ผมขอระบายสิ่งต่างๆที่ผมได้เจอนะครับ (ต่อจากกระทู้ 38057227)

สวัสดีครับ
จากกระทู้ที่แล้วของผม
https://pantip.com/topic/38057227
ผมขอขอบคุณทุกๆท่านที่ให้กำลังใจครับผม ผมมีเรื่องอยากระบายมากมาย แต่ก็ไม่ค่อยได้เขียนกระทู้มากนัก
กระทู้นี้ผมอยากเล่าหลายๆเรื่องที่ผมเก็บไว้ครับ

เริ่มจากตอนที่ผมกำลังจะออกจากไทยเป็นครั้งแรก ผมนัดเจอคนที่รู้จักไปไหว้พระ แต่พอถึงเวลานัด เขาก็เปลี่ยนใจไม่ไปในนาทีที่ผมมาเจอเค้าทันที มันคือจุดเริ่มต้นของชีวิตนักเรียนนอกของผม
พอถึงวันที่ผมจะไป ทุกๆครั้งที่คนที่ผมรู้จักหรือเคยเห็นจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็มักจะมีคนมากมายมาส่งที่สนามบิน เหมือนที่ผมเองก็เคยไปส่งคนอื่น แต่ในวันที่ผมไป ไม่มีใครทั้งนั้นครับ คนที่เค้าคิดจะมา ก็บังเอิญติดธุระพร้อมๆกันทุกคน ผมได้แค่ใช้แชทบอกคนอื่นๆเพื่อบอกว่าไปแล้วนะ ได้แค่นั้นจริงๆ และได้คำตอบสั้นๆจากคนไม่กี่คนเท่านั้น
พอผมไปถึง ทุกๆอย่างก็มืดมิดด้วยความที่เป็นหน้าหนาว ผมไม่เคยไปไกลขนาดนั้นมาก่อน ในที่ๆไม่มีใครที่ผมรู้จัก มันเงียบ มืด และหนาวบาดใจ ผมพยายามคิดเสมอว่า ทุกคนที่มาเรียนนอกก็เจอเหมือนๆกัน เดี๋ยวมันก็ลงตัวเอง
(ผมขอชี้แจงก่อนว่า ผมคุยปัญหากับครอบครัวไม่ได้ ทุกครั้งที่ผมอยากบ่นความรู้สึก อยากระบาย เค้าจะโกรธ และประชดประชันอยู่เสมอๆ เช่น มีปัญหานักก็เลิกเลย ทนไม่ได้ก็กลับ ไม่ต้องเรียนมันแล้ว หรืออื่นๆ ผมจึงต้องทนเงียบๆตลอดมา)

ผมเริ่มต้นการเรียน ในคลาสที่มีแต่คนจากชาติเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน ยกเว้นผม แม้ทางวิทยาลัยจะมีกฎให้นักเรียนพูดภาษาอังกฤษ ก็ไม่อาจควบคุมนักเรียนได้ ผมรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด แต่ผมก็ทนบอกตัวเองว่า เดี๋ยวก็คงดีขึ้นเอง
ผมได้รู้ในสัปดาห์แรกว่า ที่พักที่ผมอยู่ ไกลจากที่เรียนเกือบ 2 กิโล และต้องเดินข้ามเขา 2 ลูก ส่วนคนอื่นๆ มีที่พักอยู่ข้างๆตึกเรียน ทุกๆวัน ผมเลยต้องเดินคนเดียวลุยหิมะข้ามเขาไปกลับ ส่วนในเวลาระหว่าชั่วโมงเรียน คนอื่นๆเดินกลับห้องพัก ผมต้องรอที่ตึกเรียน เพราะไม่มีเวลาพอจะกลับไปห้องตัวเอง
หลายๆครั้ง ผมชวนคนนู้นคนนี้คุย ด้วยเรื่องทั่วๆไปทั้งหลาย บางครั้งเค้าก็คุยเรื่องที่เค้าสนใจ แม้ผมไม่สนใจเรื่องนั้น ผมก็พยายามคุยเรื่องนั้น ด้วยความรู้เท่าที่ผมมี (เช่นเรื่องฟุตบอลที่ผมไม่สนใจ ผมก็พยายามคุย แค่เพื่อให้ได้คุย แต่ผมบอกก่อนว่าผมอาจจะไม่รู้มากนัก)  แต่ถ้าผมพยายามจะพูดเรื่องที่ผมสนใจก็จะไม่มีใครคุยกับผม และเมื่อคนชาติเดียวกับเขาเดินมา ไม่ว่าใครก็จะหยุดคุยกับผม และหันไปคุยกันเอง เป็นภาษาของตัวเอง

ช่วงแรกๆผมพยายามทักไปหาคนที่ผมเคยรู้จัก ก็ได้คำตอบบ้าง ไม่ได้บ้าง ผมหวังว่าทุกอย่างคงลงตัวได้ในไม่กี่เดือน แต่ก็ไม่เคยลงตัวสักที
ผมได้คุยกับที่ปรึกษา เค้าแนะนำให้นัดคุยกับฝ่ายสนับสนุนนักเรียน ซึ่งผมได้รับเวลาคุย 15 นาที ในการนัด 1 ครั้ง และเมื่อหมดเวลา ทุกอย่างก็จบ หากจะนัดครั้งต่อไป จะต้องรอ 1-2 อาทิตย์
ความรู้สึกของผมยังคงสับสนไปหมด ในขณะที่คนอื่นๆคุยภาษาเดียวกัน หลังเลิกเรียนสามารถถามกัน ปรึกษากัน ด้วยภาษาของตัวเองได้ แต่ผมกลับไม่มีใครจะคุยด้วยได้ เพราะแม้แต่ภาษาอังกฤษ ก็ไม่มีใครยอมคุยกับผม (เค้าอยากคุยด้วยภาษาของเค้า)
ครูหลายคนพูดในคลาสเสมอๆ ว่าการที่ไม่คุยเป็นภาษาอังกฤษ การมาเรียนแบบนี้ จะได้ประโยชน์อะไร และถึงแม้เค้าจะพยายามช่วยผมแบบตรงๆ โดยการบอกทุกๆคนว่า การที่ไม่คุยกันเป็นภาษาอังกฤษมันไม่ยุติธรรมกับคนที่พูดภาษาของพวกคุณไม่ได้นะ แต่ก็ไม่เป็นผล และครูผู้สอน ก็ไม่ได้มีเวลาว่างพอที่จะให้ผมคุยด้วยมากนัก (ถ้าคุย ก็เพียงเรื่องเรียน รวบรัดให้สั้น เพราะเค้าก็มีคลาสต้องสอนต่อ จะคุยเรื่องสัพเพเหระไม่ได้)
เวลายังผ่านไปเรื่อยๆ มันไม่เคยลงตัวซักที ถึงแม้ผมจะพอฟังภาษาที่เค้าพูดกันได้บ้างเป็นบางคำ แต่ก็ไม่เพียงพอจะสื่อสารกับพวกเค้า และครูทุกคนก็บอกว่า คุณมาเรียนที่ประเทศนี้เพื่อเรียนด้วยภาษาอังกฤษไม่ใช่หรือ

เทอมแรกจบลง อย่างที่ผมยังพอทนได้ ผมได้กลับบ้านเป็นครั้งแรก แต่การกลับมาก็ว่างเปล่า ผมไม่ได้ระบายความรู้สึกอะไร เพราะคนที่ผมอยากเจอก็แทบจะไม่ว่างเลยด้วยความบังเอิญ (แต่ว่างก่อนผมกลับ และหลังผมกลับ)
ผมกลับไปเรียนต่อเทอมที่ 2 เงียบๆอีกครั้ง ผมคิดว่าจบเทอมแล้วจะกลับมาอีก คงจะได้เจอคน(หลายคน)ที่ผมอยากเจอ และผมก็กลับไปสู้ต่อ เทอมนี้ผมได้พบปัญหาใหญ่ต่อมา คือการทำงานกลุ่ม เมื่อจัดกลุ่ม คนในคลาสตั้งผมเป็นหัวหน้ากลุ่ม แต่ผมไม่สามารถเริ่มงานได้เลย ทั้งที่งานให้เวลา 8 สัปดาห์ แต่ผ่านไปแล้ว 7 สัปดาห์ก็ยังเริ่มไม่ได้ และผมก็ถูกผู้สอนตำหนิในการเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ไม่ได้เรื่อง ผมทั้งโกรธ ทั้งอาย แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่นั่นก็ทำให้เงานเริ่มต้นได้ และต้องรีบรัดทำให้สัปดาห์สุดท้าย
ช่วงหยุด ผมลองไปเที่ยวเมืองหลวงคนเดียว (เพราะไม่มีใครสนใจไปกับผม) เมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ผมชื่นชอบ พิพิธภัณฑ์ ปราสาทเก่าแก่ สถานที่ทางประวัติศาสตร์ แต่ผมกลับไม่รู้สึกดีเลย เพราะนอกจากซื้อตั๋วกับอาหารแล้ว ผมไม่ได้พูดอะไรเลย ผมเริ่มรู้สึกว่า ถ้ามีคนมาด้วย คงสนุกกว่านี้  คืนหนึ่ง ผมหลงทางตอนค่ำ และใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะกลับถึงโรงแรม ผมเริ่มคิดว่า ผมไม่ควรมาคนเดียวแบบนี้เท่าไหร่นัก และค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงเกือบ 2 หมื่นบาทในเวลาเพียง 3 วัน (ค่าโรงแรม+ค่ารถ+ตั๋วค่าเข้า 1 สถานที่) ทำให้ผมรู้สึกละอายใจที่เอาเงินมาใช้เที่ยวแบบนี้ และผมก็เดินทางกลับไปเงียบๆ ระหว่างทางผมเห็นนักเรียนจากเมืองต่างๆ กำลังกลับไปเมืองที่ตัวเองอยู่ แต่ละคนล้วนมาเป็นกลุ่มๆ คุยภาษาเดียวกัน(ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ) ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีเลย
ช่วงใกล้สอบ บางคนในคลาสที่คร่ำเคร่งในการทบทวน มักจะเข้ามาถามคนอื่นๆ รวมถึงผม ผมยินดีตอบทุกครั้ง แต่ทุกครั้งที่ผมสงสัยอะไรเรื่องเรียนแล้วเข้าไปถาม เขาจะตอบคำเดียวว่า “ไม่รู้” ทำให้ผมได้แค่นั่งทวนทุกอย่างคนเดียวเช่นเคย
เทอมนี้ที่ปรึกษาส่งผมไปพบนักจิตวิทยาของทางมหาลัย ซึ่งนัดได้ครั้งละ 45 นาที และนัดคั้งต่อไปได้ประมาณ 2-3 อาทิตย์ ผมเขียนเรื่องที่ผมอยากพูดไปอ่าน เพื่อความสะดวกในการบริหารเวลา ณ เวลานั้นผมยังคงรู้สึกดีเมื่อได้พูด แต่แม้ว่าผมจะรีบแค่ไหน เวลาก็ไม่เคยพอ กว่าผมจะอธิบายได้จนพอเป็นที่เข้าใจ ก็ใช้ไป 3 นัดหมาย และทุกๆครั้ง ผมจะรู้สึกแย่ลงๆ ก่อนนักจิตวิทยาจะแนะนำให้ผมพบแพทย์ (gp) ของทางมหาลัย ซึ่งวันนัดที่เร็วที่สุดก็คือเทอมถัดไป หรือราวเดือนครึ่ง

ผมจบเทอมที่ 2 และพยายามกลับมาไทยอีกครั้งช่วงสั้นๆ ด้วยความหวังว่าจะได้กำลังใจจากคนที่ผมอยากเจอ แต่สิ่งที่ผมได้รับ คือความบังเอิญอีกครั้ง ที่ทุกคนจะไม่ว่างในเวลาที่ผมกลับมาพอดี และจะว่างหลังจากผมกลับไปเรียนต่อ (ผมฝืนไปดักเจอคนๆนึงที่กำลังจะไปที่อื่น และผมจะไม่ได้กลับมาเจออีกนาน แต่นั่นเป็นความผิดพลาดมากครับ เหมือนที่ผมเขียนในกระทู้ที่แล้ว)
ผมกลับไปด้วยความรู้สึกที่แย่มาก และว่างเปล่าแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เทอมสุดท้ายนี้ อากาศกำลังร้อนจัด ทุกอย่างเลวร้ายไม่แพ้เทอมก่อนๆ และผมก็ได้พบแพทย์ ภายใต้นัดหมายแบบ double appointment คือไม่เกิน 15 นาที ซึ่งเมื่อผมพบแพทย์คนแรก เค้าต้องการแค่อาการปัจจุบันเท่านั้น โดยผมไม่สามารถอธิบายอะไรได้เลย เมือผมพูดคำว่าหลังจากที่ หรือคำว่า ก่อนหน้านี้ หมอจะบอกว่าเค้าไม่ต้องการรู้ ผมเลยพูดได้แค่ว่า เวียนหัว เหนื่อย เพลีย เครียด เศร้า กังวล และเวลานัดหมายก็หมดลง การนัดอีกครั้ง ใช้เวลา 2 อาทิตย์ แต่ผมรู้สึกว่าแบบนี้คงไม่เป็นผลอะไรแน่
หลังจากนั้นผมพบกับที่ปรึกษา เค้าเห็นด้วยว่าการพบแพทย์ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ แต่ก็จำเป็นต้องได้รับความเห็นจากแพทย์เพื่อส่งตัวผมไปพบแผนกสวัสดิการผู้ทุพพลภาพของทางมหาลัย ตามความเห็นของนักจิตวิทยา ซึ่งใช้เวลานานมากๆ
ผมรู้สึกอึดอัดกับทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น อัดอั้นด้วยความรู้สึกที่อยากระบายออกไป แต่ก็ไม่สามารถทำได้ แม้จะเคยลองโทรไประบายกับอาสาสมัครก็รู้สึกว่าติดขัดทางภาษามากจนไม่ได้ความเท่าไหร่ และผมต้องทนอยู่แบบนั้นทุกวันอย่างทรมาน

กว่าจะจบเทอมสุดท้าย ผมกลับมาต่อวีซ่าที่ไทยอีกครั้ง และทุกครั้งที่กลับมา ผมพบว่า แทบทุกคนที่ผมรู้จัก แทบไม่มีใครที่ผมจะคุยได้ แม้แต่ไปงานเลี้ยงของโรงเรียน ก็มีแค่ “อ้าวกลับมาหรอ” แค่นั้น  ผมเหมือนไม่มีตัวตน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม รู้สึกไร้ค่ามากที่สุด
ผมไปไหว้พระอย่างที่ผมเคยชอบไป เพื่อตั้งจิตให้นิ่งอย่างที่หลายๆคนแนะนำ แต่ก็ยังคงไม่ดีขึ้นเลย
ผมอยากพบจิตแพทย์ในไทย แต่แม้แต่จะแอบไปก็ไม่ได้ และทางบ้านก็ไม่ต้องการให้ผมไปพบ เพราะผมต้องไม่ป่วยเท่านั้น

ผมอยากให้ทุกอย่างจบลงโดยเร็ว ผมคงต้องกลับไปต่อในอีกไม่กี่วันนี้ ทุกครั้งที่ผมรู้สึกแย่ลงเมื่ออยู่ที่นู่น ผมรู้สึกว่า มันไม่เคยแย่เท่านี้ แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ มันก็แย่ลงอย่างสุดๆ และทุกเดือนที่ผ่านไป มีแต่แย่ลงเรื่อยๆ

ที่สุดท้ายผมเลยเลือกระบายลงในกระทู้พันทิปนี้ครับ ไม่มีทางอื่นเลยจริงๆ ทุกอย่างมืดและแย่ไปหมด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่