สวัสดีทุกท่านค่ะ นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของศิษย์พี่ทักขิเณจากพักตร์อสูร ผู้เขียนนำตัวอย่างมาให้ทดลองอ่านกันค่ะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่แวะเข้ามานะคะ
ตอนก่อนหน้า
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทนำ
https://pantip.com/topic/37975317
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 1
https://pantip.com/topic/37975324
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 2
https://pantip.com/topic/37978699
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 3
https://pantip.com/topic/37998939
-------------------
บทที่ 4
เด็กหญิงแหงนมองคนตัวสูงใหญ่ มองสิ่งที่อยู่ในมือตนเอง บอกเขาไปว่า “มีแต่ตำราห้าเล่มเจ้าข้า” และยกขึ้นสูงกว่าเดิม เอาไปส่องใกล้ๆ แสงเพื่อให้เห็นชัดกว่านี้ทันที
อะเวราคิดว่าตนเองตาฝาด เกิดภาพหลอนแล้วหรืออย่างไร ของแบบนี้จะคงสภาพสมบูรณ์ครบถ้วนได้เพียงนี้เชียวหรือ
“ครบถ้วนโดยแท้เจ้าข้า อยู่ดี มิเปื่อยขาดเลย” พึมพำออกมา มองจนหน้าแทบติดสมุดสีเข้มเกือบดำ พลิกดูทุกซอกมุม
เขาพูด “จักตื่นเต้นไปไย เป็นตำรา เป็นสมุด เป็นสิ่งใด จงเร่งอ่านเร่งดูเถิด”
อะเวรามองคนที่เดินหนีไปยืนอยู่มุมอื่น “แช่น้ำเป็นวันเป็นคืนก็มิได้เปื่อยขาด จักเป็นไปได้เยี่ยงไร อยู่ดีครบถ้วนถึงเพียงนี้เพราะใช้วัสดุใด จึ่งสงสัยยิ่งนักเจ้าข้า” แจ้งเพื่อทราบอยู่ในที กลัวว่าหากไม่บอกสิ่งที่คิด ก็อาจถูกตำหนิอีกคำรบหนึ่ง
เด็กหญิงรีบเปิดอ่าน แต่เหมือนว่าตัวอักษรทั้งหลายในตำราที่เห็น...
“มิรู้ความเลยเจ้าข้า ตัวอักษรนี้...หาได้อ่านออกไม่” บอกเขา
“ทุกเล่มเลยฤๅ” เขายกแขนกอดอก รอฟัง
อะเวรารีบหยิบเล่มอื่นขึ้นมาดูทันที แต่ตัวอักษรเหล่านี้เธอไม่รู้จักจริงๆ จึงมองเขา ส่ายหน้ายืนยันว่าอ่านไม่ออกสักเล่มหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือเปิดได้ไม่กี่หน้า เพ่งมองไม่นานเท่าไร หนังตาก็คล้ายจะหนักอึ้ง อาจเป็นเพราะหนังท้องตึงก่อนหน้านี้ จึงเริ่มมีอาการ
อะเวราเปิดเล่มที่เคยเปิดก่อนนั้นอีกครั้งเพื่อตรวจสอบ แต่ดูได้ไม่เท่าไรก็เริ่มสัปหงกให้เห็น แม้พยายามนั่งตัวตรงจนเกร็ง เบิกตากว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อไล่ความง่วงออกไป
“...”
สุดท้ายก็สามารถลืมตาได้อีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้กำลังหัวสั่นหัวคลอน คล้ายถูกเขย่าตัวแรงๆ เสียงฝีเท้าม้ากุบกับดังให้ได้ยิน
เด็กน้อยตกใจ รีบลืมตามอง แต่ตาพร่ายิ่งนัก ปวดหนึบไปหมดโดยเฉพาะรอบกระบอกตา
นี่มันใกล้ฟ้าสางแล้ว หลับทั้งยังนั่งอยู่เลยเชียวหรือ
อะเวรารู้สึกเหมือนถูกรัดเอาไว้ นึกพิจารณาสภาพตนเองในตอนนี้ ก่อนจะลืมตาอีกครั้ง พยายามเหลียวมองแผ่นหลัง แล้วก็ถูกมัดติดหลังสหายท่านครูจริงๆ ที่แท้ก็หลับกลางอากาศ
เด็กหญิงสะบัดหน้าสองสามทีเพื่อเรียกสติ หวังให้ตื่นเต็มตา
ไม่รู้ตัวเลยว่าเริ่มเดินทางแล้ว
“นายท่าน” คำนี้คงเหมาะสมอยู่กระมัง
“ข้ามิใช่นายของเจ้า” เขาตอบได้เป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก
และนั่นพอโล่งใจ แม้อีกฝ่ายไม่นุ่มนวลอ่อนโยนเหมือนท่านครู แต่อย่างน้อยลักษณะเช่นนี้ก็ยืนยันว่ายังเป็นเขา การติดสอยห้อยตามจึงรู้สึกปลอดภัยระดับหนึ่ง
อะเวราไม่รู้เลยว่านี่คือตำแหน่งใดของสักกะนครหรืออยู่ในเขตใดของแดนเหนือ แต่เมื่อสังเกตทิศทาง ทั้งลักษณะเถาวัลย์ไม้เลื้อยที่ปลายยอดพุ่งไปทางทิศตะวันออก ดูเงาของต้นไม้ที่ทอดแนบบนพื้น เป็นไปได้ว่าขณะนี้กำลังเดินทางมุ่งสู่ทิศใต้ ฉีกจากทิศที่เคยหยุดพักเมื่อคืน และน่าจะเป็นทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะแบบนี้หากไม่ใช่เพราะเขาใช้ทางอ้อม ก็คือหลอกให้คนไล่ล่าหลงทิศทาง ไม่ให้รู้จุดหมายแท้จริงว่าจะไปที่ใด
เดินทางเนิ่นนานจนแผ่นหลังชาไปหมด
ฟ้าสางนานแล้ว แต่ขณะนี้ยังเป็นยามเช้า อะเวรากัดฟัน อดทนกับสภาพถูกมัดติดหลัง จนกระทั่งไกลๆ เหมือนมีบางอย่างปรากฏ พอเข้าไปใกล้จึงแน่ใจว่าเป็นกลุ่มคาราวานสินค้าขนาดกลาง
สหายท่านครูส่งเสียง คล้ายผิวปากแต่เป็นจังหวะบางอย่าง อึดใจต่อมาก็มีเสียงตอบรับ ไม่เหมือนเสียงสัญญาณของสหายท่านครู แต่มีทำนองคล้องจองกัน
ม้าตัวนี้มุ่งตรงไปยังขบวน เข้าเทียบเกวียนเล่มหนึ่งทันที
สหายท่านครูผู้นี้ลงจากม้าเร็วไว ถอยหลังไปยังที่พักเท้าของเกวียนเล่มหนึ่ง ปลดเธอลง
เขาเอ่ย “ผลัดเปลี่ยนผ้านุ่งแต่ไว นุ่งผ้าสีทึบเยี่ยงนี้ จักถูกเพ่งเล็ง”
อะเวราก้นจ้ำเบ้าเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายปลดเถาวัลย์ออก เธอไม่ต่อว่า เพราะดูแล้วเขาก็จัดการอย่างระมัดระวัง แค่เร็วเกินไปจนไม่ทันตั้งตัว
เด็กหญิงกัดฟัน จะเปลี่ยนท่า แต่เพราะแขนขาชาไปหมด จึงอยู่ท่าคล้ายเกาะหลังเขาก่อนนั้น อาศัยค่อยๆ เอียงตัวตะแคงนอน ไม่เอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือ
สหายท่านครูมองว่าเธอทำท่าทางแบบนี้เพราะเหตุใด
อะเวราไม่ตอบ ขยับคว่ำกาย ประคองตัวเองจนพอลุกได้ อาจช้ากว่าคนร่างกายปกติดี แต่นับว่ารวดเร็ว ไม่ทำให้เสียเวลา จากนั้นค่อยๆ คลานเข้าไปข้างใน ครั้นได้ยินเสียงถอนหายใจของสหายท่านครู ก็พอคาดเดาว่าเขาคงรู้ถึงสาเหตุท่าทางทุลักทุเลของเธอแน่แล้ว
ได้ยินเสียงของเขาดังตามมาว่า...
“นุ่งเยี่ยงผู้เดินทางไกลนะเจ้า ต้องขี่ม้า ซ้อนผ้านุ่งสองชั้น ผืนในนุ่งสั้นพันให้รัดกุม ผืนยาวนุ่งไว้นอก แต่งกายเยี่ยงเด็กชาย ผ้านุ่งเก่าของเจ้าเก็บไว้กับตำรา อย่าช้าเทียว” เน้นเสียงในท้ายประโยค
อะเวราจัดการทันที ทว่าในนี้มีแต่ผ้าใหม่ละลานตา “สหายท่านครูเจ้าข้า ที่ข้าพเจ้าเห็นมีแต่ผ้าใหม่ จักมีผู้ใดใส่ผ้าใหม่ยามเดินทางกันเล่าเจ้าข้า ผิดวิสัยยิ่งนัก”
ผ้าม่านหน้าเกวียนเปิดออกทันที เขามองเข้ามาในนี้ ขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ก่อนจะปล่อยผ้าม่านลงอีกครั้ง อยู่ในภาวะแสงน้อยกว่าเดิม คนข้างนอกวิ่งไปมา อะเวราไม่กล้าแตะของมีค่าเหล่านี้ เห็นก็รู้ว่าเป็นของดี ราคาแพงระยับ
ไม่นาน สหายท่านครูก็โผล่หน้าเข้ามาอีกครั้ง ยื่นผ้าพับกองหนึ่งมาให้ วางไว้กับพื้น “เร่งมือนะเจ้า” และออกไปทันที
อะเวราค่อยๆ ขยับตัว ตอนนี้แขนขาดีขึ้นมากแล้ว ไม่ตึงเหมือนก่อนนั้น ก่อนนี้เพราะอยู่ท่าเดิมนานเกินไป ขยับตัวทีจึงน่าเกลียดเหลือเกิน
“โอย~” อะเวรากลั้นใจ ยืนเต็มความสูง
เธอยืนในเกวียนนี้ได้สบาย เหลือพื้นที่เหนือศีรษะอีกไม่น้อยกว่าจะถึงหลังคา
เด็กหญิงผลัดผ้านุ่งใหม่เร็วไว คาดว่าสหายท่านครูคงไปเอามาจากคนใดคนหนึ่งในขบวนนี้ และเมื่อจัดการผ้านุ่งทั้งสองชั้นเสร็จ จะถอดเสื้อออก อะเวราก็ถึงกับสูดปาก แผ่นหลังแสบร้อนไปหมด แต่ก็ค่อยๆ ปลดเสื้อออกไป เรียบร้อยจึงเอี้ยวกาย มองแผ่นหลังของตนเอง แม้แสงไม่มากเท่าข้างนอก แต่ก็นับว่าเห็นแผลได้ชัด
โชคดีเหลือเกินที่ปกติท่านครูให้ใส่เสื้อยามค่ำคืน คืนไหนไม่ใส่เป็นโดนไม้เรียว จึงเคยชินตลอดมา และหากไม่ใช่เพราะมีเสื้อกันไว้ชั้นหนึ่ง ก็ไม่รู้เลยว่าเวลานี้แผ่นหลังจะเป็นแผลถลอกจากการเสียดสีมากกว่าที่เห็นหรือไม่ บางทีอาจเนื้อเปิดจนเลือดซึมประหนึ่งถูกลงหวายเป็นแน่แท้
เด็กหญิงตัดสินใจไม่ใส่เสื้อ ย่อกายลงพับผ้าที่นุ่งติดตัวมาก่อนนี้ใส่ไว้ในห่อสัมภาระ โดยใช้ห่อตำราเหล่านี้ไว้อีกชั้นหนึ่ง ตรวจสอบว่าทุกอย่างที่ติดตัวมาอยู่ครบเรียบร้อย ก็มัดปมหัวท้ายสัมภาระแน่นหนา เหลือชายผ้าไว้ มัดปลายโดยให้ต่อยาวเป็นวง พร้อมสะพายแล่ง จัดการเรียบร้อยก็เอามาคล้องคอตนเอง สภาพพร้อมเดินทาง ครั้นมุดออกไป จึงเห็นว่าสหายท่านครูยืนกอดอกรอ
เขาผลัดผ้าเป็นชุดใหม่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
“เหตุใดมิใส่เสื้อ” เขาเขม้นมอง ผลักศีรษะของเธอจนต้องถอยกรูดเข้ามาในเกวียน
“แสบหลังเจ้าข้า” หมุนกาย ให้เขาเห็นแผ่นหลัง
“เหตุใดมิบอกว่าได้แผลเล่า” อีกฝ่ายดูไม่ชอบใจยิ่งนัก หันไปบอกกับคนข้างนอกว่า “ยา!” น้ำเสียงของเขาหงุดหงิดชัดเจน
อะเวราวางตัวไม่ถูกทันที เธอทำอะไรผิดไป
จะว่าไปแล้ว ปกติไปไหนมาไหนก็เปลือยอกนุ่งแต่ผ้านุ่ง ยามกลางวันก็ถอดเสื้อวิ่งเล่นหรือเล่นคลุกดินคลุกฝุ่นกับพรรคพวกบ่อยๆ สหายส่วนมากก็เด็กชาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นเด็กหญิง ท่านครูก็ไม่ว่าอะไร ยามติดตามท่านครูหรือออกนอกเรือนก็นุ่งเช่นนี้ ท่านขอเพียงอย่างเดียวคือห้ามถอดผ้านุ่ง และต้องนุ่งอย่างรัดกุม ซึ่งก็จัดการให้รัดกุมเสมอ ไม่อย่างนั้นครั้งต่อไปจะอดวิ่งเล่น อีกทั้งต้องนุ่งอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นจะเหลือเวลาเล่นน้อยลง จึงเป็นที่มาว่านุ่งผ้านุ่งสองชั้นเมื่อครู่ใช้เวลาเพียงนิดเดียว ถ้าเป็นเด็กอื่นอาจช้ากว่านี้ และการนุ่งอย่างเด็กชายก็ใช่ยากเย็น เมื่อครั้งยังเด็กไม่รู้ความ ยามอาบน้ำมีท่านครูดูแล ท่านตักน้ำราดให้ ราดไปบ่นไป พอโตขึ้นรู้ความบ้างแล้ว ท่านก็ชี้นิ้วสั่งให้กระโดดลงคลอง จากนั้นนั่งจ้องว่าจะลืมตัว ไม่ระมัดระวังยามชำระร่างกายหรือไม่ แต่เธอไม่เคยพลาด ขึ้นท่าก็ปิดบังเรียบร้อย นุ่งผ้าแห้งผืนใหม่ได้ก็ขึ้นเรือนแบบเปลือยอก แล้วค่อยมาใส่เสื้อตอนจะนอนเท่านั้น หรือเพราะไม่ยอมบอกว่าได้แผล
เขาไม่พอใจเรื่องนี้หรือ แต่เหมือนว่าจะไม่พอใจตั้งแต่เห็นเธอไม่ใส่เสื้อแล้ว
ผ้าม่านหน้าเกวียนเปิดพึ่บพั่บ
“มานี่ หันหลังมา” สหายท่านครูกวักมือเรียก ในมือมีขวดยาขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก เขาเทมันลงบนฝ่ามือเร็วไว
อะเวราหันหลัง นั่งลง ก้นแหมะกับพื้นเกวียน กระถดเท้าออกแรงให้ไถลถอยหลังไปหาเขา หยุดแบบได้ตำแหน่งพอดี
“ท่ากระไรของเจ้า มิงามยิ่งนัก ท่านครูเลี้ยงเจ้ามาเยี่ยงไร” น้ำเสียงนั้นเจือแววตำหนิไม่น้อย
“เลี้ยงเหมือนลูกชายเจ้าข้า โอย~” จิกมือจิกเท้า สูดปากสูดคอ แสบหลังจนต้องหลับตาปี๋
อีกฝ่ายนอกจากดุมากแล้ว ยังมือหนักไม่เปลี่ยนอีกด้วย
“เหตุใดมิบอก” เขาว่า
“อะเวราเพิ่งรู้ตอนถอดเสื้อออกนี่แลเจ้าข้า”
อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกๆ “ท่านครูของเจ้านี่ก็กระไร เลี้ยงได้ทโมน กิริยามิงามยิ่งนัก หากเจ้าได้อยู่ในรั้วในวัง มีผู้อบรม คงเปลี่ยนลิงให้เป็นคนได้ดอกหนา”
อะเวราเม้มปาก “กำพร้า ไร้สกุล หากมิได้ท่านครูเก็บมาเลี้ยงดู อย่าว่าแต่ในวัง แค่ไพร่ในเรือนคหบดียังมิอาจเป็นได้เลยเจ้าข้า”
เขาถอนหายใจ “เจ้าเป็นศิษย์ของ...สหายข้า เป็นทาสย่อมมิได้ เป็นไพร่ยิ่งมิงาม อย่างน้อยต้องอยู่ในสำนักเรียน คือส่งต่อวิชาที่ได้รับ ให้สืบทอดต่อไป ก่อนนี้เจ้าเป็นเช่นไรจักมิเอ่ยความ แต่นับจากนี้ข้าพเจ้าย่อมดูแลเจ้าสุดกำลัง ในแดนใต้มีสหายไว้ใจได้หลายคน ย่อมฝากฝังเจ้าให้เป็นผู้เป็นคนได้อยู่” น้ำเสียงอ่อนลงมากโข
นี่เธอมีพฤติกรรมไม่งามขนาดนั้นเชียวหรือ “แต่ท่านครูนิยมให้อะเวราเป็นเช่นนี้นี่เจ้าข้า ท่านว่า ดั่งได้ลูกชายไว้อีกคน ดีใจนักแล”
มือของเขาชะงัก แต่ก็โปะๆ ยาลงมาใหม่ ถูให้ทั่วจนต้องแยกเขี้ยว เจ็บแต่ไม่กล้าส่งเสียง
อะเวราถาม “แดนใต้ที่ว่านี้ เราจักไปนครใดในแดนใต้ฤๅเจ้าข้า”
“มิถิลานคร” เสียงเขาเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน
(มีต่อ)
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 4 ... [นวนิยาย]
ขอบพระคุณทุกท่านที่แวะเข้ามานะคะ
ตอนก่อนหน้า
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทนำ https://pantip.com/topic/37975317
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 1 https://pantip.com/topic/37975324
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 2 https://pantip.com/topic/37978699
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 3 https://pantip.com/topic/37998939
-------------------
บทที่ 4
เด็กหญิงแหงนมองคนตัวสูงใหญ่ มองสิ่งที่อยู่ในมือตนเอง บอกเขาไปว่า “มีแต่ตำราห้าเล่มเจ้าข้า” และยกขึ้นสูงกว่าเดิม เอาไปส่องใกล้ๆ แสงเพื่อให้เห็นชัดกว่านี้ทันที
อะเวราคิดว่าตนเองตาฝาด เกิดภาพหลอนแล้วหรืออย่างไร ของแบบนี้จะคงสภาพสมบูรณ์ครบถ้วนได้เพียงนี้เชียวหรือ
“ครบถ้วนโดยแท้เจ้าข้า อยู่ดี มิเปื่อยขาดเลย” พึมพำออกมา มองจนหน้าแทบติดสมุดสีเข้มเกือบดำ พลิกดูทุกซอกมุม
เขาพูด “จักตื่นเต้นไปไย เป็นตำรา เป็นสมุด เป็นสิ่งใด จงเร่งอ่านเร่งดูเถิด”
อะเวรามองคนที่เดินหนีไปยืนอยู่มุมอื่น “แช่น้ำเป็นวันเป็นคืนก็มิได้เปื่อยขาด จักเป็นไปได้เยี่ยงไร อยู่ดีครบถ้วนถึงเพียงนี้เพราะใช้วัสดุใด จึ่งสงสัยยิ่งนักเจ้าข้า” แจ้งเพื่อทราบอยู่ในที กลัวว่าหากไม่บอกสิ่งที่คิด ก็อาจถูกตำหนิอีกคำรบหนึ่ง
เด็กหญิงรีบเปิดอ่าน แต่เหมือนว่าตัวอักษรทั้งหลายในตำราที่เห็น...
“มิรู้ความเลยเจ้าข้า ตัวอักษรนี้...หาได้อ่านออกไม่” บอกเขา
“ทุกเล่มเลยฤๅ” เขายกแขนกอดอก รอฟัง
อะเวรารีบหยิบเล่มอื่นขึ้นมาดูทันที แต่ตัวอักษรเหล่านี้เธอไม่รู้จักจริงๆ จึงมองเขา ส่ายหน้ายืนยันว่าอ่านไม่ออกสักเล่มหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือเปิดได้ไม่กี่หน้า เพ่งมองไม่นานเท่าไร หนังตาก็คล้ายจะหนักอึ้ง อาจเป็นเพราะหนังท้องตึงก่อนหน้านี้ จึงเริ่มมีอาการ
อะเวราเปิดเล่มที่เคยเปิดก่อนนั้นอีกครั้งเพื่อตรวจสอบ แต่ดูได้ไม่เท่าไรก็เริ่มสัปหงกให้เห็น แม้พยายามนั่งตัวตรงจนเกร็ง เบิกตากว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อไล่ความง่วงออกไป
“...”
สุดท้ายก็สามารถลืมตาได้อีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้กำลังหัวสั่นหัวคลอน คล้ายถูกเขย่าตัวแรงๆ เสียงฝีเท้าม้ากุบกับดังให้ได้ยิน
เด็กน้อยตกใจ รีบลืมตามอง แต่ตาพร่ายิ่งนัก ปวดหนึบไปหมดโดยเฉพาะรอบกระบอกตา
นี่มันใกล้ฟ้าสางแล้ว หลับทั้งยังนั่งอยู่เลยเชียวหรือ
อะเวรารู้สึกเหมือนถูกรัดเอาไว้ นึกพิจารณาสภาพตนเองในตอนนี้ ก่อนจะลืมตาอีกครั้ง พยายามเหลียวมองแผ่นหลัง แล้วก็ถูกมัดติดหลังสหายท่านครูจริงๆ ที่แท้ก็หลับกลางอากาศ
เด็กหญิงสะบัดหน้าสองสามทีเพื่อเรียกสติ หวังให้ตื่นเต็มตา
ไม่รู้ตัวเลยว่าเริ่มเดินทางแล้ว
“นายท่าน” คำนี้คงเหมาะสมอยู่กระมัง
“ข้ามิใช่นายของเจ้า” เขาตอบได้เป็นเอกลักษณ์ยิ่งนัก
และนั่นพอโล่งใจ แม้อีกฝ่ายไม่นุ่มนวลอ่อนโยนเหมือนท่านครู แต่อย่างน้อยลักษณะเช่นนี้ก็ยืนยันว่ายังเป็นเขา การติดสอยห้อยตามจึงรู้สึกปลอดภัยระดับหนึ่ง
อะเวราไม่รู้เลยว่านี่คือตำแหน่งใดของสักกะนครหรืออยู่ในเขตใดของแดนเหนือ แต่เมื่อสังเกตทิศทาง ทั้งลักษณะเถาวัลย์ไม้เลื้อยที่ปลายยอดพุ่งไปทางทิศตะวันออก ดูเงาของต้นไม้ที่ทอดแนบบนพื้น เป็นไปได้ว่าขณะนี้กำลังเดินทางมุ่งสู่ทิศใต้ ฉีกจากทิศที่เคยหยุดพักเมื่อคืน และน่าจะเป็นทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะแบบนี้หากไม่ใช่เพราะเขาใช้ทางอ้อม ก็คือหลอกให้คนไล่ล่าหลงทิศทาง ไม่ให้รู้จุดหมายแท้จริงว่าจะไปที่ใด
เดินทางเนิ่นนานจนแผ่นหลังชาไปหมด
ฟ้าสางนานแล้ว แต่ขณะนี้ยังเป็นยามเช้า อะเวรากัดฟัน อดทนกับสภาพถูกมัดติดหลัง จนกระทั่งไกลๆ เหมือนมีบางอย่างปรากฏ พอเข้าไปใกล้จึงแน่ใจว่าเป็นกลุ่มคาราวานสินค้าขนาดกลาง
สหายท่านครูส่งเสียง คล้ายผิวปากแต่เป็นจังหวะบางอย่าง อึดใจต่อมาก็มีเสียงตอบรับ ไม่เหมือนเสียงสัญญาณของสหายท่านครู แต่มีทำนองคล้องจองกัน
ม้าตัวนี้มุ่งตรงไปยังขบวน เข้าเทียบเกวียนเล่มหนึ่งทันที
สหายท่านครูผู้นี้ลงจากม้าเร็วไว ถอยหลังไปยังที่พักเท้าของเกวียนเล่มหนึ่ง ปลดเธอลง
เขาเอ่ย “ผลัดเปลี่ยนผ้านุ่งแต่ไว นุ่งผ้าสีทึบเยี่ยงนี้ จักถูกเพ่งเล็ง”
อะเวราก้นจ้ำเบ้าเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายปลดเถาวัลย์ออก เธอไม่ต่อว่า เพราะดูแล้วเขาก็จัดการอย่างระมัดระวัง แค่เร็วเกินไปจนไม่ทันตั้งตัว
เด็กหญิงกัดฟัน จะเปลี่ยนท่า แต่เพราะแขนขาชาไปหมด จึงอยู่ท่าคล้ายเกาะหลังเขาก่อนนั้น อาศัยค่อยๆ เอียงตัวตะแคงนอน ไม่เอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือ
สหายท่านครูมองว่าเธอทำท่าทางแบบนี้เพราะเหตุใด
อะเวราไม่ตอบ ขยับคว่ำกาย ประคองตัวเองจนพอลุกได้ อาจช้ากว่าคนร่างกายปกติดี แต่นับว่ารวดเร็ว ไม่ทำให้เสียเวลา จากนั้นค่อยๆ คลานเข้าไปข้างใน ครั้นได้ยินเสียงถอนหายใจของสหายท่านครู ก็พอคาดเดาว่าเขาคงรู้ถึงสาเหตุท่าทางทุลักทุเลของเธอแน่แล้ว
ได้ยินเสียงของเขาดังตามมาว่า...
“นุ่งเยี่ยงผู้เดินทางไกลนะเจ้า ต้องขี่ม้า ซ้อนผ้านุ่งสองชั้น ผืนในนุ่งสั้นพันให้รัดกุม ผืนยาวนุ่งไว้นอก แต่งกายเยี่ยงเด็กชาย ผ้านุ่งเก่าของเจ้าเก็บไว้กับตำรา อย่าช้าเทียว” เน้นเสียงในท้ายประโยค
อะเวราจัดการทันที ทว่าในนี้มีแต่ผ้าใหม่ละลานตา “สหายท่านครูเจ้าข้า ที่ข้าพเจ้าเห็นมีแต่ผ้าใหม่ จักมีผู้ใดใส่ผ้าใหม่ยามเดินทางกันเล่าเจ้าข้า ผิดวิสัยยิ่งนัก”
ผ้าม่านหน้าเกวียนเปิดออกทันที เขามองเข้ามาในนี้ ขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ก่อนจะปล่อยผ้าม่านลงอีกครั้ง อยู่ในภาวะแสงน้อยกว่าเดิม คนข้างนอกวิ่งไปมา อะเวราไม่กล้าแตะของมีค่าเหล่านี้ เห็นก็รู้ว่าเป็นของดี ราคาแพงระยับ
ไม่นาน สหายท่านครูก็โผล่หน้าเข้ามาอีกครั้ง ยื่นผ้าพับกองหนึ่งมาให้ วางไว้กับพื้น “เร่งมือนะเจ้า” และออกไปทันที
อะเวราค่อยๆ ขยับตัว ตอนนี้แขนขาดีขึ้นมากแล้ว ไม่ตึงเหมือนก่อนนั้น ก่อนนี้เพราะอยู่ท่าเดิมนานเกินไป ขยับตัวทีจึงน่าเกลียดเหลือเกิน
“โอย~” อะเวรากลั้นใจ ยืนเต็มความสูง
เธอยืนในเกวียนนี้ได้สบาย เหลือพื้นที่เหนือศีรษะอีกไม่น้อยกว่าจะถึงหลังคา
เด็กหญิงผลัดผ้านุ่งใหม่เร็วไว คาดว่าสหายท่านครูคงไปเอามาจากคนใดคนหนึ่งในขบวนนี้ และเมื่อจัดการผ้านุ่งทั้งสองชั้นเสร็จ จะถอดเสื้อออก อะเวราก็ถึงกับสูดปาก แผ่นหลังแสบร้อนไปหมด แต่ก็ค่อยๆ ปลดเสื้อออกไป เรียบร้อยจึงเอี้ยวกาย มองแผ่นหลังของตนเอง แม้แสงไม่มากเท่าข้างนอก แต่ก็นับว่าเห็นแผลได้ชัด
โชคดีเหลือเกินที่ปกติท่านครูให้ใส่เสื้อยามค่ำคืน คืนไหนไม่ใส่เป็นโดนไม้เรียว จึงเคยชินตลอดมา และหากไม่ใช่เพราะมีเสื้อกันไว้ชั้นหนึ่ง ก็ไม่รู้เลยว่าเวลานี้แผ่นหลังจะเป็นแผลถลอกจากการเสียดสีมากกว่าที่เห็นหรือไม่ บางทีอาจเนื้อเปิดจนเลือดซึมประหนึ่งถูกลงหวายเป็นแน่แท้
เด็กหญิงตัดสินใจไม่ใส่เสื้อ ย่อกายลงพับผ้าที่นุ่งติดตัวมาก่อนนี้ใส่ไว้ในห่อสัมภาระ โดยใช้ห่อตำราเหล่านี้ไว้อีกชั้นหนึ่ง ตรวจสอบว่าทุกอย่างที่ติดตัวมาอยู่ครบเรียบร้อย ก็มัดปมหัวท้ายสัมภาระแน่นหนา เหลือชายผ้าไว้ มัดปลายโดยให้ต่อยาวเป็นวง พร้อมสะพายแล่ง จัดการเรียบร้อยก็เอามาคล้องคอตนเอง สภาพพร้อมเดินทาง ครั้นมุดออกไป จึงเห็นว่าสหายท่านครูยืนกอดอกรอ
เขาผลัดผ้าเป็นชุดใหม่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
“เหตุใดมิใส่เสื้อ” เขาเขม้นมอง ผลักศีรษะของเธอจนต้องถอยกรูดเข้ามาในเกวียน
“แสบหลังเจ้าข้า” หมุนกาย ให้เขาเห็นแผ่นหลัง
“เหตุใดมิบอกว่าได้แผลเล่า” อีกฝ่ายดูไม่ชอบใจยิ่งนัก หันไปบอกกับคนข้างนอกว่า “ยา!” น้ำเสียงของเขาหงุดหงิดชัดเจน
อะเวราวางตัวไม่ถูกทันที เธอทำอะไรผิดไป
จะว่าไปแล้ว ปกติไปไหนมาไหนก็เปลือยอกนุ่งแต่ผ้านุ่ง ยามกลางวันก็ถอดเสื้อวิ่งเล่นหรือเล่นคลุกดินคลุกฝุ่นกับพรรคพวกบ่อยๆ สหายส่วนมากก็เด็กชาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นเด็กหญิง ท่านครูก็ไม่ว่าอะไร ยามติดตามท่านครูหรือออกนอกเรือนก็นุ่งเช่นนี้ ท่านขอเพียงอย่างเดียวคือห้ามถอดผ้านุ่ง และต้องนุ่งอย่างรัดกุม ซึ่งก็จัดการให้รัดกุมเสมอ ไม่อย่างนั้นครั้งต่อไปจะอดวิ่งเล่น อีกทั้งต้องนุ่งอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นจะเหลือเวลาเล่นน้อยลง จึงเป็นที่มาว่านุ่งผ้านุ่งสองชั้นเมื่อครู่ใช้เวลาเพียงนิดเดียว ถ้าเป็นเด็กอื่นอาจช้ากว่านี้ และการนุ่งอย่างเด็กชายก็ใช่ยากเย็น เมื่อครั้งยังเด็กไม่รู้ความ ยามอาบน้ำมีท่านครูดูแล ท่านตักน้ำราดให้ ราดไปบ่นไป พอโตขึ้นรู้ความบ้างแล้ว ท่านก็ชี้นิ้วสั่งให้กระโดดลงคลอง จากนั้นนั่งจ้องว่าจะลืมตัว ไม่ระมัดระวังยามชำระร่างกายหรือไม่ แต่เธอไม่เคยพลาด ขึ้นท่าก็ปิดบังเรียบร้อย นุ่งผ้าแห้งผืนใหม่ได้ก็ขึ้นเรือนแบบเปลือยอก แล้วค่อยมาใส่เสื้อตอนจะนอนเท่านั้น หรือเพราะไม่ยอมบอกว่าได้แผล
เขาไม่พอใจเรื่องนี้หรือ แต่เหมือนว่าจะไม่พอใจตั้งแต่เห็นเธอไม่ใส่เสื้อแล้ว
ผ้าม่านหน้าเกวียนเปิดพึ่บพั่บ
“มานี่ หันหลังมา” สหายท่านครูกวักมือเรียก ในมือมีขวดยาขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก เขาเทมันลงบนฝ่ามือเร็วไว
อะเวราหันหลัง นั่งลง ก้นแหมะกับพื้นเกวียน กระถดเท้าออกแรงให้ไถลถอยหลังไปหาเขา หยุดแบบได้ตำแหน่งพอดี
“ท่ากระไรของเจ้า มิงามยิ่งนัก ท่านครูเลี้ยงเจ้ามาเยี่ยงไร” น้ำเสียงนั้นเจือแววตำหนิไม่น้อย
“เลี้ยงเหมือนลูกชายเจ้าข้า โอย~” จิกมือจิกเท้า สูดปากสูดคอ แสบหลังจนต้องหลับตาปี๋
อีกฝ่ายนอกจากดุมากแล้ว ยังมือหนักไม่เปลี่ยนอีกด้วย
“เหตุใดมิบอก” เขาว่า
“อะเวราเพิ่งรู้ตอนถอดเสื้อออกนี่แลเจ้าข้า”
อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกๆ “ท่านครูของเจ้านี่ก็กระไร เลี้ยงได้ทโมน กิริยามิงามยิ่งนัก หากเจ้าได้อยู่ในรั้วในวัง มีผู้อบรม คงเปลี่ยนลิงให้เป็นคนได้ดอกหนา”
อะเวราเม้มปาก “กำพร้า ไร้สกุล หากมิได้ท่านครูเก็บมาเลี้ยงดู อย่าว่าแต่ในวัง แค่ไพร่ในเรือนคหบดียังมิอาจเป็นได้เลยเจ้าข้า”
เขาถอนหายใจ “เจ้าเป็นศิษย์ของ...สหายข้า เป็นทาสย่อมมิได้ เป็นไพร่ยิ่งมิงาม อย่างน้อยต้องอยู่ในสำนักเรียน คือส่งต่อวิชาที่ได้รับ ให้สืบทอดต่อไป ก่อนนี้เจ้าเป็นเช่นไรจักมิเอ่ยความ แต่นับจากนี้ข้าพเจ้าย่อมดูแลเจ้าสุดกำลัง ในแดนใต้มีสหายไว้ใจได้หลายคน ย่อมฝากฝังเจ้าให้เป็นผู้เป็นคนได้อยู่” น้ำเสียงอ่อนลงมากโข
นี่เธอมีพฤติกรรมไม่งามขนาดนั้นเชียวหรือ “แต่ท่านครูนิยมให้อะเวราเป็นเช่นนี้นี่เจ้าข้า ท่านว่า ดั่งได้ลูกชายไว้อีกคน ดีใจนักแล”
มือของเขาชะงัก แต่ก็โปะๆ ยาลงมาใหม่ ถูให้ทั่วจนต้องแยกเขี้ยว เจ็บแต่ไม่กล้าส่งเสียง
อะเวราถาม “แดนใต้ที่ว่านี้ เราจักไปนครใดในแดนใต้ฤๅเจ้าข้า”
“มิถิลานคร” เสียงเขาเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน
(มีต่อ)