JJNY : 5in1 'ธนาธร'บินเวียดนาม ขึ้นเวทีWEF/ภท.-สามมิตร”ซัดกัน/ไพบูลย์ยื่นปมกบฏ/ชิงตลาดริมทาง/2พายุใหม่

กระทู้คำถาม
'ธนาธร'บินเวียดนาม ขึ้นพูดเวที World Economic Forum หัวข้อการเมืองคนรุ่นใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_1126744

วันนี้ (11 ก.ย.)  นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก ระบุว่าตนเองได้รับเชิญไปพูดในที่ประชุม World Economic Forum ครั้งล่าสุด  โดยระบุว่า

วันนี้ผมจะเดินทางไปที่กรุงฮานอย เวียดนาม เนื่องจากได้รับเชิญไปพูดในที่ประชุม World Economic Forum ครั้งล่าสุด งานนี้เป็นงานใหญ่ที่มีผู้เข้าร่วมจากทั่วโลก โดยเฉพาะเอเชีย รวมกว่าพันคน ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ผู้นำประเทศ และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน มีผู้นำ 9 ประเทศอาเซียนไปร่วมงาน (ยกเว้นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ส่งตัวแทนไป) จึงถือเป็นงานประชุมนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียในปี 2018 และเป็นการประกาศศักยภาพของเวียดนามซึ่งกำลังพัฒนาบทบาทของตนเองในการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจเทคโนโลยีในเวทีระดับภูมิภาคและระดับโลก

ธีมงานปีนี้คือ “อาเซียน 4.0 ผู้ประกอบการและการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” และหัวข้อส่วนใหญ่ในเวทีย่อยต่างๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการพัฒนาในด้านต่างๆ ส่วนหัวข้อที่ผมได้เป็นเรื่องการเมือง คือ “A New Political Generation” ซึ่งผมไม่อยากจะแปลว่า “นักการเมืองรุ่นใหม่” แต่ควรจะหมายถึง “การเมืองของคนรุ่นใหม่” มากกว่า

สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือผมจะได้ร่วมเวทีกับคุณเกรซ นาตาลี แห่งพรรค Indonesian Solidarity Party หรือ PSI พรรคใหม่ที่ส่งเสริมสิทธิสตรี คุณค่าความหลากหลาย และเป็นพรรคขวัญใจคนรุ่นใหม่ สมาชิกส่วนมากอายุ 20-30 ปี แถมเริ่มตั้งพรรคไม่นาน กลับมีสมาชิกจำนวนหลายแสนคน ไปรอบนี้ผมนัดเจอกับคุณเกรซเพื่อแลกเปลี่ยนกลยุทธสำหรับพรรคการเมืองใหม่ที่อยากทำการเมืองสร้างสรรค์ สู้กับระบอบเก่าๆ

กลับมาคงจะมีอะไรมาเล่าให้ทุกท่านฟังอีกเยอะครับ


https://www.facebook.com/ThanathornOfficial/photos/a.384655255271488/487770171626662/?type=3




"ภท.-สามมิตร"ซัดกันอีกแล้ว!"ศุภชัย"อัดไร้มารยาท-พูดเสียหาย
https://www.dailynews.co.th/politics/665403

“ภท.-สามมิตร”ซัดกันอีกแล้ว! “ศุภชัย”อัดว่าที่ผู้สมัครสามมิตร ไร้มารยาท วิจารณ์หัวหน้าพรรคอื่น  เย้ยตีความไม่แตก เอาไปพูดให้เสียหาย ยัน “เสี่ยหนู” ไม่ได้ค้านอีอีซี


เมื่อวันที่ 10 ก.ย. นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขธิการพรรคภูมิใจไทย (ภท.)  กล่าวตอบโต้กรณีที่สมาชิกกลุ่มสามมิตร จ.สุรินทร์ นำโดยนายเทพพนม นามลี พร้อมคณะออกมาแถลงข่าวเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (10ก.ย.)โดยระบุว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูลหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ใช้ส่วนไหนคิดที่ออกมาแสดงความเห็นว่า โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ได้ประโยชน์แก่คนส่วนน้อย ว่า เป็นความไม่เข้าใจสิ่งที่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยพูด ว่าการออกกฎหมายเพื่อให้สิทธิประโยชน์เฉพาะจังหวัดภาคตะวันออกนั้น นายอนุทินไม่ได้คัดค้าน แต่ควรจะทำให้เกิดความเท่าเทียมกันในทุกภาคทุกจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะภาคตะวันออก ว่าที่ผู้สมัครสามมิตรคงฟังไม่ได้ศัพท์จับเอากระเดียด อาจจะด้วยความไม่รอบรู้ไม่มีความเข้าใจ ซึ่งน่าเห็นใจ

“หากบุคคลดังกล่าวนี้จะลงสมัครในนามกลุ่มการเมืองนี้จริง กลุ่มก็ควรจัดการให้ยุติการออกมาทำสิ่งที่ไร้ระเบียบไร้วินัย ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาแสดงความคิดเห็นในทางการเมือง แทนกลุ่ม ที่ดูยังอ่อนด้อยความรอบรู้ความเข้าใจ ถ้าอยากทำงานการเมืองเพื่อประโยชน์ให้กับจ.สุรินทร์ก็ลองไปปรึกษานายปกรณ์ มุ่งเจริญพร ว่าที่ผู้สมัครส.ส.สุรินทร์ พรรคภูมิใจไทยว่าทำอย่างไร ไม่ใช่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์หัวหน้าพรรคอื่น การกระทำอันมิใช่วิสัยชาวสุรินทร์เช่นนี้”รองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าว

ทั้งนี้ นายอนุทิน ได้ชี้แจงประเด็นครงการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ว่า สิ่งที่แสดงความเห็นคือต้องการให้พื้นที่อื่นๆของประเทศ  มีกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กับนักลงทุนเช่นเดียวกับโครงการ อีอีซี  เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและเกิดความเป็นธรรมต่อนักลงทุน โดยไม่มีนัยยะทางการเมืองแอบแฝงแต่อย่างใด  ที่ผ่านมาตนพูดคุยกับกลุ่มนักลงทุน พบปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขคือกฎหมายของประเทศไทย มีความยุ่งยาก ซับซ้อน ไม่อำนวยความสะดวกกับนักลงทุนเท่าที่ควรเนื่องจากการตั้งหน่วยงานรัฐเข้ามาตรวจสอบและอนุมัติการลงทุน อย่างละเอียด โดยไม่กำหนดกรอบเวลาในการพิจารณาอย่างชัดเจน ส่งผลให้หลายบริษัทต้องรอการอนุมัติอยู่นับเดือน  นับปี เสียดายเงินที่รอเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย เพราะติดขั้นตอนทางราชการ

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ถึงเวลาที่ต้องทบทวนกฎหมาย ให้เอื้อประโยชน์กับนักลงทุน ตนเสนอให้นักลงทุน กำหนดสเปคของตนเองมาเลยว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง จากนั้นฝ่ายรัฐจะผ่านการอนุมัติในกรอบเวลาที่กำหนด ต้องไม่นานจนเกินไป   ถ้าใครผ่านการตรวจสอบ จะได้ลงทุนทันที หลังจากนั้นภาครัฐจะไล่ตรวจสอบทีหลัง ใครทำไม่ได้ ต้องถูกลงโทษ แนวทางของตนจะทำให้ประเทศไทย น่าลงทุนมากขึ้น  เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนเงินในประเทศไทย.




'ไพบูลย์' ยื่นผู้ตรวจฯส่งศาลรธน.วินิจฉัย ปม อสส.ส่งฟ้องข้อหากบฏ ยันชุมนุมโดยสงบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_1126349

“ไพบูลย์” ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งศาล รธน.วินิจฉัย ปม อสส. ส่งฟ้องข้อหากบฏ จากเหตุชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมปี 57 ทั้งที่มีคำวินิจฉัย 11 ฉบับ ยันเป็นการชุมนุมใช้สิทธิเสรีภาพตามรธน.

เมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายไพบูลย์ นิติตะวัน ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป เข้ายื่นหนังสือคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายรักษเกชา แฉฉ่าย เลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้พิจารณาส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย กรณีที่พนักงานอัยการได้ส่งฟ้องตนเอง และประชาชนที่ร่วมแสดงความคิดเห็นในการชุมนุมคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเมื่อปี 2557 ต่อศาลอาญาในโทษฐานกบฏ สนับสนุนกบฏ ทั้งที่การชุมนุมดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเคยมีคำวินิจฉัยไว้รวม 11 คำสั่งนับแต่วันที่ 18 ธันวาคม 56-12 กุมภาพันธ์ 57 ว่าเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพโดยชอบธรรมในการชุมนุมเพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลเท่านั้น เป็นการชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ ถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่เป็นความผิดฐานเป็นกบฏ ที่จะสามารถฟ้องเอาผิดอาญาได้ เพราะไม่มีการใช้กำลังประทุษร้ายที่จะเป็นองค์ประกอบหลักให้สามารถฟ้องคดีได้ ดังนั้นจึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญในเหตุการณ์ดังกล่าวจำนวน 11 ฉบับว่า มีผลผูกพันให้อัยการไม่มีอำนาจนำการกระทำในการชุมนุมไปฟ้องร้องได้ นอกจากนี้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยว่า การที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 ไม่ได้บัญญัติไว้ว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป เมื่อมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าการกระทำใดไม่เป็นความผิด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

“คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร แต่อัยการกลับเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามและนำการแสดงความคิดของผมรวมถึงประชาชนมาเป็นเหตุฟ้องคดี จึงเห็นว่าเป็นปัญหาการละเมิดสิทธิที่รัฐธรรมนูญเขียนให้เป็นอำนาจที่สามารถยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อเป็นบรรทัดฐานโดยผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงได้นำเรื่องมายื่นขอให้ผู้ตรวจฯพิจารณา

ด้านนายรักษเกชากล่าวว่า จะนำหนังสือร้องเรียนเข้าที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งเบื้องต้นผู้ตรวจการได้รับทราบข้อมูลแล้ว ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยแล้วว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธจึงไม่น่าเข้าข่ายโทษฐานกบฏ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่