เราก็ได้ชำระเงินส่วนที่เหลือโดยเงินสด** แต่นายหนึ่งก็อ้างกับเราอีกว่าเจ้าของบ้านจะทำการรีโนเวทตัวบ้านให้พร้อมทั้งโชว์แบบที่จะทำการรีโนเวทตัวบ้าน และใช้เวลาดำเนินการประมาณ 20 วัน เราจึงหลงเชื่อว่าเจ้าของบ้านจะรีโนเวทให้จริงๆ โดยระหว่าง 20 วันนี้เราก็เข้าไปเช็คสถานที่จริงตลอด ก็มีการรีโนเวทจริง*** และเราก็ขอพาสเวิร์ดสำหรับทำการเช็คอีเมล์และเว็บไซด์จัดการการบุ๊กกิ้งต่างๆ ซึ่งสามารถล๊อกอินเข้าไปได้ในครั้งแรก แต่ในวันถัดไปพาสเวิร์ดก็จะใช้ไม่ได้****
แต่แล้วเมื่อวันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ การรีโนเวทก็ยังเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่แล้วหน้าเพจเฟสบุ๊คของโฮสเทลก็แจ้งเตือนว่าเปิดให้บริการแล้ว เรานี่หน้าชาเลย เพราะเราก็ถือสัญญาเช่าอยู่ ทำไมโฮสเทลถึงได้เปิดดำเนินกิจการได้ล่ะ ? เราจึงติดต่อนายหนึ่งเพื่อสอบถามและนายหนึ่งอ้างว่าเจ้าของบ้านให้ลูกสาวไปเฝ้าระหว่างที่ทำการรีโนเวท ซึ่งระหว่างนี้มีลูกค้า walk in เข้ามา ลูกสาวเห็นว่าตัวห้องพักว่างอยู่จึงรับลูกค้าไว้ ส่วนหน้าเพจเฟสบุ๊กที่แจ้งว่าเปิดดำเนินกิจการนั้น ลูกสาวเป็นคนจัดการเพื่อทดสอบระบบ (ระบบอะไรฟระ ?) อีกทั้งยังมีส่วนที่ยังรีโนเวทไม่เรียบร้อยจึงยังไม่ให้เราเข้าดำเนินกิจการ
ซึ่งเราเองคิดว่ามันเริ่มแปลกๆ จึงนัดหมายนายหนึ่งเพื่อเข้าไปดูสถานที่จริง และเมื่อถึงวันนัดหมายนายหนึ่งก็ขอเลื่อนนัดอีก แต่เราบอกว่าเราใกล้ถึงโฮสเทลแล้วและยืนยันที่จะเข้าไปดูโฮสเทล นายหนึ่งจึงยอมมาตามนัดหมาย ซึ่งเมื่อมาถึงเราจะเข้าไปดูในตัวบ้าน นายหนึ่งก็ห้ามไว้และบอกว่าไม่อยากให้เข้าไปเพราะเขายังไม่ส่งมอบงานให้เรา เราเลยขอพาสเวิร์ดเข้าไปดูกล้องวงจรปิดผ่านมือถือเรา ซึ่งนายหนึ่งก็อ้างอีกว่ายังใช้ไม่ได้เพราะอินเตอร์เนตยังไม่ได้เชื่อม (ระหว่างการรีโนเวทน่าจะถูกระงับสัญญาณอินเตอร์เนต) แต่เราก็เช็คสัญญาณ wifi มันใช้ได้ นายหนึ่งจึงยอมล๊อกอินกล้องวงจรปิดให้เรา
เช้าวันรุ่งขึ้นเราพยายามล๊อกอินเพื่อเข้าดูกล้องวงจรปิด แต่ก็เข้าไม่ได้ (เหมือนพวกอีเมล์กับเว็บไซด์บุ๊กกิ้งต่างๆ) เราเลยสอบถามไปยังนายหนึ่ง ซึ่งนายหนึ่งก็อ้างว่าเป็นที่สัญญาณอินเตอร์เนตของที่โฮสเทล แต่เราคิดว่าเราโดนหลอกแน่ๆ เราจึงเริ่มสืบโดยไปสอบถามคนแถวนั้นว่าที่จริงแล้วบ้านหลังนี้เป็นของใคร สรุปได้ความมาว่า เจ้าของที่ดินชื่อนายตอ1 (นามสมมติ) ได้ให้นายตอ2 (นามสมมติ) เช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ต่อมานายตอ2 ได้ปล่อยให้นายหนึ่งเช่าช่วง โดยการเช่าช่วงนี้นายตอ1 รับทราบและอนุญาตให้ดำเนินการได้ ดังนั้นเราเลยติดต่อนายตอ2 และสอบถามข้อเท็จจริง ซึ่งได้ความว่านายหนึ่งไม่มีสิทธิ์ในการปล่อยเช่าช่วง นอกจากนี้นายตอ2 ก็ไม่ได้ให้ลูกสาวหรือใครมาดำเนินการรีโนเวทบ้าน
ซึ่งนายหนึ่งก็หลอกเราต่อว่า ตอนนี้ลูกสาวเจ้าของบ้านอยากดำเนินกิจการโฮสเทลเองแล้ว และนายหนึ่งก็จะพยายามเจรจากับเจ้าของบ้านว่าจะให้เราเข้าไปดำเนินกิจการ หรือ ไม่งั้นก็ถือว่าเจ้าของบ้านผิดสัญญา ก็จะให้เจ้าของบ้านคืนเงินให้นายหนึ่ง และนายหนึ่งก็คืนเงินให้เราอีกทอดหนึ่ง เราจึงสอบถามกับนายหนึ่งถึงตัวสัญญาที่นายหนึ่งทำกับนายตอ2 นายหนึ่งก็อ้างว่าสัญญาอยู่ที่แฟนเก่า และกำลังขอให้แฟนเก่าถ่ายรูปส่งกลับมาให้
ระหว่างนี้เราเลยปรีกษากับคนที่เรารู้จักคนที่ 1 แล้วเขาก็แนะนำว่าคดีในลักษณะนี้มักเป็นคดีแพ่ง ยากที่จะทำให้เป็นคดีอาญาได้ และเมื่อดูประวัติแล้วนายหนึ่งคนนี้เคยมีคดีลักษณะนี้อยู่ที่กรุงเทพฯ ตอนนี้น่าจะประกันตัวออกมา ต่อมาเราปรึกษากับคนที่เรารู้จักคนที่ 2 เขาก็แนะนำว่าตอนที่เราชำระเงินส่วนที่เหลือเป็นเงินสด เราไม่มีหลักฐานการชำระเงิน แถมสำเนาบัตรประชาชนของนายหนึ่งก็ไม่มีแนบในสัญญาอีก ไม่ว่าจะเป็นคดีทางแพ่งหรืออาญาก็น่ากลัวจะไม่ได้เงินคืน เราเลยคิดว่าเราควรอุดช่องโหว่พวกนี้ให้ได้ก่อนแจ้งความ
จากนั้นเราจึงติดต่อกับนายหนึ่งเพื่อให้นายหนึ่งเซ็นเอกสารหลักฐานการรับเงินและขอสำเนาบัตรประชาชนได้สำเร็จ (ส่วนวิธีการ ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ)
จากนั้นเราจึงเข้าไปติดต่อกับคนที่ดำเนินกิจการอยู่ ณ ปัจจุบัน และเมื่อคุยสอบถามแล้วได้ความว่า นายบี (นามสมมติ) เป็นผู้ที่ดำเนินกิจการโฮสเทลอยู่ปัจจุบัน ซึ่งได้ทำสัญญาเช่าช่วงกับนายหนึ่ง ลงวันที่ 20 พฤษภาคม (วันที่สมมติ) และได้เข้าไปดำเนินการรีโนเวทบ้านและเปิดกิจการโฮสเทลนี้ เราจึงอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราและให้นายบีติดต่อกับนายตอ2 เพื่อจะได้แก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเราก็คุยกับนายบีว่าเราไม่มีเจตจำนงที่จะอ้างสิทธิ์ในการถือครองโฮสเทลนี้ เพราะก็เข้าใจนายบีว่าลงทุนรีโนเวทไปก็เยอะแล้ว เพียงแต่อยากให้นายหนึ่งคืนเงินให้เราเท่านั้น
หลังจากนั้นเราจึงไปแจ้งความ ซึ่งเป็นไปตามที่คนที่เรารู้จักคนที่ 1 ให้ความเห็นไว้ว่า คดีนี้เป็นคดีทางแพ่ง กฎหมายเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปต้องรู้ และให้เราไปจ้างทนายฟ้องกันเอง ซึ่งความรู้สึกเราในตอนนั้นนี่ ดิ่งลงเหวมาก เหมือนเข้าใจความรู้สึกของคนจนที่ไม่มีทางสู้/คนที่ไม่มีความรู้ด้านกฎหมายเลย (เช่น คดีที่คนเก็บแผ่นซีดีจากกองขยะมาขาย) เพราะเงินเก็บที่เรามีก็หมดแล้ว งานก็ไม่มี ไม่รู้จะทำยังไงต่อ เลยปรึกษากับที่บ้านและได้เบอร์ติดต่อกับคนที่เรารู้จักคนที่ 3 และเมื่อได้คำปรึกษาแล้วจึงติดต่อกับนายตอ2 เพื่อขอสำเนาสัญญาเช่าระหว่างนายตอ2 กับนายหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เราแจ้งความเป็นคดีอาญาได้ เพราะในสัญญานี้จะต้องระบุว่าไม่อนุญาตให้นายหนึ่งนำโฮสเทลนี้มาปล่อยเช่าช่วงและแสดงให้เห็นว่านายหนึ่งเจตนาที่จะปกปิดข้อเท็จจริง แต่นายตอ2 ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงไม่ให้สำเนานี้กับเรา เราถึงกับน้ำตาตกใน
ระหว่างนี้นายหนึ่งได้ติดต่อเรา (ซึ่งเราก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่านายหนึ่งไม่เคยติดต่อเราเลยนับจากที่ได้เงินเราไป) และถามเราว่า เราได้เข้าไปคุยกับโฮสเทลมาหรือเปล่า ซึ่งเราก็ตอบกลับไปว่าเรารู้เรื่องหมดแล้ว และขอให้นายหนึ่งคืนเงินเรา ซึ่งนายหนึ่งก็ตอบกลับว่าจะคืนเงินให้เรา แต่ตลอดที่ผ่านมานายหนึ่งก็บ่ายเบี่ยงตลอด โกหกเราว่าพยายามรวบรวมเงินให้อยู่ รอผลกู้ธนาคารอยู่ ตามเงินจากลูกหนี้เก่าอยู่ กำลังจะเซ้งกิจการร้านเหล้า (ที่เชียงใหม่) เพื่อจะได้นำเงินมาคืนเรา เดี๋ยวจะพยายามหาเงินมาผ่อนคืนให้เราเดือนละหมื่น (ตัวเลขสมมติ) ซึ่งเราคิดว่านายหนึ่งก็หลอกเราเพื่อถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ เราคิดว่านายหนึ่งคงมีประสบการณ์แบบนี้เยอะและรู้ทางหนีทีไล่ รู้ว่าคดีแบบนี้มันจะเป็นคดีทางแพ่ง กว่าจะฟ้องร้องกันก็กินเวลาเป็นปี
จากนั้นคนที่เรารู้จักคนที่ 4 ก็แนะนำให้เราลองขอสัญญานี้กับแฟนเก่าของนายหนึ่ง เมื่อติดต่อไปได้ เขาก็บ่ายเบี่ยงและอ้างว่าเขาไม่มีสัญญานั้นแล้ว (เราก็ไม่แน่ใจว่ามีส่วนรู้เห็นกับนายหนึ่งไหม แต่ในใจเราคิดว่าไม่น่าจะมีส่วนร่วม) ซึ่งระหว่างนี้เราก็พยายามไปแจ้งความอีก 2 ครั้ง (เปลี่ยนร้อยเวร เผื่อจะรับแจ้ง ซึ่งผลก็ยังเป็นลบ เพราะไม่มีหลักฐานสัญญาระหว่างนายตอ2 กับนายหนึ่ง) และแล้วคนที่เรารู้จักคนที่ 3 ก็แนะนำให้เรารู้จักคนที่เรารู้จักคนที่ 4 เขาก็แนะนำว่าคดีนี้เป็นคดีอาญาได้ เพราะเห็นได้ชัดว่านายหนึ่งเจตนาหลอกเอาเงินเราตั้งแต่แรก โดยทำสัญญากับเราลงวันที่ 17 พฤษภาคม และ ทำสัญญากับนายบีลงวันที่ 20 พฤษภาคมและนายบีได้เขาดำเนินกิจการ หลังจากนั้นยังหลอกเอาเงินเราส่วนที่เหลืออีก ณ วันที่ 1 มิถุนายน
เห็นดังนี้แล้ว เราจึงไปแจ้งความ โดยครั้งนี้เป็นความพยายามแจ้งความครั้งที่ 4 และเราแจ้งความได้สำเร็จเป็นคดีอาญา ซึ่งตามกระบวนการแล้วจะออกหมายเรียกเพื่อให้ผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหา หากผู้ต้องหาไม่มารับทราบข้อกล่าวหา จึงจะออกหมายเรียกครั้งที่สอง และหากไม่มาตามหมายเรียกครั้งที่สองนี้แล้วจึงจะออกหมายจับ และดำเนินการฟ้องศาลเพื่อตัดสินคดีเป็นลำดับถัดไป
นับจากที่เราจับโกหกได้ นายหนึ่งก็ยังไม่คืนเงินแม้แต่บาทเดียว แถมที่เราพอจะรู้เพิ่มเติมก็คือ 1) นายบีก็ยังไม่ได้เงินคืนจากนายหนึ่ง และได้ดำเนินการฟ้องเป็นคดีทางแพ่งแล้ว คาดว่าจะฟ้องยึดทรัพย์สินแต่คาดว่านายหนึ่งไม่มีทรัพย์สินให้ยึด (ร้านเหล้าที่ดำเนินกิจการ เป็นชื่อแฟนใหม่) 2) พนักงานที่ร้านเหล้าของนายหนึ่งบางส่วนก็ไม่ได้รับค่าจ้าง 3) นายหนึ่งเคยยืมเงินจากเพื่อนน้องที่รู้จักกันและเท่าที่รู้ก็คือยังไม่คืน และคงจะมีอื่นๆ อีกมากที่เราไม่รู้ ทั้งนี้เราไม่อยากให้คนอื่นโดนหลอกเหมือนเราอีก เราเลยมาแชร์ประสบการณ์นี้ไว้ ยังไงก็ขอบคุณที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้
ปล. ทั้งนี้ขอให้เรื่องราวของเราเป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจ ต้องอย่าใจร้อนและต้องรอบคอบมากๆ คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนจะดำเนินการอะไรสักอย่าง ทุกอย่างต้องมีหลักฐานครบถ้วนโดยเฉพาะเรื่องเงินและการทำสัญญา
ปล2. ขอย้ำว่า ชื่อที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นนามสมมติ ตัวเลขที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นตัวเลขสมมติ วันที่ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นวันที่สมมติ
ปล3. การเล่าเรื่องของเราเป็นการเล่าแบบสรุปๆ หากตรงไหนบกพร้องหรืออ่านไม่เข้าใจก็ขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย
ปล4. ขอขอบคุณคนที่เรารู้จักผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเรา (เนื่องจากบางท่านไม่เหมาะสมที่จะกล่าวอ้างถึง จึงไม่ขออธิบายเพิ่มเติมในส่วนนี้)
*ที่นายหนึ่งเลื่อนการทำสัญญากับเรา เพราะนายหนึ่งกำลังดีลกับอีกคนที่ต้องการเซ้งโฮสเทลนี้
**แนะนำว่าการชำระเงิน ควรโอนผ่านธนาคารดีที่สุด เพราะจะมีหลักฐานยืนยันได้
***การรีโนเวทที่เกิดขี้น ดำเนินการโดยนายบี
****นายบีน่าจะเป็นคนเปลี่ยนพาสเวิร์ด (เพราะว่าเขาได้เขาดำเนินกิจการแล้ว)
เตือนภัย เชียงใหม่ โดนหลอกเอาเงิน ทำธุรกิจ
เราอยากแชร์ประสบการณ์และเชื่อว่าหลายๆ คนก็อยากมีธุรกิจของตัวเอง ดังนั้นขอให้พิจารณาให้ถี่ถ้วนและรอบคอบ เสียเวลาคิดหน้าคิดหลังอีกสักนิดจะได้ไม่ต้องมานั่งเครียดเหมือนเราทุกวันนี้ (ขออภัยเรื่องยาวหน่อยนะ)
แรกเริ่มเราก็เป็นพนักงานเงินเดือนธรรมดาๆ อาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ตอนปลายปี 2560 บริษัทที่เราทำงานอยู่ดันยุบแผนก เราเลยกลายเป็นคนตกงานแบบไม่ได้ตั้งใจ ที่ผ่านมาเราก็พอมีเก็บเงินอยู่บ้างจึงอยากลองหาธุรกิจส่วนตัวทำดู เราสนใจธุรกิจโฮสเทล จึงเริ่มหาที่หาทางตั้งแต่ต้นปี 2561 แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องเงินทุน จึงค่อนข้างจะหายากหน่อย เราเลยหางานควบคู่ไปด้วย
และแล้วเหมือนชะตากลั่นแกล้ง เราได้งานประจำ (เหมือนจะโชคดี) แต่เมื่อทำได้พักเราก็เจอประกาศเซ้งกิจการโฮสเทลหลังมช.ในเพจซื้อขายของเฟสบุ๊ก เลยลองติดต่อเจ้าของโพสนั้นไป เมื่อได้เข้าไปดูสถานที่จริงและคุยรายละเอียด เราก็สนใจจะลองลุยธุรกิจนี้ดู แต่งานประจำก็น่าเสียดาย เลยกลายเป็นการตัดสินใจครั้งที่ใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของเรา และเราตัดสินใจลาออกจากงานประจำและลุยธุรกิจโฮสเทล เลยจ่ายเงินมัดจำไปเป็นจำนวนห้าหมื่นบาทโดยโอนผ่านธนาคาร (ตัวเลขสมมติ)
นายหนึ่ง (นายสมมติ) เป็นคนที่ปล่อยเซ้งกิจการโฮสเทลให้เรา แต่พอนัดทำสัญญากันก็มีการเลื่อนไปเลื่อนมา* สุดท้ายได้ทำสัญญากัน แต่ปรากฎว่าเป็นการทำสัญญาเช่าช่วงโดยนายหนึ่งอ้างว่าเขามีสิทธิ์ในการปล่อยเช่าช่วงนี้ ด้วยความใจร้อนอยากทำธุรกิจ เราเลยไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี ทำสัญญาเช่าช่วงกับนายหนึ่งเรียบร้อย ลงวันที่ 17 พฤษภาคม (วันที่สมมติ) และเราตกลงกับนายหนึ่งว่าจะได้เข้าทำกิจการเมื่อเราจ่ายเงินส่วนที่เหลืออยู่เป็นจำนวนสามแสนหนึ่งหมื่นบาท (ตัวเลขสมมติ)
ซึ่งเราก็นัดเพื่อที่จะชำระเงินส่วนที่เหลือในสัปดาห์ต่อมา และจะได้เข้าดำเนินกิจการอย่างที่เราใฝ่ฝัน แต่นายหนึ่งก็เลื่อนนัดเราอีกและกล่าวอ้างว่า เจ้าของบ้านต้องการเลื่อนสัญญาเช่าให้ตรงกับต้นเดือน จึงขอนัดชำระเงินส่วนที่เหลือและให้เราเข้าดำเนินกิจการตอนปลายเดือนพฤษภาคมแทน เราเห็นว่ามันก็อีกไม่กี่วันจึงไม่ได้คิดอะไร และแล้วนายหนึ่งก็เลื่อนนัดอีกและกล่าวอ้างว่าตนได้เดินทางไปกรุงเทพฯ เนื่องจากต้องไปดูแลพ่อที่ป่วยอยู่ ทั้งนี้เราก็ได้เซ็นสัญญากับนายหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย แต่เราไม่ได้มีพยานมาเซ็นและไม่ได้ขอสำเนาบัตรประชาชนของนายหนึ่งไว้ (เนื่องจากไว้ใจ เพราะระหว่างที่คุยกันนายหนึ่งดูน่าเชื่อถือ)
จนกระทั่งวันที่ 1 มิถุนายน (วันที่สมมติ) เราก็ได้ชำระเงินส่วนที่เหลือโดยเงินสด** แต่นายหนึ่งก็อ้างกับเราอีกว่าเจ้าของบ้านจะทำการรีโนเวทตัวบ้านให้พร้อมทั้งโชว์แบบที่จะทำการรีโนเวทตัวบ้าน และใช้เวลาดำเนินการประมาณ 20 วัน เราจึงหลงเชื่อว่าเจ้าของบ้านจะรีโนเวทให้จริงๆ โดยระหว่าง 20 วันนี้เราก็เข้าไปเช็คสถานที่จริงตลอด ก็มีการรีโนเวทจริง*** และเราก็ขอพาสเวิร์ดสำหรับทำการเช็คอีเมล์และเว็บไซด์จัดการการบุ๊กกิ้งต่างๆ ซึ่งสามารถล๊อกอินเข้าไปได้ในครั้งแรก แต่ในวันถัดไปพาสเวิร์ดก็จะใช้ไม่ได้****
แต่แล้วเมื่อวันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ การรีโนเวทก็ยังเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ แต่แล้วหน้าเพจเฟสบุ๊คของโฮสเทลก็แจ้งเตือนว่าเปิดให้บริการแล้ว เรานี่หน้าชาเลย เพราะเราก็ถือสัญญาเช่าอยู่ ทำไมโฮสเทลถึงได้เปิดดำเนินกิจการได้ล่ะ ? เราจึงติดต่อนายหนึ่งเพื่อสอบถามและนายหนึ่งอ้างว่าเจ้าของบ้านให้ลูกสาวไปเฝ้าระหว่างที่ทำการรีโนเวท ซึ่งระหว่างนี้มีลูกค้า walk in เข้ามา ลูกสาวเห็นว่าตัวห้องพักว่างอยู่จึงรับลูกค้าไว้ ส่วนหน้าเพจเฟสบุ๊กที่แจ้งว่าเปิดดำเนินกิจการนั้น ลูกสาวเป็นคนจัดการเพื่อทดสอบระบบ (ระบบอะไรฟระ ?) อีกทั้งยังมีส่วนที่ยังรีโนเวทไม่เรียบร้อยจึงยังไม่ให้เราเข้าดำเนินกิจการ
ซึ่งเราเองคิดว่ามันเริ่มแปลกๆ จึงนัดหมายนายหนึ่งเพื่อเข้าไปดูสถานที่จริง และเมื่อถึงวันนัดหมายนายหนึ่งก็ขอเลื่อนนัดอีก แต่เราบอกว่าเราใกล้ถึงโฮสเทลแล้วและยืนยันที่จะเข้าไปดูโฮสเทล นายหนึ่งจึงยอมมาตามนัดหมาย ซึ่งเมื่อมาถึงเราจะเข้าไปดูในตัวบ้าน นายหนึ่งก็ห้ามไว้และบอกว่าไม่อยากให้เข้าไปเพราะเขายังไม่ส่งมอบงานให้เรา เราเลยขอพาสเวิร์ดเข้าไปดูกล้องวงจรปิดผ่านมือถือเรา ซึ่งนายหนึ่งก็อ้างอีกว่ายังใช้ไม่ได้เพราะอินเตอร์เนตยังไม่ได้เชื่อม (ระหว่างการรีโนเวทน่าจะถูกระงับสัญญาณอินเตอร์เนต) แต่เราก็เช็คสัญญาณ wifi มันใช้ได้ นายหนึ่งจึงยอมล๊อกอินกล้องวงจรปิดให้เรา
เช้าวันรุ่งขึ้นเราพยายามล๊อกอินเพื่อเข้าดูกล้องวงจรปิด แต่ก็เข้าไม่ได้ (เหมือนพวกอีเมล์กับเว็บไซด์บุ๊กกิ้งต่างๆ) เราเลยสอบถามไปยังนายหนึ่ง ซึ่งนายหนึ่งก็อ้างว่าเป็นที่สัญญาณอินเตอร์เนตของที่โฮสเทล แต่เราคิดว่าเราโดนหลอกแน่ๆ เราจึงเริ่มสืบโดยไปสอบถามคนแถวนั้นว่าที่จริงแล้วบ้านหลังนี้เป็นของใคร สรุปได้ความมาว่า เจ้าของที่ดินชื่อนายตอ1 (นามสมมติ) ได้ให้นายตอ2 (นามสมมติ) เช่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ต่อมานายตอ2 ได้ปล่อยให้นายหนึ่งเช่าช่วง โดยการเช่าช่วงนี้นายตอ1 รับทราบและอนุญาตให้ดำเนินการได้ ดังนั้นเราเลยติดต่อนายตอ2 และสอบถามข้อเท็จจริง ซึ่งได้ความว่านายหนึ่งไม่มีสิทธิ์ในการปล่อยเช่าช่วง นอกจากนี้นายตอ2 ก็ไม่ได้ให้ลูกสาวหรือใครมาดำเนินการรีโนเวทบ้าน
ซึ่งนายหนึ่งก็หลอกเราต่อว่า ตอนนี้ลูกสาวเจ้าของบ้านอยากดำเนินกิจการโฮสเทลเองแล้ว และนายหนึ่งก็จะพยายามเจรจากับเจ้าของบ้านว่าจะให้เราเข้าไปดำเนินกิจการ หรือ ไม่งั้นก็ถือว่าเจ้าของบ้านผิดสัญญา ก็จะให้เจ้าของบ้านคืนเงินให้นายหนึ่ง และนายหนึ่งก็คืนเงินให้เราอีกทอดหนึ่ง เราจึงสอบถามกับนายหนึ่งถึงตัวสัญญาที่นายหนึ่งทำกับนายตอ2 นายหนึ่งก็อ้างว่าสัญญาอยู่ที่แฟนเก่า และกำลังขอให้แฟนเก่าถ่ายรูปส่งกลับมาให้
ระหว่างนี้เราเลยปรีกษากับคนที่เรารู้จักคนที่ 1 แล้วเขาก็แนะนำว่าคดีในลักษณะนี้มักเป็นคดีแพ่ง ยากที่จะทำให้เป็นคดีอาญาได้ และเมื่อดูประวัติแล้วนายหนึ่งคนนี้เคยมีคดีลักษณะนี้อยู่ที่กรุงเทพฯ ตอนนี้น่าจะประกันตัวออกมา ต่อมาเราปรึกษากับคนที่เรารู้จักคนที่ 2 เขาก็แนะนำว่าตอนที่เราชำระเงินส่วนที่เหลือเป็นเงินสด เราไม่มีหลักฐานการชำระเงิน แถมสำเนาบัตรประชาชนของนายหนึ่งก็ไม่มีแนบในสัญญาอีก ไม่ว่าจะเป็นคดีทางแพ่งหรืออาญาก็น่ากลัวจะไม่ได้เงินคืน เราเลยคิดว่าเราควรอุดช่องโหว่พวกนี้ให้ได้ก่อนแจ้งความ
จากนั้นเราจึงติดต่อกับนายหนึ่งเพื่อให้นายหนึ่งเซ็นเอกสารหลักฐานการรับเงินและขอสำเนาบัตรประชาชนได้สำเร็จ (ส่วนวิธีการ ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ)
จากนั้นเราจึงเข้าไปติดต่อกับคนที่ดำเนินกิจการอยู่ ณ ปัจจุบัน และเมื่อคุยสอบถามแล้วได้ความว่า นายบี (นามสมมติ) เป็นผู้ที่ดำเนินกิจการโฮสเทลอยู่ปัจจุบัน ซึ่งได้ทำสัญญาเช่าช่วงกับนายหนึ่ง ลงวันที่ 20 พฤษภาคม (วันที่สมมติ) และได้เข้าไปดำเนินการรีโนเวทบ้านและเปิดกิจการโฮสเทลนี้ เราจึงอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราและให้นายบีติดต่อกับนายตอ2 เพื่อจะได้แก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเราก็คุยกับนายบีว่าเราไม่มีเจตจำนงที่จะอ้างสิทธิ์ในการถือครองโฮสเทลนี้ เพราะก็เข้าใจนายบีว่าลงทุนรีโนเวทไปก็เยอะแล้ว เพียงแต่อยากให้นายหนึ่งคืนเงินให้เราเท่านั้น
หลังจากนั้นเราจึงไปแจ้งความ ซึ่งเป็นไปตามที่คนที่เรารู้จักคนที่ 1 ให้ความเห็นไว้ว่า คดีนี้เป็นคดีทางแพ่ง กฎหมายเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปต้องรู้ และให้เราไปจ้างทนายฟ้องกันเอง ซึ่งความรู้สึกเราในตอนนั้นนี่ ดิ่งลงเหวมาก เหมือนเข้าใจความรู้สึกของคนจนที่ไม่มีทางสู้/คนที่ไม่มีความรู้ด้านกฎหมายเลย (เช่น คดีที่คนเก็บแผ่นซีดีจากกองขยะมาขาย) เพราะเงินเก็บที่เรามีก็หมดแล้ว งานก็ไม่มี ไม่รู้จะทำยังไงต่อ เลยปรึกษากับที่บ้านและได้เบอร์ติดต่อกับคนที่เรารู้จักคนที่ 3 และเมื่อได้คำปรึกษาแล้วจึงติดต่อกับนายตอ2 เพื่อขอสำเนาสัญญาเช่าระหว่างนายตอ2 กับนายหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เราแจ้งความเป็นคดีอาญาได้ เพราะในสัญญานี้จะต้องระบุว่าไม่อนุญาตให้นายหนึ่งนำโฮสเทลนี้มาปล่อยเช่าช่วงและแสดงให้เห็นว่านายหนึ่งเจตนาที่จะปกปิดข้อเท็จจริง แต่นายตอ2 ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงไม่ให้สำเนานี้กับเรา เราถึงกับน้ำตาตกใน
ระหว่างนี้นายหนึ่งได้ติดต่อเรา (ซึ่งเราก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่านายหนึ่งไม่เคยติดต่อเราเลยนับจากที่ได้เงินเราไป) และถามเราว่า เราได้เข้าไปคุยกับโฮสเทลมาหรือเปล่า ซึ่งเราก็ตอบกลับไปว่าเรารู้เรื่องหมดแล้ว และขอให้นายหนึ่งคืนเงินเรา ซึ่งนายหนึ่งก็ตอบกลับว่าจะคืนเงินให้เรา แต่ตลอดที่ผ่านมานายหนึ่งก็บ่ายเบี่ยงตลอด โกหกเราว่าพยายามรวบรวมเงินให้อยู่ รอผลกู้ธนาคารอยู่ ตามเงินจากลูกหนี้เก่าอยู่ กำลังจะเซ้งกิจการร้านเหล้า (ที่เชียงใหม่) เพื่อจะได้นำเงินมาคืนเรา เดี๋ยวจะพยายามหาเงินมาผ่อนคืนให้เราเดือนละหมื่น (ตัวเลขสมมติ) ซึ่งเราคิดว่านายหนึ่งก็หลอกเราเพื่อถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ เราคิดว่านายหนึ่งคงมีประสบการณ์แบบนี้เยอะและรู้ทางหนีทีไล่ รู้ว่าคดีแบบนี้มันจะเป็นคดีทางแพ่ง กว่าจะฟ้องร้องกันก็กินเวลาเป็นปี
จากนั้นคนที่เรารู้จักคนที่ 4 ก็แนะนำให้เราลองขอสัญญานี้กับแฟนเก่าของนายหนึ่ง เมื่อติดต่อไปได้ เขาก็บ่ายเบี่ยงและอ้างว่าเขาไม่มีสัญญานั้นแล้ว (เราก็ไม่แน่ใจว่ามีส่วนรู้เห็นกับนายหนึ่งไหม แต่ในใจเราคิดว่าไม่น่าจะมีส่วนร่วม) ซึ่งระหว่างนี้เราก็พยายามไปแจ้งความอีก 2 ครั้ง (เปลี่ยนร้อยเวร เผื่อจะรับแจ้ง ซึ่งผลก็ยังเป็นลบ เพราะไม่มีหลักฐานสัญญาระหว่างนายตอ2 กับนายหนึ่ง) และแล้วคนที่เรารู้จักคนที่ 3 ก็แนะนำให้เรารู้จักคนที่เรารู้จักคนที่ 4 เขาก็แนะนำว่าคดีนี้เป็นคดีอาญาได้ เพราะเห็นได้ชัดว่านายหนึ่งเจตนาหลอกเอาเงินเราตั้งแต่แรก โดยทำสัญญากับเราลงวันที่ 17 พฤษภาคม และ ทำสัญญากับนายบีลงวันที่ 20 พฤษภาคมและนายบีได้เขาดำเนินกิจการ หลังจากนั้นยังหลอกเอาเงินเราส่วนที่เหลืออีก ณ วันที่ 1 มิถุนายน
เห็นดังนี้แล้ว เราจึงไปแจ้งความ โดยครั้งนี้เป็นความพยายามแจ้งความครั้งที่ 4 และเราแจ้งความได้สำเร็จเป็นคดีอาญา ซึ่งตามกระบวนการแล้วจะออกหมายเรียกเพื่อให้ผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหา หากผู้ต้องหาไม่มารับทราบข้อกล่าวหา จึงจะออกหมายเรียกครั้งที่สอง และหากไม่มาตามหมายเรียกครั้งที่สองนี้แล้วจึงจะออกหมายจับ และดำเนินการฟ้องศาลเพื่อตัดสินคดีเป็นลำดับถัดไป
นับจากที่เราจับโกหกได้ นายหนึ่งก็ยังไม่คืนเงินแม้แต่บาทเดียว แถมที่เราพอจะรู้เพิ่มเติมก็คือ 1) นายบีก็ยังไม่ได้เงินคืนจากนายหนึ่ง และได้ดำเนินการฟ้องเป็นคดีทางแพ่งแล้ว คาดว่าจะฟ้องยึดทรัพย์สินแต่คาดว่านายหนึ่งไม่มีทรัพย์สินให้ยึด (ร้านเหล้าที่ดำเนินกิจการ เป็นชื่อแฟนใหม่) 2) พนักงานที่ร้านเหล้าของนายหนึ่งบางส่วนก็ไม่ได้รับค่าจ้าง 3) นายหนึ่งเคยยืมเงินจากเพื่อนน้องที่รู้จักกันและเท่าที่รู้ก็คือยังไม่คืน และคงจะมีอื่นๆ อีกมากที่เราไม่รู้ ทั้งนี้เราไม่อยากให้คนอื่นโดนหลอกเหมือนเราอีก เราเลยมาแชร์ประสบการณ์นี้ไว้ ยังไงก็ขอบคุณที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้
ปล. ทั้งนี้ขอให้เรื่องราวของเราเป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจ ต้องอย่าใจร้อนและต้องรอบคอบมากๆ คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนจะดำเนินการอะไรสักอย่าง ทุกอย่างต้องมีหลักฐานครบถ้วนโดยเฉพาะเรื่องเงินและการทำสัญญา
ปล2. ขอย้ำว่า ชื่อที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นนามสมมติ ตัวเลขที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นตัวเลขสมมติ วันที่ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นวันที่สมมติ
ปล3. การเล่าเรื่องของเราเป็นการเล่าแบบสรุปๆ หากตรงไหนบกพร้องหรืออ่านไม่เข้าใจก็ขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย
ปล4. ขอขอบคุณคนที่เรารู้จักผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเรา (เนื่องจากบางท่านไม่เหมาะสมที่จะกล่าวอ้างถึง จึงไม่ขออธิบายเพิ่มเติมในส่วนนี้)
*ที่นายหนึ่งเลื่อนการทำสัญญากับเรา เพราะนายหนึ่งกำลังดีลกับอีกคนที่ต้องการเซ้งโฮสเทลนี้
**แนะนำว่าการชำระเงิน ควรโอนผ่านธนาคารดีที่สุด เพราะจะมีหลักฐานยืนยันได้
***การรีโนเวทที่เกิดขี้น ดำเนินการโดยนายบี
****นายบีน่าจะเป็นคนเปลี่ยนพาสเวิร์ด (เพราะว่าเขาได้เขาดำเนินกิจการแล้ว)