เนื่องจากพ่อของเราเพิ่งป่วยมีภาวะเส้นเลือดในสมองตีบมาตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน มีอาการปากเบี้ยว แขนและขาซ้ายอ่อนแรง ขยับไม่ได้(สโตรก) และยังมีภาวะความดันสูง และน้ำตาลในเลือดสูงมากอยู่ก่อนหน้านั้น2-3วัน
ในตอนแรกจึงได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐบาลย่านอนุสาวรีย์ชัย จนน้ำตาลในเลือดและความดันอยู่ในจุดที่สามารถควบคุมได้ จึงได้ย้ายไปรักษาอาการสโตรกต่อที่เอกชนชื่อดังย่านหัวหมาก โดยได้หาข้อมูลมาว่าทางโรงพยาบาลมีเครื่องรักษาซึ่งเป็นวิทยาการใหม่ในการฟื้นฟูอาการสโตรกโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งทางโรงพยาบาลมีเครื่องมือที่ว่านี้มาใช้เป็นเวลาราวๆ1ปีแล้ว น่าจะมีบุคลากรที่มีความเชียวชาญในอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นอย่างดี
ตอนแรกทางเราและครอบครัวได้หาข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ตและคนรู้จักอยู่หลายวิธี ทั้งฝังเข็ม กินสมุนไพร นวด ประคบ กายภาพ จนได้ข้อสรุปว่าอยากให้พ่อกระตุ้นการฟื้นฟูอาการด้วยเครื่องดังกล่าวในเบื้องต้นก่อน แล้วจึงค่อยย้ายมารักษาต่อที่บ้านด้วยวิธีอื่นๆ ด้วยเหตุว่าค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลค่อนข้างสูงซึ่งเป็นเรื่องปกติของโรงบาลเอกชน จึงอยากกระตุ้นให้เร็วที่สุด โดยเชื่อมั่นว่าจะได้ฟื้นฟูได้อย่างเต็มประสิทธิภาพของเครื่อง ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นเท่าไหร่ก็ยอม
ในวันแรก 16 กันยา ได้แอดมิทก่อน 1คืน เพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆก่อน ปรับสภาพแวดล้อมทั้งทางเรา และคนไข้ด้วย
วันที่สอง 17 กันยายน จึงได้ทำการรักษาโดยเครื่องมือดังกล่าวโดยมีแม่และน้องของเราไปนั่งเฝ้า เจ้าหน้าที่ก็จะเอาตัวโพรบไปจี้ที่จุดที่จะทำการฟื้นฟู ทำไป ประมาณ45นาที ก็เสร็จ กลับขึ้นมาพักผ่อนที่ห้องได้
วันที่3 ในช่วงบ่าย จึงได้ทำการรักษาแบบเดิมโดยที่แม่และน้องสาวไปนั่งเฝ้าเหมือนเดิมตัว
ในขณะที่ทำไปแล้วประมาณครึ่งชั่วโมง ในขณะที่เรากำลังขับรถไปใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
เห็นว่าเป็นแม่โทรเข้ามาเลยคิดว่าจะแจ้งอาการพ่อตามปกติ.....แต่มันไม่ใช่
แม่โทรเข้ามาด้วยเสียงสั่นเครื่องเหมือนคนตกใจกลัว เพื่อแจ้งให้เราทราบว่า เครื่องที่ใช้รักษาพ่อ ขณะที่กำลังทำการรักษาได้เกิดระเบิด มีเสียงดัง ประกายไฟและ มีลูกไฟลุกอยู่ที่เครื่อง
ด้วยความที่เราเพิ่งประสบอุบัติเหตุเกี่ยวกับอุปกรณ์โรงงานลูกค้าระเบิดโดนเราไป30กว่าเปอร์เซ็นต์ ใช้เวลารักษาเกือบปีถึงกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ เลยตกใจเป็นอย่างมาก ค่อยโล่งใจตอนที่แม่บอกว่าพ่อไม่เป็นอะไร เจ้าหน้าที่ได้ขอความช่วยเหลือจากห้องข้างนอก และย้ายทุกคนออกไปห้องพักผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว
พอถึงโรงพยาบาลเราเลยรีบไปหาพ่อ ซึ่งปกติจะมีรถกอล์ฟของทางโรงพยาบาลไปส่งถึงตึกที่พ่ออยู่ แต่วันนี้รถกลับขับเลยไป แล้วบอกว่าให้ลงอีกประตูนึง เราก็แปลกใจว่าทำไมไม่เหมือนที่เคยๆมา
พอเข้าไปในโรงพยาบาล จึงได้เห็นว่าทางโรงพยาบาลได้เอาเก้าอี้ตั้งกั้นคนทั่วไปไว้ เปิดประตูหมดทุกบาน มีท่อสูบควันกำลังสูบควันออกจากห้องในแผนกที่พ่อผมทำการรักษา เอาพัดลมมาช่วยเป่าควันออก เจ้าหน้าที่ก็รุมกันอยู่หน้าห้องเต็มไปหมด และมีเจ้าหน้าที่มากันทางเราให้ขึ้นลิฟท์เพื่อไปยังห้องพักผู้ป่วย หลังจากไปถึงห้องพ่อ จึงเล่าให้ทุกคนฟังเรื่องที่เจอในชั้นล่าง ทุกคนยังมีอาการตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ แม่ได้เล่าให้ฟังว่าแม่ตกใจมากตอนที่เครื่องระเบิดเสียงดัง มีควันโขมงเต็มไปหมด เจ้าหน้าที่ต้องรีบดึงปลั๊กแล้วรีบออกไปขอความช่วยเหลือ โดยปล่อยให้แม่กับน้องต้องพยายามดึงเตียงผู้ป่วยออกมากันเองแต่ในช่วงเวลาคับขันไม่รู้วิธีปลดล๊อคล้อ จึงต้องตะโกนเรียกคนข้างนอกมาช่วย จนมีเจ้าหน้าที่เข้ามาพาออกจากห้องที่เต็มไปด้วยควันนั้น
ซักพักเราจึงลงชั้นล่างมากับน้องสาวเพื่อที่จะให้ไปช่วยเอาของที่รถ พอลงมาถึงชั้นล่าง ในตอนนี้ยังมีแผงเก้าอี้ตั้งกั้นคนทั่วไปไม่ให้เข้าอยู่ พร้อมกับป้ายข้อความที่ว่า “ฝึกซ้อมหนีไฟ อบรมดับเพลิง ขออภัยในความไม่สะดวก”
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ทางโรงพยาบาลก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ตอนที่ไปรักษาด้วยเครื่องที่ว่านี้ก็ใช้เวลานานขึ้น จากประมาณ45นาที เป็นเกือบๆ3ชั่วโมง โดยสอบถามไปแล้วว่าเป็นเครื่องรุ่นเก่ากว่าเครื่องที่ระเบิดไป ทำให้ใช้เวลานานขึ้น
แม่เราค่อนข้างจะเครียดมากอยู่แล้วที่พ่อเป็นแบบนี้ อุตส่ายอมเสียเงินก้อนใหญ่เพราะต้องการการรักษาที่ดี เงินสดของที่บ้านก็มีไม่มาก ความเสี่ยงในการหมุนเงินของครอบครัวเพื่อจะมารักษาพ่อก็ต้องไปตามจากลูกค้าที่ไม่ยอมจ่ายซะทีทั้งๆที่ครบกำหนดนานแล้ว (บ้านผมทำค้าขายกับทางองค์กรภาครัฐ ซึ่งจะล่าช้าอยู่เป็นประจำ) ถ้าหมุนเงินไม่ทันก็คงต้องกู้หนี้ยืมสินไว้ก่อน
อุปกรณ์ที่ครอบครัวของเราไว้ใจว่าจะช่วยให้อาการป่วยดีขึ้น กลับกลายเป็นว่าต้องเสี่ยงชีวิตแทน ยิ่งครอบครัวของเราเพิ่งมีเหตุบอบช้ำกับเหตุการณ์ระเบิดของเรามายังไม่ถึงปี ทุกคนเหนื่อยกันมามากอยู่แล้วยังต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก
หลังจากวันนั้น เราเลยต้องฟื้นฟูพ่อด้วยวิธีเดิมต่อ แม้จะใช้เวลามากขึ้นกว่าเดิมแต่ทำอะไรไม่ได้ ทำๆให้จบคอร์สตามที่ตั้งใจไว้ตอนแรก โดยต้องมีคนมาเฝ้ากันเองทุกครั้งเพราะไม่มั่นใจในเครื่องมือของทางโรงพยาบาลแล้วว่าจะไฟลุกอีกครั้ง จนถึงตอนนี้ได้ย้ายพ่อออกมาจากโรงพยาบาลมารักษาต่อที่บ้านแล้ว แต่ก็ยังพูดไม่ค่อยได้และยังขยับซีกซ้ายไม่ได้เหมือนเดิม
เราซึ่งรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพ่อของเราอยู่แล้วจึงเกิดข้อสงสัยกับทางโรงพยาบาลว่า
- คุณให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของทางโรงพยาบาล จนต้องปกปิดด้วยข้อความบิดเบือนความจริงแบบนี้เลยหรือ?
- อุปกรณ์ที่ใช้รักษาอยู่เกิดความผิดพลาดจนไฟไหม้แบบนี้ มันจะมีผลกระทบอะไรกับพ่อเราในระยะยาวมั้ย?
- เมื่อเป็นแบบนี้ ทางโรงพยาบาลจะไม่มีจดหมายขอโทษหรือแสดงรับผิดชอบอะไรบ้างเลยหรือ?
- ในด้านอื่นของทางโรงพยาบาล ปฏิบัติกับครอบครัวเราดีมาก ทั้งหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนี้น่าจะเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารโรงพยาบาล จะไม่ทำอะไรกันเลยหรือ?
ทุกอย่างที่เราโพส มีหลักฐานเป็นรูปถ่ายในที่เกิดเหตุในตอนที่เราอยู่ในเหตุการณ์**
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ทางเราอยากจะถามเพียงว่าถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของท่าน จะทำยังไงกันต่อ สามารถร้องเรียนทางใครได้บ้างไหม? เราควรทำยังไงต่อไป? ขอคำแนะนำด้วยครับ
ถ้าโรงพยาบาลที่คุณไว้ใจทำกับครอบครัวคุณแบบนี้ จะทำยังไงต่อไปดี? ขอคำแนะนำด้วยครับ
ในตอนแรกจึงได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐบาลย่านอนุสาวรีย์ชัย จนน้ำตาลในเลือดและความดันอยู่ในจุดที่สามารถควบคุมได้ จึงได้ย้ายไปรักษาอาการสโตรกต่อที่เอกชนชื่อดังย่านหัวหมาก โดยได้หาข้อมูลมาว่าทางโรงพยาบาลมีเครื่องรักษาซึ่งเป็นวิทยาการใหม่ในการฟื้นฟูอาการสโตรกโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งทางโรงพยาบาลมีเครื่องมือที่ว่านี้มาใช้เป็นเวลาราวๆ1ปีแล้ว น่าจะมีบุคลากรที่มีความเชียวชาญในอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นอย่างดี
ตอนแรกทางเราและครอบครัวได้หาข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ตและคนรู้จักอยู่หลายวิธี ทั้งฝังเข็ม กินสมุนไพร นวด ประคบ กายภาพ จนได้ข้อสรุปว่าอยากให้พ่อกระตุ้นการฟื้นฟูอาการด้วยเครื่องดังกล่าวในเบื้องต้นก่อน แล้วจึงค่อยย้ายมารักษาต่อที่บ้านด้วยวิธีอื่นๆ ด้วยเหตุว่าค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลค่อนข้างสูงซึ่งเป็นเรื่องปกติของโรงบาลเอกชน จึงอยากกระตุ้นให้เร็วที่สุด โดยเชื่อมั่นว่าจะได้ฟื้นฟูได้อย่างเต็มประสิทธิภาพของเครื่อง ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นเท่าไหร่ก็ยอม
ในวันแรก 16 กันยา ได้แอดมิทก่อน 1คืน เพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆก่อน ปรับสภาพแวดล้อมทั้งทางเรา และคนไข้ด้วย
วันที่สอง 17 กันยายน จึงได้ทำการรักษาโดยเครื่องมือดังกล่าวโดยมีแม่และน้องของเราไปนั่งเฝ้า เจ้าหน้าที่ก็จะเอาตัวโพรบไปจี้ที่จุดที่จะทำการฟื้นฟู ทำไป ประมาณ45นาที ก็เสร็จ กลับขึ้นมาพักผ่อนที่ห้องได้
วันที่3 ในช่วงบ่าย จึงได้ทำการรักษาแบบเดิมโดยที่แม่และน้องสาวไปนั่งเฝ้าเหมือนเดิมตัว
ในขณะที่ทำไปแล้วประมาณครึ่งชั่วโมง ในขณะที่เรากำลังขับรถไปใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
เห็นว่าเป็นแม่โทรเข้ามาเลยคิดว่าจะแจ้งอาการพ่อตามปกติ.....แต่มันไม่ใช่
แม่โทรเข้ามาด้วยเสียงสั่นเครื่องเหมือนคนตกใจกลัว เพื่อแจ้งให้เราทราบว่า เครื่องที่ใช้รักษาพ่อ ขณะที่กำลังทำการรักษาได้เกิดระเบิด มีเสียงดัง ประกายไฟและ มีลูกไฟลุกอยู่ที่เครื่อง
ด้วยความที่เราเพิ่งประสบอุบัติเหตุเกี่ยวกับอุปกรณ์โรงงานลูกค้าระเบิดโดนเราไป30กว่าเปอร์เซ็นต์ ใช้เวลารักษาเกือบปีถึงกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ เลยตกใจเป็นอย่างมาก ค่อยโล่งใจตอนที่แม่บอกว่าพ่อไม่เป็นอะไร เจ้าหน้าที่ได้ขอความช่วยเหลือจากห้องข้างนอก และย้ายทุกคนออกไปห้องพักผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว
พอถึงโรงพยาบาลเราเลยรีบไปหาพ่อ ซึ่งปกติจะมีรถกอล์ฟของทางโรงพยาบาลไปส่งถึงตึกที่พ่ออยู่ แต่วันนี้รถกลับขับเลยไป แล้วบอกว่าให้ลงอีกประตูนึง เราก็แปลกใจว่าทำไมไม่เหมือนที่เคยๆมา
พอเข้าไปในโรงพยาบาล จึงได้เห็นว่าทางโรงพยาบาลได้เอาเก้าอี้ตั้งกั้นคนทั่วไปไว้ เปิดประตูหมดทุกบาน มีท่อสูบควันกำลังสูบควันออกจากห้องในแผนกที่พ่อผมทำการรักษา เอาพัดลมมาช่วยเป่าควันออก เจ้าหน้าที่ก็รุมกันอยู่หน้าห้องเต็มไปหมด และมีเจ้าหน้าที่มากันทางเราให้ขึ้นลิฟท์เพื่อไปยังห้องพักผู้ป่วย หลังจากไปถึงห้องพ่อ จึงเล่าให้ทุกคนฟังเรื่องที่เจอในชั้นล่าง ทุกคนยังมีอาการตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ แม่ได้เล่าให้ฟังว่าแม่ตกใจมากตอนที่เครื่องระเบิดเสียงดัง มีควันโขมงเต็มไปหมด เจ้าหน้าที่ต้องรีบดึงปลั๊กแล้วรีบออกไปขอความช่วยเหลือ โดยปล่อยให้แม่กับน้องต้องพยายามดึงเตียงผู้ป่วยออกมากันเองแต่ในช่วงเวลาคับขันไม่รู้วิธีปลดล๊อคล้อ จึงต้องตะโกนเรียกคนข้างนอกมาช่วย จนมีเจ้าหน้าที่เข้ามาพาออกจากห้องที่เต็มไปด้วยควันนั้น
ซักพักเราจึงลงชั้นล่างมากับน้องสาวเพื่อที่จะให้ไปช่วยเอาของที่รถ พอลงมาถึงชั้นล่าง ในตอนนี้ยังมีแผงเก้าอี้ตั้งกั้นคนทั่วไปไม่ให้เข้าอยู่ พร้อมกับป้ายข้อความที่ว่า “ฝึกซ้อมหนีไฟ อบรมดับเพลิง ขออภัยในความไม่สะดวก”
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ทางโรงพยาบาลก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ตอนที่ไปรักษาด้วยเครื่องที่ว่านี้ก็ใช้เวลานานขึ้น จากประมาณ45นาที เป็นเกือบๆ3ชั่วโมง โดยสอบถามไปแล้วว่าเป็นเครื่องรุ่นเก่ากว่าเครื่องที่ระเบิดไป ทำให้ใช้เวลานานขึ้น
แม่เราค่อนข้างจะเครียดมากอยู่แล้วที่พ่อเป็นแบบนี้ อุตส่ายอมเสียเงินก้อนใหญ่เพราะต้องการการรักษาที่ดี เงินสดของที่บ้านก็มีไม่มาก ความเสี่ยงในการหมุนเงินของครอบครัวเพื่อจะมารักษาพ่อก็ต้องไปตามจากลูกค้าที่ไม่ยอมจ่ายซะทีทั้งๆที่ครบกำหนดนานแล้ว (บ้านผมทำค้าขายกับทางองค์กรภาครัฐ ซึ่งจะล่าช้าอยู่เป็นประจำ) ถ้าหมุนเงินไม่ทันก็คงต้องกู้หนี้ยืมสินไว้ก่อน
อุปกรณ์ที่ครอบครัวของเราไว้ใจว่าจะช่วยให้อาการป่วยดีขึ้น กลับกลายเป็นว่าต้องเสี่ยงชีวิตแทน ยิ่งครอบครัวของเราเพิ่งมีเหตุบอบช้ำกับเหตุการณ์ระเบิดของเรามายังไม่ถึงปี ทุกคนเหนื่อยกันมามากอยู่แล้วยังต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก
หลังจากวันนั้น เราเลยต้องฟื้นฟูพ่อด้วยวิธีเดิมต่อ แม้จะใช้เวลามากขึ้นกว่าเดิมแต่ทำอะไรไม่ได้ ทำๆให้จบคอร์สตามที่ตั้งใจไว้ตอนแรก โดยต้องมีคนมาเฝ้ากันเองทุกครั้งเพราะไม่มั่นใจในเครื่องมือของทางโรงพยาบาลแล้วว่าจะไฟลุกอีกครั้ง จนถึงตอนนี้ได้ย้ายพ่อออกมาจากโรงพยาบาลมารักษาต่อที่บ้านแล้ว แต่ก็ยังพูดไม่ค่อยได้และยังขยับซีกซ้ายไม่ได้เหมือนเดิม
เราซึ่งรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพ่อของเราอยู่แล้วจึงเกิดข้อสงสัยกับทางโรงพยาบาลว่า
- คุณให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของทางโรงพยาบาล จนต้องปกปิดด้วยข้อความบิดเบือนความจริงแบบนี้เลยหรือ?
- อุปกรณ์ที่ใช้รักษาอยู่เกิดความผิดพลาดจนไฟไหม้แบบนี้ มันจะมีผลกระทบอะไรกับพ่อเราในระยะยาวมั้ย?
- เมื่อเป็นแบบนี้ ทางโรงพยาบาลจะไม่มีจดหมายขอโทษหรือแสดงรับผิดชอบอะไรบ้างเลยหรือ?
- ในด้านอื่นของทางโรงพยาบาล ปฏิบัติกับครอบครัวเราดีมาก ทั้งหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนี้น่าจะเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารโรงพยาบาล จะไม่ทำอะไรกันเลยหรือ?
ทุกอย่างที่เราโพส มีหลักฐานเป็นรูปถ่ายในที่เกิดเหตุในตอนที่เราอยู่ในเหตุการณ์**
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ทางเราอยากจะถามเพียงว่าถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของท่าน จะทำยังไงกันต่อ สามารถร้องเรียนทางใครได้บ้างไหม? เราควรทำยังไงต่อไป? ขอคำแนะนำด้วยครับ