.
บทที่ ๔๗ ผสานสองยอดวิชา
ขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๔ ปีฉลู เบญจศก...
วันนี้คือวันชี้ชะตาว่าผู้ใดจะได้ขึ้นเป็นราชาสิบสองนักษัตรพระองค์ใหม่ ระหว่างเจ้าทิพขุนพลฉลูนักษัตรแห่งปตานีและกัมพะทมิฬขุนพลมะโรงนักษัตรจากไทรบุรี
ฝูงชนคลาคล่ำอยู่บนอัฒจันทร์จนเต็มความจุ กระทั่งพื้นลานด้านล่างโดยรอบก็แน่นขนัด ต่างชวนกันพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะเกี่ยวกับฝีมืออาวุธของผู้เข้าชิงชัยทั้งสอง ส่วนใหญ่คิดเห็นกันว่าเจ้าทิพมีฝีมือเหนือกว่า และส่วนใหญ่ก็หวังใจให้เจ้าทิพชนะ
เพราะไม่ต้องการเห็นชาวโจฬะทมิฬได้ตำแหน่งนี้ไปครอบครอง...
เสียงผู้คนโห่ร้องต้อนรับดังกระหึ่มขึ้นเมื่อเห็นเจ้าทิพเดินเข้ามายังลานประลองแล้วตรงไปพบขุนพลภัทธิยะผู้เป็นกรรมการใหญ่ ส่วนกัมพะทมิฬยืนรออยู่ด้านข้างท่านขุนพลก่อนแล้ว
จาก ๑๒ ขุนพลนักษัตรบัดนี้เหลือเพียงหนึ่งขุนศึกวัยฉกรรจ์ในชุดเกราะแข็งดูองอาจเหี้ยมหาญ กับหนึ่งหนุ่มรุ่นเยาว์ใบหน้างามสง่าในชุดผ้าแพรไร้เครื่องเกราะ
เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ขุนพลภัทธิยะจึงนำผู้เข้าชิงชัยตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรเข้าถวายบังคมองค์กษัตริย์และองค์ราชา ณ บริเวณลานประลองหน้าปะรำที่ประทับ พร้อมขอพระราชทานพระราชานุญาตเริ่มการประลองดาบคู่ซึ่งเป็นด่านแรก แล้วจึงต่อด้วยการประลองทวนบนหลังม้า หากแม้นผลเสมอกันจึงจะประลองง้าวบนคอช้างเป็นด่านสุดท้าย
จากนั้นเสียงกลองและฆ้องดังขึ้นเป็นจังหวะ คู่ชิงชัยทั้งสองจึงเริ่มรำดาบบูชาครูอาจารย์ในตำแหน่งทิศของตนที่จับสลากได้ เจ้าทิพอยู่ด้านทิศตะวันออกควงดาบคู่ร่ายรำตามแบบศรีวิชัย ในขณะที่กัมพะทมิฬรำดาบแบบชาวโจฬะทมิฬอยู่ด้านทิศตะวันตก
เจ้าทิพถือโอกาสทดสอบวิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติ เรียกเสียงอุทานของผู้ชมลั่นสนามเมื่อดาบคู่หมุนเร็วราวใบพัด ส่วนการเคลื่อนกายย้ายตำแหน่งก็ว่องไวดั่งประกายไฟ
“นอกจากอาการชาเพียงเล็กน้อยแล้ว ไม่มีอาการเจ็บปวดสาหัสเหมือนครั้งประลองยิงธนูเลย...” เจ้าทิพครุ่นคำนึงในใจ แล้วค่อยลดความเร็วของปิดปราณเปลี่ยนมิติลง
ขณะที่การรำบูชาครูใกล้เสร็จสิ้น ฝ่ายกัมพะทมิฬพลันเคลื่อนกายร่ายรำจากทิศตะวันตกอ้อมร่างเจ้าทิพไปจนอยู่ด้านหลัง สายลมโชยพัดจากทิศตะวันออกสู่ตะวันตก พากลิ่นกำยานหอบหนึ่งมาพร้อมกับลางอัปมงคลบางอย่างที่ปรากฏขึ้นในใจของชายหนุ่ม
เสียงฆ้องกลองหยุดลง การไหว้บูชาครูเสร็จสิ้นโดยที่กัมพะทมิฬมายืนกระทืบเท้าจบท่า อยู่ใกล้ๆ
“วันนี้คงจะได้พิสูจน์ฝีมือกับเจ้าเสียที ว่าผู้ใดจะเป็นหนึ่ง...” เสียงคู่แข่งขันดังทักทายขึ้นทางเบื้องหลังทำให้เจ้าทิพต้องหันกายไปเผชิญหน้า
แววตาดำขลับของกัมพะทมิฬเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ขนคิ้วที่ดกยาวจนทิ้งปรกลงมาและขอบตาที่ทาดำทำให้ดูเหี้ยมเกรียมดุดันตามแบบของชาวโจฬะทมิฬ
“ข้าไม่ต้องการเป็นหนึ่ง แต่ข้าจำเป็นต้องชนะ” เจ้าทิพตอบไปกลางๆ ไม่มีท่าทีฮึกเหิมใดๆ
ในขณะที่คู่แข่งขันมีแววยิ้มเยาะอยู่มุมปาก กล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าหากเจ้าพ่ายแพ้จะถูกสักหน้าเนรเทศออกจากดินแดนสิบสองนักษัตร... ข้าเวทนาในตัวเจ้าจริงๆ” กล่าวพลางรวบดาบคู่ไว้กับมือซ้าย แล้วยื่นมือข้างขวาที่ว่างมาตบบ่าเจ้าทิพเป็นเชิงปลอบแกมเยาะ
คำ “สักหน้าแล้วเนรเทศ” คล้ายเป็นจุดอ่อนในใจของชายหนุ่ม บาดลึกถึงดวงจิตที่ถูกจงเกลียดจงชังจากทุกคนรวมถึงพระบิดาผู้ให้กำเนิด ความโศกเศร้าพลันพลุ่งพล่านขึ้น
“เอาเถิด ข้าขอจับมือแสดงความเสียใจล่วงหน้าต่อเจ้า” เสียงกัมพะทมิฬดัง พร้อมมือขวายื่นมารออยู่ตรงหน้า
เจ้าทิพยื่นมือออกไปจับ มือชาวโจฬะนั้นใหญ่และดูแข็งแกร่งทรงพลังจนแทบกุมมือชายหนุ่มไว้มิด
“ข้ายินดีตาย.. ดีกว่าพ่ายแพ้และถูกสักหน้า”
ทันใดนั้น มือใหญ่ที่กุมอยู่ก็ออกแรงกดทับลงมาราวคีมเหล็ก สำนึกของเจ้าทิพก่อเกิด เร่งเร้าวิชาสลายธาตุในภาคธาตุดินขึ้นต่อต้านทันที
กัมพะทมิฬรู้สึกเจ็บปวดข้อนิ้วราวบีบกดเข้าใส่วัตถุที่แข็งกว่าหิน ต้องรีบสะบัดมือออกอย่างเร็ว มองเจ้าทิพอย่างไม่เชื่อสายตา คำนึงขึ้น “ทีแรกมือของมันนุ่มนิ่มดั่งมือช่างงานศิลป์ แต่ทำไมกลับกลายเป็นแข็งราวหินเหล็กไปได้... แต่ช่างเถอะ กลิ่นจากกำยานที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อเราคงรมจนได้ที่แล้ว”
ทุกคนเพียงเห็นคู่ชิงชัยจับมือให้กัน แล้วกัมพะทมิฬก็แยกออกมา เดินกลับเข้าประจำตำแหน่งของตนทางทิศตะวันตก
ผู้คนบางส่วนปรบมือชมเชยด้วยเข้าใจว่าทั้งสองมีไมตรีให้กันแม้จะต้องแข่งขันชิงตำแหน่งซึ่งเป็นสุดยอดปรารถนาของชายชาตรีทั้งสิบสองเมือง
“เราไม่เข้าใจ วันแรกที่ประลองยิงธนูเจ้าทิพก็เพียงสวมเกราะอ่อนคลุมช่วงบนลำตัว แต่สองวันมานี้ถึงกับไม่สวมเกราะใดๆ เลย... ผิดกับกัมพะทมิฬที่สวมเกราะแข็งรัดกุมยิ่งขึ้นกว่าเก่า” พระเจ้านครศรีธรรมราชรับสั่งขึ้นเป็นนัยแห่งคำถาม
“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจว่าการสวมเพียงเกราะอ่อนชิ้นเดียวคงเพื่อความคล่องตัวในการหลบหลีกลูกธนูที่ยิงใส่... แต่สำหรับสองวันมานี้ ข้าพระพุทธเจ้าเองก็มิเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าทิพจึงไม่สวมเกราะใดๆ เลย พระพุทธเจ้าข้า” ขุนพลสิงหลที่อยู่ถวายงานหน้าพระพักตร์กราบทูล
“แล้วอาการพิษไข้ของเขารักษาจนทุเลาขึ้นบ้างหรือไม่”
“เมื่อวานเจ้าทิพให้คนมาแจ้งข้าพระพุทธเจ้าว่าจะเดินทางไปรักษาที่บ้านของหมอหลวงเอง มิให้ตามท่านหมอมารักษาที่บ้านของข้าพระพุทธเจ้าดังเช่นเคย ทำให้ข้าพระพุทธเจ้ามิอาจรู้ความนัยของอาการพิษไข้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าศรีมหาราชทรงสดับแล้วก็นิ่งอยู่ มิได้ตรัสสิ่งใดต่อไป
เสียงกลองย่ำจากช้าไปเร็วแล้วสะดุดหยุดลง จากนั้นจึงตีย้ำหนักๆ ๑๒ ครั้ง เป็นสัญญาณเริ่มการต่อสู้
กัมพะทมิฬยืดกายยกดาบขึ้นป้องลำตัว มิได้คิดจะรุกไล่ คล้ายรอเวลาให้ผ่านพ้นไป...
ผิดแผกกับอีกฝ่าย...
เจ้าทิพถลันเข้าประชิด ดาบหนึ่งแทงเข้าหาอีกดาบฟาดเป็นวงฟันหมายลำคอ เป็นเพลงดาบคู่ที่รุนแรงดุดันของพระมหาเถรศรีศรัทธา ผสานความเร็วของวิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติ... ชายหนุ่มหวังเผด็จศึกในเวลาอันสั้น เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัยจากพิษไข้ที่อาจกำเริบขึ้น
กัมพะทมิฬยกดาบคู่ขึ้นต้านรับพร้อมวิชาเร่งปราณเปลี่ยนมิติ เสียงปะทะของคมดาบดังสนั่น แต่ยังมิทันจะได้ขยับดาบตอบโต้ ก็เห็นสองดาบวนเวียนกลับมาอีก ครานี้หนึ่งดาบฟันลงกลางศีรษะอีกหนึ่งดาบฟันตรงโคนขา
เจ้าตัวต้องขยับถอยร่น คมดาบฟาดกระทบเกราะหนังที่ปิดคลุมต้นขาจนสะบัดเปิด
ยังมิทันจะตั้งหลักได้ ดาบหนึ่งก็พุ่งแทงสู่คอหอยเข้ามา อีกดาบตวัดจากล่างขึ้นฟันต้นแขนขวา ขุนพลไทรบุรีหน้าซีดเผือด วกดาบขึ้นขวางอย่างเร็วจนสามารถสกัดดาบที่จู่โจมเข้าสู่คอหอย แต่แขนขวารู้สึกชาวูบเมื่อต้องดาบของเจ้าทิพฟันใส่อย่างแรง...
“หนึ่งแผลไทรบุรี”
เสียงขุนพลภัทธิยะตะโกนขึ้น ขานแผลฉกรรจ์ของฝ่ายขุนพลมะโรงนักษัตร... เพียง ๓ แผลฉกรรจ์ก็กำหนดผลแพ้ชนะได้แล้ว
กัมพะทมิฬสวมเกราะแข็งป้องกันท่อนแขน อีกทั้งดาบที่คู่แข่งขันใช้ก็ไม่มีคม แม้ตามกติกานับเป็นแผลฉกรรจ์แต่มิได้มีบาดแผลสาหัส เพียงกระทบกระเทือนด้วยแรงของดาบจนปวดชาท่อนแขนเท่านั้น
บัดนี้เป็นที่ประจักษ์ว่าความเร็วเร่งปราณเปลี่ยนมิติของชาวโจฬะทมิฬเป็นรองวิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติของเจ้าทิพอยู่ครึ่งขั้น
อีกทั้งความดุดันซับซ้อนของเพลงดาบพระเถระศรีศรัทธาก็ยากที่จะต้านรับได้
กัมพะทมิฬถอยร่นเป็นพัลวัน ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้ชมเกือบทั่วสนาม ผู้คนกว่าเก้าในสิบต่างเอาใจช่วยเจ้าทิพด้วยความผูกพันกันของสายเลือดชาวคาบสมุทรสุวรรณภูมิ จะมีเพียงชาวไทรบุรีที่เอาใจช่วยขุนพลมะโรงนักษัตรตัวแทนของพวกตน
ขุนพลชาวโจฬะทมิฬถอยซวนเซไปมา ยิ่งเนิ่นนานสถานการณ์ยิ่งเลวร้าย... พลันเพลงดาบคู่ของพระมหาเถระฟาดเข้ามาทั้งเร็วทั้งแรง สุดที่จะปิดป้องได้ทัน จำต้องดีดตัวไปข้างหลังจนหงายท้องล้มตรึงไป
เสี้ยวพริบตาแห่งการเผด็จศึก เจ้าทิพเงื้อดาบเข้าซ้ำ... แต่แล้วสิ่งที่ทุกคนมิคาดคิดก็เกิดขึ้น
ร่างชายหนุ่มที่ยืนค้ำอยู่ปลายเท้าของขุนพลชาวโจฬะพลันสะอึกขึ้น ลำตัวและส่วนแขนกระตุกไปมา ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
พิษไข้ป่ากำเริบรุนแรงขึ้นแล้ว...
จากเสียงโห่ร้องให้กำลังใจ กลายเป็นความเงียบงันชะงัก และตามด้วยเสียงอุทานระคนตกใจ
กลับเป็นเจ้าทิพที่เซถอยออกไป ลำตัวโค้งงอ มือที่ถือดาบสั่นสะท้าน เส้นเลือดตามแขนตามลำคอปูดโปนแทบปริแตก... สุดท้ายเมื่อถอยไปถึงก้าวที่แปดก็ทรุดตัวคุกเข่านั่งลง ก้มหน้านิ่ง...
ไม่ช้ากัมพะทมิฬก็ลุกขึ้น แสยะยิ้มแล้วสาวเท้าเข้าหาเจ้าทิพช้าๆ ราวกับเพชฌฆาตเดินไปประหารตัดศีรษะนักโทษ
เพียงเดินไปถึงก้าวที่หก ร่างที่คุดงอรอประหารอยู่กับพื้นก็พลันลุกขึ้น เห็นเม็ดเหงื่อหยาดหยดโทรมใบหน้า
กัมพะทมิฬถลึงตาเพ่งมอง “ถ้าเจ้าไม่เจ็บปวด ก็แสดงว่าละทิ้งวิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติไปแล้ว” กล่าวจบก็หัวเราะขึ้นด้วยความสะใจ
แล้วพุ่งร่างไปข้างหน้า ฟาดดาบขวาฟันเฉียงใส่เจ้าทิพด้วยความเร็ว...
เจ้าทิพมิรอให้ดาบฟันมายังตน เพียงชาวโจฬะเงื้อขยับแขนขวาก็อ่านวิถีดาบออก ชิงขยับกายหมุนวนหลบไปทางซ้าย เมื่อพ้นแล้วจึงถอยหลังแต่แล้วกลับพุ่งถลันขึ้นหน้าแล้ววนขวา เป็นจังหวะเดียวกับดาบสองของกัมพะทมิฬฟันติดตามไปด้วยคาดว่าเจ้าทิพพุ่งหนีถอยไปข้างหลัง
บัดนี้เจ้าทิพวนไปยืนอยู่เบื้องหลังกัมพะทมิฬ ฟาดดาบออกฟันใส่ ขุนพลไทรบุรีรีบหมุนกายกลับยกดาบขึ้นป้อง ขณะที่เจ้าทิพถลันฉากลากกายไปทางขวา กัมพะทมิฬเห็นดังนั้นจึงพุ่งดาบซ้ายเเทงดักไป
แขนเพิ่งขยับ ดาบยังมิทันพุ่ง เจ้าทิพที่ก้าวไปทางขวาพลันโยกกลับไปทางซ้ายแล้วถอยหลัง ทำให้ดาบซ้ายที่พุ่งแทงออกไปถูกอากาศธาตุอีกครั้ง จึงรีบพุ่งกายติดตามวาดดาบในมือขวาเป็นวงโค้งหมายลำคอ พลันร่างเจ้าทิพกลับย่อลงแล้วพุ่งสวนมุดเฉียงไปทางซ้ายของกัมพะทมิฬ ก่อนที่ดาบขวาจะได้สยายวงออกไปเสียด้วยซ้ำ
ยามนี้เจ้าทิพแม้เชื่องช้ากว่าแต่เคลื่อนไหวก่อน ในขณะที่กัมพะทมิฬแม้รวดเร็วด้วยวิชาเร่งปราณเปลี่ยนมิติกลับสับสนสะเปะสะปะ
เมื่อมีจังหวะเจ้าทิพก็จู่โจม แต่ทุกครั้งจะรั้งดาบกลับมาก่อนจบกระบวนเพลงแล้วรีบพลิกเปลี่ยนตำแหน่งยืนด้วยรู้ว่าจู่โจมไปก็ไร้ผล เพราะกัมพะทมิฬมีความเร็วของเร่งปราณเปลี่ยนมิติอยู่
“ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าทิพที่กำเริบพิษร้ายขึ้นมา ยังสามารถต่อสู้ได้คู่คี่ก่ำกึ่งกับกัมพะทมิฬ ทั้งเพลงดาบและการเคลื่อนย้ายร่างก็แปลกไปจากเมื่อวานที่ต่อสู้กับกบิลแห่งพัทลุง” พระเจ้าศรีมหาราชทรงปรารถขึ้น
“ขอเดชะ คงใช่ดังที่ข้าพระพุทธเจ้าคาดคะเนมิผิดแล้ว พระพุทธเจ้าข้า” ขุนพลสิงหลกราบทูล ด้วยอาการตื่นเต้นระคนดีใจ
“ท่านคาดคะเนอะไรหรือ ท่านขุนพล”
“ขอเดชะ ตลอดสองวันมานี้เจ้าทิพเอาแต่เก็บตัวอยู่ภายในที่พัก ออกมาแค่พบหมอหลวง.. และบอกว่ากำลังกระทำเรื่องสำคัญ ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าก็แคลงใจตั้งแต่เห็นการต่อสู้กับกบิลเมื่อวาน แต่วันนี้ทุกอย่างประจักษ์ชัด.. เป็นเพราะเจ้าทิพเกรงพิษไข้จะกำเริบขึ้น และไม่อาจผนึกความเร็วปิดปราณเปลี่ยนมิติ จึงฝึกฝนดัดแปลงเพลงดาบของพระมหาเถรศรีศรัทธา ซึ่งเน้นการรุกจู่โจมรุนแรงและซับซ้อนเข้ากับท่าเท้าราชสีห์ก้าวแปดทิศซึ่งเน้นการถอยและป้องกันตัวเป็นหลัก... จนกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่หลอกล่อคู่ต่อสู้ให้สับสน จับทิศทางไม่ถูก พระพุทธเจ้าข้า”
“ถ้าเช่นนั้น หากต่อสู้กันในลักษณะนี้ต่อไป ผู้ใดจะเพลี่ยงพล้ำก่อน”
ขุนพลใหญ่ปตานีสูดลมหายใจลึก กราบทูลด้วยความหนักใจ
“ยากที่จะชี้ชัดพระพุทธเจ้าข้า เจ้าทิพแม้จะช้ากว่ามากแต่อาศัยที่บรรลุระดับภวังค์สำนึกถึงขั้นที่ ๑๐ สามารถอ่านวิถีการรุกของกัมพะทมิฬจากกล้ามเนื้อที่ขยับแล้วชิงเคลื่อนไหวด้วยราชสีห์ก้าวแปดทิศที่ประยุกต์เข้ากับเพลงดาบพระมหาเถระ กลายเป็นการถอยแต่รุกยันไว้ คงยากที่กัมพะทมิฬจะเอาชัย... ขณะเดียวกันกัมพะทมิฬกลับมีความเร็วที่จะอย่างไรก็มิอาจเสียท่าเจ้าทิพ แม้ยามคับขันก็สามารถเร่งความเร็วหลบเลี่ยงเพลงดาบไปได้ ยกเว้นแต่...”
“เว้นแต่สิ่งใด”
(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๔๗ ผสานสองยอดวิชา
บทที่ ๔๗ ผสานสองยอดวิชา
ขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๔ ปีฉลู เบญจศก...
วันนี้คือวันชี้ชะตาว่าผู้ใดจะได้ขึ้นเป็นราชาสิบสองนักษัตรพระองค์ใหม่ ระหว่างเจ้าทิพขุนพลฉลูนักษัตรแห่งปตานีและกัมพะทมิฬขุนพลมะโรงนักษัตรจากไทรบุรี
ฝูงชนคลาคล่ำอยู่บนอัฒจันทร์จนเต็มความจุ กระทั่งพื้นลานด้านล่างโดยรอบก็แน่นขนัด ต่างชวนกันพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะเกี่ยวกับฝีมืออาวุธของผู้เข้าชิงชัยทั้งสอง ส่วนใหญ่คิดเห็นกันว่าเจ้าทิพมีฝีมือเหนือกว่า และส่วนใหญ่ก็หวังใจให้เจ้าทิพชนะ
เพราะไม่ต้องการเห็นชาวโจฬะทมิฬได้ตำแหน่งนี้ไปครอบครอง...
เสียงผู้คนโห่ร้องต้อนรับดังกระหึ่มขึ้นเมื่อเห็นเจ้าทิพเดินเข้ามายังลานประลองแล้วตรงไปพบขุนพลภัทธิยะผู้เป็นกรรมการใหญ่ ส่วนกัมพะทมิฬยืนรออยู่ด้านข้างท่านขุนพลก่อนแล้ว
จาก ๑๒ ขุนพลนักษัตรบัดนี้เหลือเพียงหนึ่งขุนศึกวัยฉกรรจ์ในชุดเกราะแข็งดูองอาจเหี้ยมหาญ กับหนึ่งหนุ่มรุ่นเยาว์ใบหน้างามสง่าในชุดผ้าแพรไร้เครื่องเกราะ
เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ขุนพลภัทธิยะจึงนำผู้เข้าชิงชัยตำแหน่งราชาสิบสองนักษัตรเข้าถวายบังคมองค์กษัตริย์และองค์ราชา ณ บริเวณลานประลองหน้าปะรำที่ประทับ พร้อมขอพระราชทานพระราชานุญาตเริ่มการประลองดาบคู่ซึ่งเป็นด่านแรก แล้วจึงต่อด้วยการประลองทวนบนหลังม้า หากแม้นผลเสมอกันจึงจะประลองง้าวบนคอช้างเป็นด่านสุดท้าย
จากนั้นเสียงกลองและฆ้องดังขึ้นเป็นจังหวะ คู่ชิงชัยทั้งสองจึงเริ่มรำดาบบูชาครูอาจารย์ในตำแหน่งทิศของตนที่จับสลากได้ เจ้าทิพอยู่ด้านทิศตะวันออกควงดาบคู่ร่ายรำตามแบบศรีวิชัย ในขณะที่กัมพะทมิฬรำดาบแบบชาวโจฬะทมิฬอยู่ด้านทิศตะวันตก
เจ้าทิพถือโอกาสทดสอบวิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติ เรียกเสียงอุทานของผู้ชมลั่นสนามเมื่อดาบคู่หมุนเร็วราวใบพัด ส่วนการเคลื่อนกายย้ายตำแหน่งก็ว่องไวดั่งประกายไฟ
“นอกจากอาการชาเพียงเล็กน้อยแล้ว ไม่มีอาการเจ็บปวดสาหัสเหมือนครั้งประลองยิงธนูเลย...” เจ้าทิพครุ่นคำนึงในใจ แล้วค่อยลดความเร็วของปิดปราณเปลี่ยนมิติลง
ขณะที่การรำบูชาครูใกล้เสร็จสิ้น ฝ่ายกัมพะทมิฬพลันเคลื่อนกายร่ายรำจากทิศตะวันตกอ้อมร่างเจ้าทิพไปจนอยู่ด้านหลัง สายลมโชยพัดจากทิศตะวันออกสู่ตะวันตก พากลิ่นกำยานหอบหนึ่งมาพร้อมกับลางอัปมงคลบางอย่างที่ปรากฏขึ้นในใจของชายหนุ่ม
เสียงฆ้องกลองหยุดลง การไหว้บูชาครูเสร็จสิ้นโดยที่กัมพะทมิฬมายืนกระทืบเท้าจบท่า อยู่ใกล้ๆ
“วันนี้คงจะได้พิสูจน์ฝีมือกับเจ้าเสียที ว่าผู้ใดจะเป็นหนึ่ง...” เสียงคู่แข่งขันดังทักทายขึ้นทางเบื้องหลังทำให้เจ้าทิพต้องหันกายไปเผชิญหน้า
แววตาดำขลับของกัมพะทมิฬเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ขนคิ้วที่ดกยาวจนทิ้งปรกลงมาและขอบตาที่ทาดำทำให้ดูเหี้ยมเกรียมดุดันตามแบบของชาวโจฬะทมิฬ
“ข้าไม่ต้องการเป็นหนึ่ง แต่ข้าจำเป็นต้องชนะ” เจ้าทิพตอบไปกลางๆ ไม่มีท่าทีฮึกเหิมใดๆ
ในขณะที่คู่แข่งขันมีแววยิ้มเยาะอยู่มุมปาก กล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าหากเจ้าพ่ายแพ้จะถูกสักหน้าเนรเทศออกจากดินแดนสิบสองนักษัตร... ข้าเวทนาในตัวเจ้าจริงๆ” กล่าวพลางรวบดาบคู่ไว้กับมือซ้าย แล้วยื่นมือข้างขวาที่ว่างมาตบบ่าเจ้าทิพเป็นเชิงปลอบแกมเยาะ
คำ “สักหน้าแล้วเนรเทศ” คล้ายเป็นจุดอ่อนในใจของชายหนุ่ม บาดลึกถึงดวงจิตที่ถูกจงเกลียดจงชังจากทุกคนรวมถึงพระบิดาผู้ให้กำเนิด ความโศกเศร้าพลันพลุ่งพล่านขึ้น
“เอาเถิด ข้าขอจับมือแสดงความเสียใจล่วงหน้าต่อเจ้า” เสียงกัมพะทมิฬดัง พร้อมมือขวายื่นมารออยู่ตรงหน้า
เจ้าทิพยื่นมือออกไปจับ มือชาวโจฬะนั้นใหญ่และดูแข็งแกร่งทรงพลังจนแทบกุมมือชายหนุ่มไว้มิด
“ข้ายินดีตาย.. ดีกว่าพ่ายแพ้และถูกสักหน้า”
ทันใดนั้น มือใหญ่ที่กุมอยู่ก็ออกแรงกดทับลงมาราวคีมเหล็ก สำนึกของเจ้าทิพก่อเกิด เร่งเร้าวิชาสลายธาตุในภาคธาตุดินขึ้นต่อต้านทันที
กัมพะทมิฬรู้สึกเจ็บปวดข้อนิ้วราวบีบกดเข้าใส่วัตถุที่แข็งกว่าหิน ต้องรีบสะบัดมือออกอย่างเร็ว มองเจ้าทิพอย่างไม่เชื่อสายตา คำนึงขึ้น “ทีแรกมือของมันนุ่มนิ่มดั่งมือช่างงานศิลป์ แต่ทำไมกลับกลายเป็นแข็งราวหินเหล็กไปได้... แต่ช่างเถอะ กลิ่นจากกำยานที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อเราคงรมจนได้ที่แล้ว”
ทุกคนเพียงเห็นคู่ชิงชัยจับมือให้กัน แล้วกัมพะทมิฬก็แยกออกมา เดินกลับเข้าประจำตำแหน่งของตนทางทิศตะวันตก
ผู้คนบางส่วนปรบมือชมเชยด้วยเข้าใจว่าทั้งสองมีไมตรีให้กันแม้จะต้องแข่งขันชิงตำแหน่งซึ่งเป็นสุดยอดปรารถนาของชายชาตรีทั้งสิบสองเมือง
“เราไม่เข้าใจ วันแรกที่ประลองยิงธนูเจ้าทิพก็เพียงสวมเกราะอ่อนคลุมช่วงบนลำตัว แต่สองวันมานี้ถึงกับไม่สวมเกราะใดๆ เลย... ผิดกับกัมพะทมิฬที่สวมเกราะแข็งรัดกุมยิ่งขึ้นกว่าเก่า” พระเจ้านครศรีธรรมราชรับสั่งขึ้นเป็นนัยแห่งคำถาม
“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจว่าการสวมเพียงเกราะอ่อนชิ้นเดียวคงเพื่อความคล่องตัวในการหลบหลีกลูกธนูที่ยิงใส่... แต่สำหรับสองวันมานี้ ข้าพระพุทธเจ้าเองก็มิเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าทิพจึงไม่สวมเกราะใดๆ เลย พระพุทธเจ้าข้า” ขุนพลสิงหลที่อยู่ถวายงานหน้าพระพักตร์กราบทูล
“แล้วอาการพิษไข้ของเขารักษาจนทุเลาขึ้นบ้างหรือไม่”
“เมื่อวานเจ้าทิพให้คนมาแจ้งข้าพระพุทธเจ้าว่าจะเดินทางไปรักษาที่บ้านของหมอหลวงเอง มิให้ตามท่านหมอมารักษาที่บ้านของข้าพระพุทธเจ้าดังเช่นเคย ทำให้ข้าพระพุทธเจ้ามิอาจรู้ความนัยของอาการพิษไข้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าศรีมหาราชทรงสดับแล้วก็นิ่งอยู่ มิได้ตรัสสิ่งใดต่อไป
เสียงกลองย่ำจากช้าไปเร็วแล้วสะดุดหยุดลง จากนั้นจึงตีย้ำหนักๆ ๑๒ ครั้ง เป็นสัญญาณเริ่มการต่อสู้
กัมพะทมิฬยืดกายยกดาบขึ้นป้องลำตัว มิได้คิดจะรุกไล่ คล้ายรอเวลาให้ผ่านพ้นไป...
ผิดแผกกับอีกฝ่าย...
เจ้าทิพถลันเข้าประชิด ดาบหนึ่งแทงเข้าหาอีกดาบฟาดเป็นวงฟันหมายลำคอ เป็นเพลงดาบคู่ที่รุนแรงดุดันของพระมหาเถรศรีศรัทธา ผสานความเร็วของวิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติ... ชายหนุ่มหวังเผด็จศึกในเวลาอันสั้น เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัยจากพิษไข้ที่อาจกำเริบขึ้น
กัมพะทมิฬยกดาบคู่ขึ้นต้านรับพร้อมวิชาเร่งปราณเปลี่ยนมิติ เสียงปะทะของคมดาบดังสนั่น แต่ยังมิทันจะได้ขยับดาบตอบโต้ ก็เห็นสองดาบวนเวียนกลับมาอีก ครานี้หนึ่งดาบฟันลงกลางศีรษะอีกหนึ่งดาบฟันตรงโคนขา
เจ้าตัวต้องขยับถอยร่น คมดาบฟาดกระทบเกราะหนังที่ปิดคลุมต้นขาจนสะบัดเปิด
ยังมิทันจะตั้งหลักได้ ดาบหนึ่งก็พุ่งแทงสู่คอหอยเข้ามา อีกดาบตวัดจากล่างขึ้นฟันต้นแขนขวา ขุนพลไทรบุรีหน้าซีดเผือด วกดาบขึ้นขวางอย่างเร็วจนสามารถสกัดดาบที่จู่โจมเข้าสู่คอหอย แต่แขนขวารู้สึกชาวูบเมื่อต้องดาบของเจ้าทิพฟันใส่อย่างแรง...
“หนึ่งแผลไทรบุรี”
เสียงขุนพลภัทธิยะตะโกนขึ้น ขานแผลฉกรรจ์ของฝ่ายขุนพลมะโรงนักษัตร... เพียง ๓ แผลฉกรรจ์ก็กำหนดผลแพ้ชนะได้แล้ว
กัมพะทมิฬสวมเกราะแข็งป้องกันท่อนแขน อีกทั้งดาบที่คู่แข่งขันใช้ก็ไม่มีคม แม้ตามกติกานับเป็นแผลฉกรรจ์แต่มิได้มีบาดแผลสาหัส เพียงกระทบกระเทือนด้วยแรงของดาบจนปวดชาท่อนแขนเท่านั้น
บัดนี้เป็นที่ประจักษ์ว่าความเร็วเร่งปราณเปลี่ยนมิติของชาวโจฬะทมิฬเป็นรองวิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติของเจ้าทิพอยู่ครึ่งขั้น
อีกทั้งความดุดันซับซ้อนของเพลงดาบพระเถระศรีศรัทธาก็ยากที่จะต้านรับได้
กัมพะทมิฬถอยร่นเป็นพัลวัน ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้ชมเกือบทั่วสนาม ผู้คนกว่าเก้าในสิบต่างเอาใจช่วยเจ้าทิพด้วยความผูกพันกันของสายเลือดชาวคาบสมุทรสุวรรณภูมิ จะมีเพียงชาวไทรบุรีที่เอาใจช่วยขุนพลมะโรงนักษัตรตัวแทนของพวกตน
ขุนพลชาวโจฬะทมิฬถอยซวนเซไปมา ยิ่งเนิ่นนานสถานการณ์ยิ่งเลวร้าย... พลันเพลงดาบคู่ของพระมหาเถระฟาดเข้ามาทั้งเร็วทั้งแรง สุดที่จะปิดป้องได้ทัน จำต้องดีดตัวไปข้างหลังจนหงายท้องล้มตรึงไป
เสี้ยวพริบตาแห่งการเผด็จศึก เจ้าทิพเงื้อดาบเข้าซ้ำ... แต่แล้วสิ่งที่ทุกคนมิคาดคิดก็เกิดขึ้น
ร่างชายหนุ่มที่ยืนค้ำอยู่ปลายเท้าของขุนพลชาวโจฬะพลันสะอึกขึ้น ลำตัวและส่วนแขนกระตุกไปมา ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
พิษไข้ป่ากำเริบรุนแรงขึ้นแล้ว...
จากเสียงโห่ร้องให้กำลังใจ กลายเป็นความเงียบงันชะงัก และตามด้วยเสียงอุทานระคนตกใจ
กลับเป็นเจ้าทิพที่เซถอยออกไป ลำตัวโค้งงอ มือที่ถือดาบสั่นสะท้าน เส้นเลือดตามแขนตามลำคอปูดโปนแทบปริแตก... สุดท้ายเมื่อถอยไปถึงก้าวที่แปดก็ทรุดตัวคุกเข่านั่งลง ก้มหน้านิ่ง...
ไม่ช้ากัมพะทมิฬก็ลุกขึ้น แสยะยิ้มแล้วสาวเท้าเข้าหาเจ้าทิพช้าๆ ราวกับเพชฌฆาตเดินไปประหารตัดศีรษะนักโทษ
เพียงเดินไปถึงก้าวที่หก ร่างที่คุดงอรอประหารอยู่กับพื้นก็พลันลุกขึ้น เห็นเม็ดเหงื่อหยาดหยดโทรมใบหน้า
กัมพะทมิฬถลึงตาเพ่งมอง “ถ้าเจ้าไม่เจ็บปวด ก็แสดงว่าละทิ้งวิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติไปแล้ว” กล่าวจบก็หัวเราะขึ้นด้วยความสะใจ
แล้วพุ่งร่างไปข้างหน้า ฟาดดาบขวาฟันเฉียงใส่เจ้าทิพด้วยความเร็ว...
เจ้าทิพมิรอให้ดาบฟันมายังตน เพียงชาวโจฬะเงื้อขยับแขนขวาก็อ่านวิถีดาบออก ชิงขยับกายหมุนวนหลบไปทางซ้าย เมื่อพ้นแล้วจึงถอยหลังแต่แล้วกลับพุ่งถลันขึ้นหน้าแล้ววนขวา เป็นจังหวะเดียวกับดาบสองของกัมพะทมิฬฟันติดตามไปด้วยคาดว่าเจ้าทิพพุ่งหนีถอยไปข้างหลัง
บัดนี้เจ้าทิพวนไปยืนอยู่เบื้องหลังกัมพะทมิฬ ฟาดดาบออกฟันใส่ ขุนพลไทรบุรีรีบหมุนกายกลับยกดาบขึ้นป้อง ขณะที่เจ้าทิพถลันฉากลากกายไปทางขวา กัมพะทมิฬเห็นดังนั้นจึงพุ่งดาบซ้ายเเทงดักไป
แขนเพิ่งขยับ ดาบยังมิทันพุ่ง เจ้าทิพที่ก้าวไปทางขวาพลันโยกกลับไปทางซ้ายแล้วถอยหลัง ทำให้ดาบซ้ายที่พุ่งแทงออกไปถูกอากาศธาตุอีกครั้ง จึงรีบพุ่งกายติดตามวาดดาบในมือขวาเป็นวงโค้งหมายลำคอ พลันร่างเจ้าทิพกลับย่อลงแล้วพุ่งสวนมุดเฉียงไปทางซ้ายของกัมพะทมิฬ ก่อนที่ดาบขวาจะได้สยายวงออกไปเสียด้วยซ้ำ
ยามนี้เจ้าทิพแม้เชื่องช้ากว่าแต่เคลื่อนไหวก่อน ในขณะที่กัมพะทมิฬแม้รวดเร็วด้วยวิชาเร่งปราณเปลี่ยนมิติกลับสับสนสะเปะสะปะ
เมื่อมีจังหวะเจ้าทิพก็จู่โจม แต่ทุกครั้งจะรั้งดาบกลับมาก่อนจบกระบวนเพลงแล้วรีบพลิกเปลี่ยนตำแหน่งยืนด้วยรู้ว่าจู่โจมไปก็ไร้ผล เพราะกัมพะทมิฬมีความเร็วของเร่งปราณเปลี่ยนมิติอยู่
“ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าทิพที่กำเริบพิษร้ายขึ้นมา ยังสามารถต่อสู้ได้คู่คี่ก่ำกึ่งกับกัมพะทมิฬ ทั้งเพลงดาบและการเคลื่อนย้ายร่างก็แปลกไปจากเมื่อวานที่ต่อสู้กับกบิลแห่งพัทลุง” พระเจ้าศรีมหาราชทรงปรารถขึ้น
“ขอเดชะ คงใช่ดังที่ข้าพระพุทธเจ้าคาดคะเนมิผิดแล้ว พระพุทธเจ้าข้า” ขุนพลสิงหลกราบทูล ด้วยอาการตื่นเต้นระคนดีใจ
“ท่านคาดคะเนอะไรหรือ ท่านขุนพล”
“ขอเดชะ ตลอดสองวันมานี้เจ้าทิพเอาแต่เก็บตัวอยู่ภายในที่พัก ออกมาแค่พบหมอหลวง.. และบอกว่ากำลังกระทำเรื่องสำคัญ ซึ่งข้าพระพุทธเจ้าก็แคลงใจตั้งแต่เห็นการต่อสู้กับกบิลเมื่อวาน แต่วันนี้ทุกอย่างประจักษ์ชัด.. เป็นเพราะเจ้าทิพเกรงพิษไข้จะกำเริบขึ้น และไม่อาจผนึกความเร็วปิดปราณเปลี่ยนมิติ จึงฝึกฝนดัดแปลงเพลงดาบของพระมหาเถรศรีศรัทธา ซึ่งเน้นการรุกจู่โจมรุนแรงและซับซ้อนเข้ากับท่าเท้าราชสีห์ก้าวแปดทิศซึ่งเน้นการถอยและป้องกันตัวเป็นหลัก... จนกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่หลอกล่อคู่ต่อสู้ให้สับสน จับทิศทางไม่ถูก พระพุทธเจ้าข้า”
“ถ้าเช่นนั้น หากต่อสู้กันในลักษณะนี้ต่อไป ผู้ใดจะเพลี่ยงพล้ำก่อน”
ขุนพลใหญ่ปตานีสูดลมหายใจลึก กราบทูลด้วยความหนักใจ
“ยากที่จะชี้ชัดพระพุทธเจ้าข้า เจ้าทิพแม้จะช้ากว่ามากแต่อาศัยที่บรรลุระดับภวังค์สำนึกถึงขั้นที่ ๑๐ สามารถอ่านวิถีการรุกของกัมพะทมิฬจากกล้ามเนื้อที่ขยับแล้วชิงเคลื่อนไหวด้วยราชสีห์ก้าวแปดทิศที่ประยุกต์เข้ากับเพลงดาบพระมหาเถระ กลายเป็นการถอยแต่รุกยันไว้ คงยากที่กัมพะทมิฬจะเอาชัย... ขณะเดียวกันกัมพะทมิฬกลับมีความเร็วที่จะอย่างไรก็มิอาจเสียท่าเจ้าทิพ แม้ยามคับขันก็สามารถเร่งความเร็วหลบเลี่ยงเพลงดาบไปได้ ยกเว้นแต่...”
“เว้นแต่สิ่งใด”
(มีต่อ)