สวัสดีค่ะ ยืมล็อกอินเพื่อนมาใช้นะคะ วันนี้มีอุทาหรณ์สอนใจคนขี้เกรงใจหรือเห็นใจกลุ่มพนักงานที่ขายคอร์ส แจกใบปลิวต่างๆนะคะ ตอนนี้เราเจ็บปวดกับความโง่ ยอมรับค่ะว่าโง่มาก ถึงขั้นรูดบัตรไป 96,000 บาท!!! ไม่คิดมาก่อนว่าจะไปไกลถึงขนาดนี้ โง่ ขาดสติ ขนาดนี้ เรื่องมีอยู่ว่า
ประมาณช่วงเย็นวันที่11กันยา61หลังเลิกงานเราได้แวะห้าง Esplanade เดินอยู่"คนเดียว" ที่ชั้น 1 ของห้าง
เพื่อเดินดูเสื้อผ้า ก็มีพนักงานขายคนนึง(อักษรย่อ "ฮ”)เข้ามาแจกใบปลิว เราปฎิเสธไปแต่เขาก็อ้างว่า ขอแค่ชื่อเล่นก็ได้ เขาจะได้ๆยอด ชวนเราเดินเข้าบูท หลังเข้าไปก็ให้อีกคน(ชื่อว่า “ค”)มาคุยเข้ามาเสนอขายคอร์ส นำคอร์สต่างๆ มาให้ดู เราก็ดูๆ เค้าก็แนะนำว่าตอนนี้เค้าเหมือนจะหาคนมาเป็น พรีเซ็นเตอร์ให้ทางร้าน จ่ายเงิน 20,000 บาท(เสนอว่าแบ่งจ่ายผ่านบัตรเครดิตกสิกรได้10เดือน) แล้วสามารถมาเลือกทำคอร์สต่างๆ ได้ในวงเงิน 90,000 เราก็ยังเฉยๆอยู่ ตอนนี้มีพี่ผู้หญิงอีกสองคนที่นั่งข้างๆเข้ามาคุยด้วย(คนนึงชื่อ “พ” อ้างว่าเป็นเจ้านาย,อีกคนเป็นผู้หญิงที่ดูมีอายุมากสุดแต่เราไม่ทราบชื่อ) กลายเป็น 3 คนรุมเรา คนชื่อ “ค” ก็แนะนำว่าเป็น “คุณ พ”เป็นเจ้านาย(เรียกคุณทุกคำ) ไม่ได้มาบ่อยๆ “พ”ก็ถามเราว่าเราอยากทำอะไรที่หน้ามั้ย อยากแก้ไขอะไรหรือเปล่า เราตอบไปว่าไม่มี เขาก็บอกว่า เอาตรงๆจากที่มองดู น่าจะมีเรื่องริ้วรอยใต้ตาขอบตาคล้ำ ถ้าตัดสินใจวันนี้จ่าย 20,000 คุณ พ นี่จะให้วงเงินเพิ่มเป็น120,000 ไปเลย เราก็เลยลังเล และสนใจคอร์สนึงอยู่ จึงสอบถามคอร์สเกี่ยวกับริ้วรอยใต้ตา ระหว่างนั้นเขาก็ขอดูหน้าบัตรเครดิต เรายื่นบัตรเครดิตให้คนชื่อ “ค” นี่ไป พร้อมขอบัตรประชาชน แต่ยังไม่ทันได้รูดหรือเซ็นเอกสารใดใด คนชื่อ “พ” เห็นเราสนใจเรื่องใต้ตาก็ถามเราว่า อยากทำแบบทีเดียวแล้วเห็นผลทันทีมั้ย แนะนำเราว่ามีแบบฉีดยาตัวนึงเป็นคริสตัลอะไรสักอย่างเราจำชื่อไม่ได้ แล้วให้คนชื่อ ค อธิบายเรา มีคำว่าฟิลเลอร์ออกจากปาก “ค” คุณ พ นั่นก็รีบบอกว่าไม่ใช่อธิบายใหม่ และก็พยายามรวบรัดให้เราไปทำตอนนั้นเลย โดยไม่ได้อธิบายเพิ่ม ชวนเราขึ้นไปที่คลินิกอ้างว่าหมอยังอยู่พอดีให้หมอช่วยดู ทั้งสามคนพาเรากดลิฟไปที่คลินิกชั้น2 (คลินิกขึ้นต้นด้วยL ข้างธนาคารกสิกร)
เมื่อขึ้นไปก็พบหมอผู้ชายหน้าตาจีนๆ และเจ้าหน้าที่เคาเตอร์คิดเงินเป็นผู้หญิง1คน พนักงานขายชายอีก 2 คน มีลูกค้าคนอื่นอีกสองรายที่ป้ายยาชารอทำหน้าอยู่ ทั้งสามคนให้เรานั่งรอ "ค"จัดแจงนำน้ำเปล่ามาให้เราดื่มและให้เรานั่งรอที่โซฟาเพื่อรอให้หมอประเมินใบหน้า จากนั้น เราก็เข้าไปพบหมอ หมอก็แนะนำให้ฉีดข้างแก้ม ใต้ตา ขมับ 2 ข้าง และคาง แต่เราก็แย้งไปว่าไม่อยากฉีดคาง ก็เลยขอไม่ฉีด(ตอนนี้เรายังเข้าใจว่านี่คืออยู่ในวงเงิน120,000ที่แจ้งเราด้านล่าง) หลังจากพบหมอ เจ้าหน้าที่ก็นำเครื่องคิดเลขมากด อะไรนั่น นู้น นี่ ให้เราดู กดตลอดเวลา เราถามว่าสรุปเราต้องจ่ายเท่ารั้ย "พ"กดคำนวณออกมาเป็น 2,400 บาท เราก็คิดว่าก็โอเคเพิ่มจาก 2,000บาท เป็น 2,400บาท ต่อเดือน ยังพอรับได้ แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ จากนั้นเขาก็รีบให้พนักงานผู้ช่วยหมอมาจัดการเช็ดหน้าเราด้วยคลีนซิ่ง แล้วให้เราออกไปนั่งรอที่โซฟา(เพื่อรอหมอไปทำหน้าให้ลูกค้าอีกคนที่นั่งทายาชารออยู่ก่อนนั้น) ระหว่างนั้น"พ"ก็มาคุยประมาณว่าน่าจะสัก4หลอด เดี๋ยวให้ราคาพิเศษ ก็กดเครื่องคิดเลขมา 64,000 บาท(เราก็ยังเข้าใจว่าอยู่ในวงเงินที่ให้เรา ยอดนี้คือหักจาก 120,000 ที่เราได้มาจากข้างล่าง เราก็ไม่ได้ถามให้ชัดเจน และเขาก็ไม่ได้บอก) หญิงคนสูงอายุนั้นก็ถามว่าเรามีบัตรอื่นอีกมั้ยขอดูหน้าบัตร เราก็เลยให้บัตรของธนาคารไทยพาณิชย์ไป (จุดนี้บัตรเราอยู่ที่เขาสองใบแล้วเรียบร้อย)
หลังจากนั้นก็ให้เราเข้าห้องหมอ (มีพนักงานผู้ช่วยหมอ<ถ้าจำไม่ผิดคือ ชื่อ “บ”> ถือถาดยามา บนถาดยามีsyringe ไม่แน่ใจว่ากี่อันและน้ำแข็งในถุงมือเพื่อไว้ประคบก่อนฉีด) ก็ให้เรานอนลงที่เตียง (“ค” อยู่กับเราตลอดเวลา จะคอยพูดชมและอวยเราตลอดเวลา) หมอก็เข้ามาทำการฉีดใต้ตาขวาก่อน มีการใช้เทคนิคเข็มคมเข็มทู่ พอฉีดเสร็จก็ให้เราลุกนั่งดูกระจก และถ่ายรูป จากนั้นก็ใต้ตาซ้าย ขมับ 2 ข้าง แล้วก็แก้ม ในระหว่างที่ฉีดทุกคนก็ยืนเชียร์ สวยมาก ทำแล้วดูดีขึ้นเลยเนี่ย หน้าหวานขึ้น ตลอดเวลา และมีการถามจำนวนหลอดที่ฉีดไปกับ"บ"ตลอด ซึ่งเราไม่เห็นเพราะอุปกรณ์ทั้งหมดคืออยู่หัวเตียง “ค” ก็บอก"บ"ว่า สตินะสติ"บ" นับด้วยๆ เราก็เริ่มเอะใจนิดนึงว่าทำไมต้องมาเฝ้ามานับอะไรกันขนาดนี้ และเพิ่งเริ่มเอะใจ คิดคำนวณในหัวว่าถ้าราคา16,000 x 6 หลอดนี้ เป็นราคาเท่ารั้ย(96,000บาท) แล้วถ้ามันไม่ใช่ในคอร์สที่เราคิดไว้ล่ะ ระหว่างฉีดจะคอยถามว่าเจ็บมั้ยแต่เราไม่เจ็บ น่าจะเพราะยามีตัวยาชาผสมอยู่ และมีพนักงานเข้ามาเหมือนมาตามหมอไปทำเคสอีกห้อง พอฉีดเสร็จ “ค” ก็ให้เรานั่งรอหมออยู่ในห้องก่อนเพื่อรอประเมิน(เนื่องจากหมอออกไปทำหน้าให้เคสอื่นอีกห้อง) พอหมอกลับมากดๆจับๆ เราก็ถามหมอว่า ทำไมตรงขมับขวาดูป็นไตๆบวมขึ้นมา จุดอื่นไม่เป็น ทุกคนตอบว่า ไม่บวมๆ เดี๋ยวก็ยุบ หมอบอกให้เราเพิ่มตรงแก้มอีกเพราะยังเป็นหลุมๆอยู่ แต่เราปฎิเสธ "พ"กับหญิงมีอายุคนนั้นก็ออกไปนอกห้อง น่าจะไปคิดเงิน “ค” ก็บอกให้เราเพิ่มตรงร่องแก้มอีกตอนนั้นเราเริ่มอยากกลับบ้านแล้ว เลยปฏิเสธไปถึงขนาดบอกไปว่า “พอเหอะ ขายอะไรเราขนาดนี้เรายังไม่เคยไปขายใครขนาดนี้เลย เราอยากกลับบ้านแล้ว”แล้วก็ให้คำนวณค่าใช้จ่ายมา จึงให้เราออกไปนั่งรอที่โซฟา “ค”เป็นคนเดินเอาเอกสารมาแจ้งราคา และยอดนั้นคือ 96,000 บาท "ค" ยังมาพยายามขายคอร์สเลเซอร์ให้เราอีกบอกว่าหมอแนะนำให้ทำเลเซอร์อีก2ครั้ง ในราคา 4,000 บาท เราบอกไปว่าไม่ เราจะกลับบ้านแล้ว ตอนนั้นเราทั้งช็อคและโกรธตัวเองที่โดนเขาหลอก ให้เสียเงินทำและยอดมันก็บานปลายไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจตอนแรก ด้วยความที่คิดว่าเราฉีดไปแล้วเราก็ต้องจ่ายเขาไปจะได้กลับบ้าน เราจึงเซ็นเอกสารไป "ค"และ"ฮ" ให้เขียนกำกับว่าไม่สามารถคืนเป็นเงินสดได้ (ในนั้นมีเอกสารใบนึงเราเห็นเขาเขียนว่า จำนวน4ซีซี ก็คิดนะว่า 6หลอด คือเท่ากับ4ซีซีหรอไม่น่าใช่) แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ต้องยอมรับว่าเราพลาด เราโง่เอง ขนาดสลิปบัตรเครดิตที่มาให้เซ็นเป็นยอด76,000บาท เรายังแย้งไปว่าไม่ใช่ 96,000บาทหรอ เนื่องจากเราบอกให้รูดแค่ใบเดียวคือของไทยพาณิชย์ เพราะวงเงินกสิกรเราไม่พอ(ทีแรกพวกเขาเข้าใจผิดกันเองคิดว่ารูดจากบัตรกสิกรไปแล้วสองหมื่น จึงรูดแค่76,000บาท) เขาจึงรูดใหม่มาอีก 20,000 บาท
"ค"และ"ฮ"มาเสนอพาเราไปแสตป์มบัตรจอดรถและเดินมาส่ง พร้อมนำ gift voucher มาให้เรา 4 ใบ(มูลค่าใบละ 5,900บาท)และตั๋วชมภาพยนตร์อีก3ที่นั่ง เรากลับบ้าน ตั้งสติ ยังตั้งไม่ค่อยจะได้ค่ะ บอกตรงๆเกิดมาไม่เคยรู้สึกโง่ขนาดนี้เลย เรามาเปิดอ่านดูในพันทิปก็เจอเรื่องคล้ายๆกันกับเรา และขออนุญาติ เจ้าของกระทู้นั้น(
https://pantip.com/topic/34515597) ยืมขอสรุปเตือนใจจากกระทู้นั้นซึ่งช่วยเป็นแนวทางให้เราได้มากเลย
ดังนี้ค่ะ
1.คนพวกนี้จะขอความเห็นใจคุณ คนไหนขี้สงสาร ขี้เห็นใจ ปฏิเสธไม่เป็น ตายเรียบค่ะ
2.โลกนี้โหดร้ายกว่าที่คุณคิดค่ะ เพื่อเงิน คนพวกนี้สามารถชักแม่น้ำทั้งห้า ละสุดท้ายพอเราจ่ายเงินไปแล้ว คนพวกนี้จะไม่สนใจอะไรเราอีกค่ะ
3. คุณเซลส์ทุกคนค่ะ ถ้าคุณใช้วิธีการแบบนี้หาเงิน ขายของ เลิกเถอะค่ะ แต่เอาจริงๆเค้าคงไม่เลิกเพราะเค้าทำเงินได้จากวิธีแบบนี้ งั้นผู้บริโภคทั้งหลายต้องฉลาดค่ะ ต่อไปเราเจอพวกนี้ เราจะตอกหน้าไปเลย ว่า ไม่สนใจ ไม่ว่าง
4. เวลาจะขายของค่ะ เดอะแก๊งพยายามสู้สุดฤทธิ์ อยากอยู่กับลูกค้านานๆ แนะนำสิ่งดีๆ และจะมี 1 คนคอยเฝ้าคอยบรีฟคุณตลอดเวลาคะ ไม่ให้คุณได้ใช้สมองและสติ พอขายจบแล้ว ก็ไปคุยกันในสัญญา และนั่นเป็นวิธีการของเซลส์ค่ะ
5. พนักงานพวกนี้ทำงานกันเป็นทีมค่ะ มีอย่างน้อยสองคนประกบคุณตลอดเวลา คนนึงพูด คนนึงรับ ใช่ๆ ถูกมากค่ะ แบบนี้ไม่มีอีกแล้วนะคะ ตลอดเวลา ทำให้เราง่ายต่อการคล้อยตามค่ะ ถ้ามาเกิน 1 คนต้องระวังให้ดี คนพวกนี้พูดตลอดเวลาค่ะ ไม่ให้เราได้คิด หรือพัก และพยายามพาเราไปเดินดูนู้นนี่ ไม่ยอมให้กลับบอกว่าต้องกลับแล้วก็ไม่สนค่ะ คือพวกนางพูดตลอดเวลา และบัตรเครดิตเราอยู่กับพวกนางค่ะ กลับไม่ได้แน่นอน ฉะนั้นถ้าทำธุรกรรมอะไร เอาบัตรคืนมาก่อน และถ้าจำเป็นจริงๆเดินออกมาเลยค่ะ อย่าไปห่วงมารยาทกับพวกเซลส์พวกนี้ เค้าจะเอาแต่เงินคุณค่ะ ถ้าเกรงใจ จะโดนแบบเราค่ะ
6. เซ็นต์เอกสารทุกอย่าง สำคัญมากค่ะ อ่านก่อน ในสัญญาคือปกป้องบริษัทมากคะ มาอ่านแล้วคือถ้าเซ็นต์ไปนี่โง่มาก คือ ไม่รับประกันผล ไม่รับรองทุกคำโฆษณา (ที่พวกเซลส์เสนอขายคุณ) สมัครแล้วต้องจ่ายไม่ให้เงินคืนทุกกรณี ถ้ารู้ตัวว่าไม่มีสติ ต้องขอออกไปตั้งสติ ขอไปเข้าห้องน้ำ หรือหนีจากสถานการหว่านล้อมนั้นค่ะ
วันนี้เราได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว และจะร้องเรียน สคบ. ต่อไป ใจเราตอนนี้ เราแค่อยากได้เงินคืนบางส่วนก็ยังดีค่ะ ถึงแม้จะรู้สึกไม่ดี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เขาฉีดให้เราเป็นยาจริงมั้ยเพราะเราไม่เห็นตอนเขาดูด ผสมยา หากมีใครมีคำแนะนำเพิ่มเติมรบกวนช่วยตอบเราหน่อยนะคะ เรารู้สึกผิดและโทษตัวเองตลอดเวลาเลย เครียดมากเสียดายเงินถ้าต้องจ่ายขนาดนี้คือไปขึ้นเขียงผ่าตัดได้เลยนะ เราไม่อยากให้ใครเป็นเหยื่อคนพวกนี้อีกเลยค่ะ
(เตือนภัย) เสียใจ..ทำไมต้องโง่ พลาดไปกับแก๊งค์ขายคอร์ส กับค่าโง่ 96,000 บาทค่ะ
ประมาณช่วงเย็นวันที่11กันยา61หลังเลิกงานเราได้แวะห้าง Esplanade เดินอยู่"คนเดียว" ที่ชั้น 1 ของห้าง
เพื่อเดินดูเสื้อผ้า ก็มีพนักงานขายคนนึง(อักษรย่อ "ฮ”)เข้ามาแจกใบปลิว เราปฎิเสธไปแต่เขาก็อ้างว่า ขอแค่ชื่อเล่นก็ได้ เขาจะได้ๆยอด ชวนเราเดินเข้าบูท หลังเข้าไปก็ให้อีกคน(ชื่อว่า “ค”)มาคุยเข้ามาเสนอขายคอร์ส นำคอร์สต่างๆ มาให้ดู เราก็ดูๆ เค้าก็แนะนำว่าตอนนี้เค้าเหมือนจะหาคนมาเป็น พรีเซ็นเตอร์ให้ทางร้าน จ่ายเงิน 20,000 บาท(เสนอว่าแบ่งจ่ายผ่านบัตรเครดิตกสิกรได้10เดือน) แล้วสามารถมาเลือกทำคอร์สต่างๆ ได้ในวงเงิน 90,000 เราก็ยังเฉยๆอยู่ ตอนนี้มีพี่ผู้หญิงอีกสองคนที่นั่งข้างๆเข้ามาคุยด้วย(คนนึงชื่อ “พ” อ้างว่าเป็นเจ้านาย,อีกคนเป็นผู้หญิงที่ดูมีอายุมากสุดแต่เราไม่ทราบชื่อ) กลายเป็น 3 คนรุมเรา คนชื่อ “ค” ก็แนะนำว่าเป็น “คุณ พ”เป็นเจ้านาย(เรียกคุณทุกคำ) ไม่ได้มาบ่อยๆ “พ”ก็ถามเราว่าเราอยากทำอะไรที่หน้ามั้ย อยากแก้ไขอะไรหรือเปล่า เราตอบไปว่าไม่มี เขาก็บอกว่า เอาตรงๆจากที่มองดู น่าจะมีเรื่องริ้วรอยใต้ตาขอบตาคล้ำ ถ้าตัดสินใจวันนี้จ่าย 20,000 คุณ พ นี่จะให้วงเงินเพิ่มเป็น120,000 ไปเลย เราก็เลยลังเล และสนใจคอร์สนึงอยู่ จึงสอบถามคอร์สเกี่ยวกับริ้วรอยใต้ตา ระหว่างนั้นเขาก็ขอดูหน้าบัตรเครดิต เรายื่นบัตรเครดิตให้คนชื่อ “ค” นี่ไป พร้อมขอบัตรประชาชน แต่ยังไม่ทันได้รูดหรือเซ็นเอกสารใดใด คนชื่อ “พ” เห็นเราสนใจเรื่องใต้ตาก็ถามเราว่า อยากทำแบบทีเดียวแล้วเห็นผลทันทีมั้ย แนะนำเราว่ามีแบบฉีดยาตัวนึงเป็นคริสตัลอะไรสักอย่างเราจำชื่อไม่ได้ แล้วให้คนชื่อ ค อธิบายเรา มีคำว่าฟิลเลอร์ออกจากปาก “ค” คุณ พ นั่นก็รีบบอกว่าไม่ใช่อธิบายใหม่ และก็พยายามรวบรัดให้เราไปทำตอนนั้นเลย โดยไม่ได้อธิบายเพิ่ม ชวนเราขึ้นไปที่คลินิกอ้างว่าหมอยังอยู่พอดีให้หมอช่วยดู ทั้งสามคนพาเรากดลิฟไปที่คลินิกชั้น2 (คลินิกขึ้นต้นด้วยL ข้างธนาคารกสิกร)
เมื่อขึ้นไปก็พบหมอผู้ชายหน้าตาจีนๆ และเจ้าหน้าที่เคาเตอร์คิดเงินเป็นผู้หญิง1คน พนักงานขายชายอีก 2 คน มีลูกค้าคนอื่นอีกสองรายที่ป้ายยาชารอทำหน้าอยู่ ทั้งสามคนให้เรานั่งรอ "ค"จัดแจงนำน้ำเปล่ามาให้เราดื่มและให้เรานั่งรอที่โซฟาเพื่อรอให้หมอประเมินใบหน้า จากนั้น เราก็เข้าไปพบหมอ หมอก็แนะนำให้ฉีดข้างแก้ม ใต้ตา ขมับ 2 ข้าง และคาง แต่เราก็แย้งไปว่าไม่อยากฉีดคาง ก็เลยขอไม่ฉีด(ตอนนี้เรายังเข้าใจว่านี่คืออยู่ในวงเงิน120,000ที่แจ้งเราด้านล่าง) หลังจากพบหมอ เจ้าหน้าที่ก็นำเครื่องคิดเลขมากด อะไรนั่น นู้น นี่ ให้เราดู กดตลอดเวลา เราถามว่าสรุปเราต้องจ่ายเท่ารั้ย "พ"กดคำนวณออกมาเป็น 2,400 บาท เราก็คิดว่าก็โอเคเพิ่มจาก 2,000บาท เป็น 2,400บาท ต่อเดือน ยังพอรับได้ แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ จากนั้นเขาก็รีบให้พนักงานผู้ช่วยหมอมาจัดการเช็ดหน้าเราด้วยคลีนซิ่ง แล้วให้เราออกไปนั่งรอที่โซฟา(เพื่อรอหมอไปทำหน้าให้ลูกค้าอีกคนที่นั่งทายาชารออยู่ก่อนนั้น) ระหว่างนั้น"พ"ก็มาคุยประมาณว่าน่าจะสัก4หลอด เดี๋ยวให้ราคาพิเศษ ก็กดเครื่องคิดเลขมา 64,000 บาท(เราก็ยังเข้าใจว่าอยู่ในวงเงินที่ให้เรา ยอดนี้คือหักจาก 120,000 ที่เราได้มาจากข้างล่าง เราก็ไม่ได้ถามให้ชัดเจน และเขาก็ไม่ได้บอก) หญิงคนสูงอายุนั้นก็ถามว่าเรามีบัตรอื่นอีกมั้ยขอดูหน้าบัตร เราก็เลยให้บัตรของธนาคารไทยพาณิชย์ไป (จุดนี้บัตรเราอยู่ที่เขาสองใบแล้วเรียบร้อย)
หลังจากนั้นก็ให้เราเข้าห้องหมอ (มีพนักงานผู้ช่วยหมอ<ถ้าจำไม่ผิดคือ ชื่อ “บ”> ถือถาดยามา บนถาดยามีsyringe ไม่แน่ใจว่ากี่อันและน้ำแข็งในถุงมือเพื่อไว้ประคบก่อนฉีด) ก็ให้เรานอนลงที่เตียง (“ค” อยู่กับเราตลอดเวลา จะคอยพูดชมและอวยเราตลอดเวลา) หมอก็เข้ามาทำการฉีดใต้ตาขวาก่อน มีการใช้เทคนิคเข็มคมเข็มทู่ พอฉีดเสร็จก็ให้เราลุกนั่งดูกระจก และถ่ายรูป จากนั้นก็ใต้ตาซ้าย ขมับ 2 ข้าง แล้วก็แก้ม ในระหว่างที่ฉีดทุกคนก็ยืนเชียร์ สวยมาก ทำแล้วดูดีขึ้นเลยเนี่ย หน้าหวานขึ้น ตลอดเวลา และมีการถามจำนวนหลอดที่ฉีดไปกับ"บ"ตลอด ซึ่งเราไม่เห็นเพราะอุปกรณ์ทั้งหมดคืออยู่หัวเตียง “ค” ก็บอก"บ"ว่า สตินะสติ"บ" นับด้วยๆ เราก็เริ่มเอะใจนิดนึงว่าทำไมต้องมาเฝ้ามานับอะไรกันขนาดนี้ และเพิ่งเริ่มเอะใจ คิดคำนวณในหัวว่าถ้าราคา16,000 x 6 หลอดนี้ เป็นราคาเท่ารั้ย(96,000บาท) แล้วถ้ามันไม่ใช่ในคอร์สที่เราคิดไว้ล่ะ ระหว่างฉีดจะคอยถามว่าเจ็บมั้ยแต่เราไม่เจ็บ น่าจะเพราะยามีตัวยาชาผสมอยู่ และมีพนักงานเข้ามาเหมือนมาตามหมอไปทำเคสอีกห้อง พอฉีดเสร็จ “ค” ก็ให้เรานั่งรอหมออยู่ในห้องก่อนเพื่อรอประเมิน(เนื่องจากหมอออกไปทำหน้าให้เคสอื่นอีกห้อง) พอหมอกลับมากดๆจับๆ เราก็ถามหมอว่า ทำไมตรงขมับขวาดูป็นไตๆบวมขึ้นมา จุดอื่นไม่เป็น ทุกคนตอบว่า ไม่บวมๆ เดี๋ยวก็ยุบ หมอบอกให้เราเพิ่มตรงแก้มอีกเพราะยังเป็นหลุมๆอยู่ แต่เราปฎิเสธ "พ"กับหญิงมีอายุคนนั้นก็ออกไปนอกห้อง น่าจะไปคิดเงิน “ค” ก็บอกให้เราเพิ่มตรงร่องแก้มอีกตอนนั้นเราเริ่มอยากกลับบ้านแล้ว เลยปฏิเสธไปถึงขนาดบอกไปว่า “พอเหอะ ขายอะไรเราขนาดนี้เรายังไม่เคยไปขายใครขนาดนี้เลย เราอยากกลับบ้านแล้ว”แล้วก็ให้คำนวณค่าใช้จ่ายมา จึงให้เราออกไปนั่งรอที่โซฟา “ค”เป็นคนเดินเอาเอกสารมาแจ้งราคา และยอดนั้นคือ 96,000 บาท "ค" ยังมาพยายามขายคอร์สเลเซอร์ให้เราอีกบอกว่าหมอแนะนำให้ทำเลเซอร์อีก2ครั้ง ในราคา 4,000 บาท เราบอกไปว่าไม่ เราจะกลับบ้านแล้ว ตอนนั้นเราทั้งช็อคและโกรธตัวเองที่โดนเขาหลอก ให้เสียเงินทำและยอดมันก็บานปลายไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจตอนแรก ด้วยความที่คิดว่าเราฉีดไปแล้วเราก็ต้องจ่ายเขาไปจะได้กลับบ้าน เราจึงเซ็นเอกสารไป "ค"และ"ฮ" ให้เขียนกำกับว่าไม่สามารถคืนเป็นเงินสดได้ (ในนั้นมีเอกสารใบนึงเราเห็นเขาเขียนว่า จำนวน4ซีซี ก็คิดนะว่า 6หลอด คือเท่ากับ4ซีซีหรอไม่น่าใช่) แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ต้องยอมรับว่าเราพลาด เราโง่เอง ขนาดสลิปบัตรเครดิตที่มาให้เซ็นเป็นยอด76,000บาท เรายังแย้งไปว่าไม่ใช่ 96,000บาทหรอ เนื่องจากเราบอกให้รูดแค่ใบเดียวคือของไทยพาณิชย์ เพราะวงเงินกสิกรเราไม่พอ(ทีแรกพวกเขาเข้าใจผิดกันเองคิดว่ารูดจากบัตรกสิกรไปแล้วสองหมื่น จึงรูดแค่76,000บาท) เขาจึงรูดใหม่มาอีก 20,000 บาท
"ค"และ"ฮ"มาเสนอพาเราไปแสตป์มบัตรจอดรถและเดินมาส่ง พร้อมนำ gift voucher มาให้เรา 4 ใบ(มูลค่าใบละ 5,900บาท)และตั๋วชมภาพยนตร์อีก3ที่นั่ง เรากลับบ้าน ตั้งสติ ยังตั้งไม่ค่อยจะได้ค่ะ บอกตรงๆเกิดมาไม่เคยรู้สึกโง่ขนาดนี้เลย เรามาเปิดอ่านดูในพันทิปก็เจอเรื่องคล้ายๆกันกับเรา และขออนุญาติ เจ้าของกระทู้นั้น(https://pantip.com/topic/34515597) ยืมขอสรุปเตือนใจจากกระทู้นั้นซึ่งช่วยเป็นแนวทางให้เราได้มากเลย
ดังนี้ค่ะ
1.คนพวกนี้จะขอความเห็นใจคุณ คนไหนขี้สงสาร ขี้เห็นใจ ปฏิเสธไม่เป็น ตายเรียบค่ะ
2.โลกนี้โหดร้ายกว่าที่คุณคิดค่ะ เพื่อเงิน คนพวกนี้สามารถชักแม่น้ำทั้งห้า ละสุดท้ายพอเราจ่ายเงินไปแล้ว คนพวกนี้จะไม่สนใจอะไรเราอีกค่ะ
3. คุณเซลส์ทุกคนค่ะ ถ้าคุณใช้วิธีการแบบนี้หาเงิน ขายของ เลิกเถอะค่ะ แต่เอาจริงๆเค้าคงไม่เลิกเพราะเค้าทำเงินได้จากวิธีแบบนี้ งั้นผู้บริโภคทั้งหลายต้องฉลาดค่ะ ต่อไปเราเจอพวกนี้ เราจะตอกหน้าไปเลย ว่า ไม่สนใจ ไม่ว่าง
4. เวลาจะขายของค่ะ เดอะแก๊งพยายามสู้สุดฤทธิ์ อยากอยู่กับลูกค้านานๆ แนะนำสิ่งดีๆ และจะมี 1 คนคอยเฝ้าคอยบรีฟคุณตลอดเวลาคะ ไม่ให้คุณได้ใช้สมองและสติ พอขายจบแล้ว ก็ไปคุยกันในสัญญา และนั่นเป็นวิธีการของเซลส์ค่ะ
5. พนักงานพวกนี้ทำงานกันเป็นทีมค่ะ มีอย่างน้อยสองคนประกบคุณตลอดเวลา คนนึงพูด คนนึงรับ ใช่ๆ ถูกมากค่ะ แบบนี้ไม่มีอีกแล้วนะคะ ตลอดเวลา ทำให้เราง่ายต่อการคล้อยตามค่ะ ถ้ามาเกิน 1 คนต้องระวังให้ดี คนพวกนี้พูดตลอดเวลาค่ะ ไม่ให้เราได้คิด หรือพัก และพยายามพาเราไปเดินดูนู้นนี่ ไม่ยอมให้กลับบอกว่าต้องกลับแล้วก็ไม่สนค่ะ คือพวกนางพูดตลอดเวลา และบัตรเครดิตเราอยู่กับพวกนางค่ะ กลับไม่ได้แน่นอน ฉะนั้นถ้าทำธุรกรรมอะไร เอาบัตรคืนมาก่อน และถ้าจำเป็นจริงๆเดินออกมาเลยค่ะ อย่าไปห่วงมารยาทกับพวกเซลส์พวกนี้ เค้าจะเอาแต่เงินคุณค่ะ ถ้าเกรงใจ จะโดนแบบเราค่ะ
6. เซ็นต์เอกสารทุกอย่าง สำคัญมากค่ะ อ่านก่อน ในสัญญาคือปกป้องบริษัทมากคะ มาอ่านแล้วคือถ้าเซ็นต์ไปนี่โง่มาก คือ ไม่รับประกันผล ไม่รับรองทุกคำโฆษณา (ที่พวกเซลส์เสนอขายคุณ) สมัครแล้วต้องจ่ายไม่ให้เงินคืนทุกกรณี ถ้ารู้ตัวว่าไม่มีสติ ต้องขอออกไปตั้งสติ ขอไปเข้าห้องน้ำ หรือหนีจากสถานการหว่านล้อมนั้นค่ะ
วันนี้เราได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว และจะร้องเรียน สคบ. ต่อไป ใจเราตอนนี้ เราแค่อยากได้เงินคืนบางส่วนก็ยังดีค่ะ ถึงแม้จะรู้สึกไม่ดี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เขาฉีดให้เราเป็นยาจริงมั้ยเพราะเราไม่เห็นตอนเขาดูด ผสมยา หากมีใครมีคำแนะนำเพิ่มเติมรบกวนช่วยตอบเราหน่อยนะคะ เรารู้สึกผิดและโทษตัวเองตลอดเวลาเลย เครียดมากเสียดายเงินถ้าต้องจ่ายขนาดนี้คือไปขึ้นเขียงผ่าตัดได้เลยนะ เราไม่อยากให้ใครเป็นเหยื่อคนพวกนี้อีกเลยค่ะ