ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๔๘ ราชาพระองค์ใหม่

.
                                                  

บทที่ ๔๘ ราชาพระองค์ใหม่

บาดแผลของเจ้าทิพถูกชำระล้างและพอกสมุนไพร หลังจากใช้ผ้าขาวพันรัดรอบลำตัวปิดปากแผลที่ชายโครงแล้วจึงค่อยสวมใส่เสื้อคลุมทับ
สภาพของเจ้าทิพอ่อนล้าอิดโรย ในขณะที่กัมพะทมิฬยังคงเป็นปกติเปี่ยมพลัง

คู่ชิงชัยทั้งสองบัดนี้เดินกลับเข้าสู่ลานประลอง สักครู่พลทหารของแต่ละฝ่ายต่างจูงม้าเข้ามาส่งมอบให้ขุนพลฝั่งตน... เสียงเจ้าทิพผิวปากเบาๆ เจ้าสีนิลม้าตัวใหม่ก็สะบัดเตลิดออกไป วิ่งเข้าหาม้าของกัมพะทมิฬจนเจ้าทิพที่รั้งสายบังเหียนถูกลากติดตามไปด้วย

ผู้ชมในสนามชาวปตานีถึงกลับหน้าซีด.. ภาพของชายหนุ่มเมื่อครั้งขี่ม้าแทงทวนต่อสู้กับสิงขรกลับเข้ามาในความคิดคำนึง พร้อมความหวาดหวั่นที่ว่า...
เจ้าทิพไม่สันทัดในการบังคับม้า...

“เมื่อ ๓ เดือนก่อน เจ้าทิพก็พ่ายแพ้ต่อสิงขรบุตรของท่านบนหลังม้า เรายังจำได้ดี” พระเจ้าศรีมหาราชทรงเปรยขึ้น

“พระพุทธเจ้าข้า... เพราะเหตุนั้น พวกข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดกันและส่งเจ้าทิพไปฝึกฝนวิชาบังคับสัตว์ที่ป่าปฏัก พระพุทธเจ้าข้า”
“แต่สิ่งที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ ดูเหมือนเจ้าทิพจะมิได้วิชาบังคับม้ามาสักเท่าใดเลย...”

เจ้าทิพยื้อยุดม้าของตน จนสุดท้ายรั้งสีนิลไว้ได้เพราะไปจนมุม ยืนเบียดอยู่ข้างม้าสีเทาของกัมพะทมิฬ

“ได้ยินมาว่าเจ้าไม่ถนัดขี่ม้า หรือว่าเราจะมาต่อสู้กันด้วยทวนบนผืนดิน” กัมพะทมิฬที่ยืนกุมสายบังเหียนม้าของตนกล่าวแล้วหัวเราะเยาะชายหนุ่ม

“ข้าเพิ่งได้ม้ามาเพียง ๕-๖ วัน ยังไม่คุ้นชินกัน... ไม่เหมือนท่านที่ได้ม้าลักษณะดีมา จึงอยู่ในอาการสงบ”
เจ้าทิพตอบไป ไม่สนใจอาการเยาะเย้ยของอีกฝ่าย มือหนึ่งถือสายบังเหียนของสีนิล อีกมือหนึ่งลูบแผงคอม้าของกัมพะทมิฬด้วยอาการชื่นชม

“หึ... ม้าดีหรือม้าเลว มันสำคัญอยู่ที่ว่าเจ้าของมีความสามารถฝึกหัดกำราบมันให้อยู่ในอำนาจได้หรือไม่” ขุนพลฉกรรจ์กล่าวด้วยอาการผยองทะนง
“ถ้าเช่นนั้น ท่านคงโหดร้ายกับมันน่าดู” ชายหนุ่มกล่าวราบเรียบพลางลูบสันคอม้าของคู่ต่อสู้

เจ้าทิพเคยได้ยินมา ชาวโจฬะทมิฬเป็นชาตินักรบ ฝึกหัดการต่อสู้ให้กับผู้ชายทุกคนตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กอายุเพียงไม่กี่ขวบอย่างไร้ปรานี และฝึกหัดม้ารบอย่างเหี้ยมโหดทารุณ
“ข้าอยากเดิมพันกับท่าน ในการประลองรอบนี้... หากข้าชนะท่านต้องมอบม้าตัวนี้ให้กับข้า”

กัมพะทมิฬถึงกับตกตะลึงในคำท้าของเจ้าทิพ... มือที่ถือสายบังเหียนกระตุกขึ้น จนหัวม้าสีเทาเข้มยืดคอเหยียดสะบัดไปข้างหน้า จากนั้นจึงกล่าวเสียงดังคล้ายให้ผู้คนรอบสนามได้ยิน
“เจ้าคงอยากจะได้มันมาก... ตกลงถ้าหากเจ้าชนะข้าได้ในรอบนี้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะได้เป็นราชาสิบสองนักษัตร แต่ข้าจะมอบม้า “ทาบสมุทร” ตัวนี้ของข้าให้กับเจ้าด้วย”

เจ้าทิพพยักหน้า.. พึมพำเรียกชื่อม้าที่ตนกำลังลูบไล้แผงคอออกมา “ทาบสมุทร” อยู่ซ้ำๆ แล้วกล่าวว่า
“หากข้าต้องพ่ายแพ้ ท่านประสงค์สิ่งใดตอบแทน”

คราวนี้เสียงกัมพะทมิฬดังขึ้นกว่าครั้งก่อน คล้ายต้องการให้ผู้คนในสนามเป็นประจักษ์พยาน
“ถ้าเจ้าแพ้ในรอบนี้... เจ้าต้องถอนตัวและยอมแพ้ในรอบต่อไปด้วย”

สิ้นเสียงประกาศเงื่อนไข ผู้คนรอบสนามต่างอุทานกันอึงอล บ้างตะโกนร้องบอกเจ้าทิพอย่าไปตกปากรับคำ
การประลองชิงชัยตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรมีสามรอบ ผู้ใดชนะสองรอบก่อนเป็นฝ่ายชนะ... เจ้าทิพเพียงชนะอีกครั้งก็จะขึ้นเป็นราชาสิบสองนักษัตรทันที ในขณะที่กัมพะทมิฬจำเป็นต้องชนะรอบนี้และรอบหน้าบนหลังคชสาร

เจ้าทิพยังคงลูบโอบคอม้า แต่ตาเพ่งประสานกับลูกตากลมนูนดวงโตของทาบสมุทร...
“ตกลง”

เสียงกล่าวรับคำสั้นๆ ของเจ้าทิพทำให้ผู้คนรอบสนามเกิดโกลาหลขึ้นทันที บ้างตะโกนต่อว่าชายหนุ่มอย่างหยาบคาย บ้างเพียงส่ายศีรษะด้วยความผิดหวัง
สำหรับเจ้าทิพ.. ตนไม่เหลือกำลังในการต่อสู้รอบต่อไปอีกแล้ว
ส่วนกัมพะทมิฬ แม้ตั้งใจจะแทงเจ้าทิพให้สาหัสเจียนตาย แต่ด้วยข้อสัญญานี้ก็มิต้องมาพะวงห่วงว่าเจ้าทิพจะยังลุกขึ้นมาชิงชัยในรอบต่อไปอีกหรือไม่

“นี่เขาเป็นบ้าอย่างไรหรือ รับปากเช่นนี้เท่ากับว่าการประลองรอบนี้เป็นการตัดสินชี้ขาดตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตร” พระเจ้าศรีมหาราชรับสั่งด้วยมิพอพระราชหฤทัย
“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าก็มิเข้าใจ จู่ๆ ไฉนเจ้าทิพจึงเกิดอยากจะได้ม้าของกัมพะทมิฬจนยอมทิ้งโอกาสอันได้เปรียบของตน แม้พ่ายแพ้ในรอบนี้ก็ยังมีฟันง้าวบนคอช้างเป็นรอบตัดสินอีก... แต่ตอนนี้...” ขุนพลสิงหลเสียดแทงหัวใจ จนมิอาจกราบทูลจบ

เช่นเดียวกับองค์หญิงวิสาณีที่พระทัยแหลกสลาย...
“พี่ท่านกระทำเช่นนี้ทำไม.. เหตุใดจึงตัดทางถอยของตน...”

ภาพของชายหนุ่มที่เดินจูงม้าด้วยอาการอิดโรยในชุดชุ่มเลือดออกจากมุมของคู่ต่อสู้ที่ยืนยิ้มกริ่มเหี้ยมหาญ ร่างกายไร้บาดแผล... ยิ่งทำให้ชาวปตานีหายใจไม่ทั่วท้องไปตามๆ กัน

เมื่อเจ้าทิพจูงสีนิลกลับมาถึงตำแหน่งของตนทางทิศตะวันออกจึงโอบกอดรอบคอ ใช้มือขยี้ขนคอม้าด้วยความเอ็นดูแล้วจึงขึ้นขี่ รับทวนจากพลทหารที่นำมาส่งให้แล้วเริ่มร่ายรำตามจังหวะฆ้องกลองที่ดังขึ้น

ไม่นานการรำทวนก็จบลง ตามด้วยเสียงกลองหนักๆ ๑๒ ครั้ง... ครั้งที่สิบสองคล้ายตีสะเทือนดังเข้าไปในทรวงอกของผู้คนรอบสนามจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น...

ม้าสองตัวตะกุยเท้าหน้าแทบจะพร้อมกัน แล้วควบตะบึงเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความเร็ว
เสียงเจ้าทิพกู่ร้องก้องดังทั่วสนามเป็นจังหวะ ทวนถูกควงหมุนรอบกายคล้ายกงจักร สุดท้ายยกชูขึ้นหมุนเหนือศีรษะ

ขุนพลฉกรรจ์อีกฝ่ายเหยียดทวนพุ่งตรงไปเบื้องหน้าหมายลำตัวของชายหนุ่มที่เปิดกว้างใต้ร่มกงจักรยักษ์
ม้าทั้งสองฝ่ายควบใกล้ปะทะ ปลายทวนแหลมพุ่งเข้าหาร่างของชายหนุ่มห่างเพียงช่วงแขน พลันเสียงร้องของเจ้าทิพเปลี่ยนแปรไป จากทุ้มก้องเป็นแหลมสูงสั้นกระชั้น...

เจ้าทาบสมุทรที่โผเข้ามาด้วยความเร็วพลันหยุดชะงัก แล้วสะบัดโผนตัวขึ้น สองขายกตะกุยกับอากาศ พลิกหันข้างเข้าหาเจ้าสีนิล แนวทวนที่พุ่งตรงของกัมพะทมิฬกลับเฉเฉียงชี้ขึ้นฟ้าพร้อมกับร่างของชายฉกรรจ์ที่พยายามประคองตัวมิให้ร่วงตกจากหลังม้า

ฉับพลันนั้น กงจักรยักษ์สลายกลายเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่ง เร็วราวลำสายฟ้า พุ่งปราดสอยเข้ายังแผงเกราะบนหน้าอกของกัมพะทมิฬจนร่างผงะร่วงไปเกี่ยวห้อยอยู่อีกฝั่งของลำตัวม้า

“หนึ่งแผลไทรบุรี”
ขุนพลภัทธิยะร้องประกาศก้อง ขณะที่กัมพะทมิฬอาศัยมือเหนี่ยวรั้งสายบังเหียน โหนร่างของตนไว้มิให้ตกสู้พื้นจนถูกประกาศให้พ่ายแพ้ไป

“เกิดอะไรขึ้นกับยอดอาชาเช่นทาบสมุทร ทำไมจึงบังคับควบคุมมิได้” พระสุรเสียงของพระผู้เป็นใหญ่ดังขึ้น
“ขอเดชะ...” ขุนพลสิงหลกราบทูล ขนลุกซู่ไปทั่วสรรพางค์กาย “ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่า.. ทุกคนจะถูกเจ้าทิพลวงหมดสิ้น พระพุทธเจ้าข้า”
“หมายความเช่นไร”

“เจ้าทิพฝึกสำเร็จวิชาควบคุมบังคับสัตว์ขั้นสูงสุดแล้ว พระพุทธเจ้าข้า”

สิ้นคำกราบทูล ทั่วทั้งปะรำที่ประทับต่างก่อเกิดกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ระคนยินดี
บัดนี้สิ่งที่หลายพระองค์และหลายคนแคลงพระทัยและแคลงใจพลันกระจ่าง.. เจ้าทิพสามารถเรียกนกมาบินวนเพื่อคะเนสายลมตอนยิงธนู นั่นมิใช่ต้องสำเร็จวิชาในระดับขั้นสูงจึงกระทำได้หรอกหรือ.. แล้วที่บังคับช้างใหญ่ของเขมราฐมิให้พุ่งแทงงาเข้าช้างเล็กของตนอีก..

และการที่ช้างใหญ่สะบัดงวงพาชายหนุ่มไปตกลงบนหลังช้างของเขมราฐในจังหวะสุดท้าย.. ก็มิใช่เรื่องบังเอิญแล้ว

กลางลานประลองปรากฏภาพเจ้าทิพขี่ม้ารุกไล่ อีกฝ่ายได้แต่ปิดป้องส่วนม้าทาบสมุทรก็สัดส่ายมิเป็นจังหวะ ดูไปไร้ซึ่งภาวะของขุนพลกล้าและอาชาชาญศึก
แม้ยังมิถูกขานเรียกแผลสอง แต่เสื้อผ้าตามเนื้อตามตัวของกัมพะทมิฬก็ขาดวิ่นไปหมด ปลายทวนของเจ้าทิพสอยเอาเลือดเนื้อและเศษผ้ากระเซ็นออกมาเป็นระยะ

มินาน เจ้าทิพก็ผ่อนการบังคับม้าของกัมพะทมิฬให้คลายพยศลง พอให้อีกฝ่ายมีจังหวะได้แสดงกระบวนเพลงทวนประสานเข้ากับจังหวะม้าทาบสมุทร.. จากนั้นจึงกู่ร้องส่งสัญญาณให้ม้าทั้งสองวิ่งควบขนานผ่านหน้าอัฒจันทร์ จากปลายสนามด้านหนึ่งไปจนสุดอีกด้านหนึ่ง

ตลอดระยะการควบไล่ ชายหนุ่มควงทวนจู่โจมใส่ด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่า สะกดข่มเพลงทวนของชาวโจฬะทมิฬสิ้น
บัดนี้ เพลงทวนพระมหาเถรศรีศรัทธาเปล่งประกายเจิดจรัสเป็นที่ประจักษ์ของทุกคนในสนาม

นี่คือความตั้งใจของเจ้าทิพ.. เพื่อเทิดทูนบูชาพระมหาเถรศรีศรัทธา ผู้ประสิทธิ์ประสาทสุดยอดวิชาไว้แก่ราชสำนักปตานี กระทั่งตกทอดมาถึงตน

หิงสาอาตมันที่ชมดูอยู่ข้างสนาม ทั้งเดือดดาลคลั่งแค้น และอับอาย.. สิ่งที่ตนเคยหยามขุนพลสิงหลและเพลงดาบพระมหาเถระไว้ บัดนี้ย้อนกลับมาทำลายความอหังการ์ของตนและหลานชายจนหมดสิ้น

“แผลที่สอง ไทรบุรี”
เสียงประกาศของขุนพลภัทธิยะย้ำเตือนถึงวาระใกล้จะจบสิ้นการประลอง..

กัมพะทมิฬถูกแทงเข้าสีข้างอย่างจัง เจ็บปวดจนสะเทือนไปถึงภายใน ฟุบอยู่กับหลังม้าจนอีกครู่ใหญ่จึงฝืนกายตั้งร่างขึ้นมาได้
ยามนี้ควบม้าทาบสมุทรหนีไปตั้งหลักอยู่ในระยะไกล ส่วนสีนิลยืนสะบัดหางคอยอยู่อีกฝั่ง

และแล้วสิ่งที่ทุกคนคาดคิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น

กัมพะทมิฬเอาทวนทิ่มแทงสู่ลำตัวม้าตอนหน้าเหนือโคนขา พร้อมกับกระทืบสีข้างพยายามฝืนบังคับให้กลับมาอยู่ในการควบคุมของตน
ม้าทาบสมุทรดิ้นรนสะบัด แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งถูกแทงสาหัสจนเลือดไหลโทรม

ผู้คนทั้งสนามต่างตื่นตกใจ ชั่วขณะแรกนั้นยังเงียบตะลึงงัน ครั้นต่อมาก็แผดเสียงด่าทอระงมกับความโหดร้ายป่าเถื่อนที่กระทำต่อม้าศึก
เจ้าทิพหยุดผิวปากส่งสัญญาณสื่อสารกับม้าทาบสมุทรตั้งแต่ทวนแรกที่ทิ่มแทงลงตัวม้านั้นแล้ว..

บัดนี้ทาบสมุทรอยู่ในการควบคุมของกัมพะทมิฬอีกครั้ง ทวนถูกยกขึ้นชี้ท้าทาย.. เป็นความหมายต้องการปะทะแทงทวน
เจ้าทิพยกทวนขึ้นชี้เช่นกัน เป็นสัญญาณยอมรับคำท้าทาย..

สองอาชาพลันยกขาหน้าขึ้นตะกุยสะบัด ส่งเสียงร้องคะนองก้องก่อนจะควบตะบึงเข้าหากันเต็มแรงห้อ ต่างเล็งแนววิ่งสู่ด้านขวาของอีกฝ่าย
ปลายคมทวนชี้นำหน้าแหวกฝ่าลม พู่ทวนลู่จนเห็นเป็นเส้นตรง ผู้คนในสนามต่างเงียบกริบ...

พริบตาที่ปลายทวนเข้าปะทะ ขุนพลทั้งสองฝ่ายต่างเข้าสู่ปราณเปลี่ยนมิติอันลึกล้ำ ปลายคมทวนสะบัดตวัดปัดกันด้วยเพลงทวน แต่สู้กันที่คมทวน
ต่างจู่โจมหาจังหวะเบี่ยงคมของอีกฝ่ายให้หักเหออกก่อนพุ่งแทงคมทวนของตนสู่ตำแหน่งแผงอก

เพียงเศษเสี้ยวจังหวะของม้ากระโจนควบสวนเข้าหากัน เจ้าทิพก็จู่โจมไปสามท่าแล้ว จากปลายคมทวนปะทะกัน..บัดนี้ไล่มาถึงคอทวนปะทะคอทวน กัมพะทมิฬเสียท่าถูกปัดทวนตวัดลอยขึ้น

เพลงทวนของพระมหาเถรศรีศรัทธาผนึกกับปิดปราณมิติที่เหนือกว่า..
ทวนเจ้าทิพพุ่งตรงสู่ร่างของกัมพะทมิฬที่เปิดออก

แต่แล้ว.. แทนที่กัมพะทมิฬจะดึงด้ามทวนเข้าปะทะแก้ไข กลับตวัดม้วนปลายทวนของตนให้ต่ำลง เลี่ยงหลบทวนของเจ้าทิพไปทางด้านขวา พุ่งตรงสู่ร่างของชายหนุ่มทันที..
ขุนพลไทรบุรีถึงกับไม่ยอมแก้ไขสถานการณ์อันตรายของฝ่ายตนแล้ว แต่ตัดสินใจยอมแลกแผลกับเจ้าทิพ

บางทีอาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง..

เพลงทวนโจฬะทมิฬมิอาจแก้ไขให้มีเปรียบเหนือเพลงทวนพระมหาเถระได้.. มีแต่ยอมปักทวนเสียบอกให้ตายตกตามกัน
แต่กัมพะทมิฬสวมเกราะรัดกุม

แม้ถูกขานเป็นแผลสาม.. ส่งผลให้พ่ายแพ้แต่ไม่ถึงกับตาย
ผิดกับเจ้าทิพที่เปลือยเปล่าไร้เกราะหุ้มคุ้มครอง ถึงชนะไปก็ไม่เหลือชีวิตรอด

สิ่งเดียวที่กัมพะทมิฬมุ่งหวังคือทวนนี้ต้องสังหารเจ้าทิพให้จงได้ ตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรจึงจะเป็นของตน ผู้ชนะรองลงมา

ม้าต่อม้าโจนขึ้นไปข้างหน้าอีกหนึ่งเสี้ยวจังหวะ.. เจ้าทิพพลันตวัด “ปลายคมทวน” กลับเข้าปะทะกับ “ด้ามทวน” ของกัมพะทมิฬ ความแม่นยำน่าตระหนกยิ่งนัก.. จากนั้นปลายคมทวนไถไปตามด้ามทวนสู่ง่ามมือของอีกฝ่าย จนด้ามทวนนั้นถูกกดเบี่ยงปลายออก

เสี้ยวโจนของม้า.. พามาถึงเสี้ยวจังหวะของชีวิตแล้ว
พริบตาที่คมทวนจะตวัดตัดนิ้วของกัมพะทมิฬ ปลายทวนของเจ้าทิพก็เบี่ยงสะบัดออกสู่ลำตัวคู่แข่งขัน แทงปะทะเข้าอย่างจังกับแผงอก.. ขณะที่มือซ้ายของชายหนุ่มก็คว้าจับด้ามทวนที่ถูกปัดป่ายมาขวางอยู่เบื้องหน้าเอาไว้

ม้าสองตัวควบสวนผ่านกันไป หลังม้าทาบสมุทรว่างเปล่า บนหลังม้าสีนิลยังมีเจ้าทิพพร้อมทวนสองเล่ม
พื้นกลางลานมีฝุ่นผง และร่างของกัมพะทมิฬที่นอนแน่นิ่งอยู่..
ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงช่วงม้าควบตัดผ่านกัน

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่