นวนิยาย : ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทนำ

สวัสดีทุกท่านค่ะ นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของศิษย์พี่ทักขิเณจากพักตร์อสูร ผู้เขียนนำตัวอย่างมาให้ทดลองอ่านกันค่ะ
ขอบพระคุณทุกท่านที่แวะเข้ามานะคะ

-------------------

บทนำ
 
       ยามเช้า ขึ้นสิบสี่ค่ำ เดือนสิบเอ็ด ปีระกา พระจุฑามณีมาศ...องค์รัชทายาทแห่งมิถิลานคร เสวยราชสมบัติ เป็นพระเจ้าวิเทหะพระองค์ใหม่ ครองนครอันรุ่งเรือง เฉลิมฉลองพระเกียรติยศเจ็ดวัน เจ็ดคืน ฤกษ์ดังกล่าวยังทำการอันเป็นมงคล แต่งตั้งพระอัครมเหสีหนึ่งเดียว...อุษามันตรา
 
       กาลเวลาล่วงผ่าน จากวันนั้นถึงวันนี้ได้สองปี เหตุการณ์โดยรวมของมิถิลานครยังเงียบสงบ ไพร่ฟ้าประชาชนมิได้อกสั่นขวัญแขวนเหมือนก่อนนั้น นครเคยรุกรานไม่มีความเคลื่อนไหวชัดเจน เหตุการณ์ภายในควบคุมได้ ทว่าผู้ช่วยเหลือพระเจ้าวิเทหะพระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ต่างรู้แก่ใจดี ศึกนอกศึกในใช่ง่ายรับมือ มันคือคลื่นใต้น้ำ รอวันโถมซัดผู้เกี่ยวข้องให้ราบเป็นหน้ากลองอีกครั้ง
 
       สองปีที่ผ่านมา การยืนหยัดท่ามกลางมรสุมต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ ทุ่มเทสติปัญญา ทุกขณะจิตประหนึ่งมีอาวุธคมกริบพาดบนลำคอ หากไม่ระวังหรือป้องกันไม่ทันการณ์ ผู้เกี่ยวข้องในครั้งนั้นย่อมไร้แผ่นดินกลบฝัง
 
       ‘กลุ่มโจรไร้นามปรากฏ ลักลอบเข้าออกชายแดนทิศเหนือของมิถิลานคร ข้ามไป-มาแดนเหนือแดนใต้ ฆ่า ปล้นชิง รบปะทะต่อเนื่อง สุขิโตรองแม่ทัพเร่งดูแล พลัดเข้าฝั่งแดนเหนือ หกสิบทิวามิรู้เป็นตาย’
 
       ทักขิเณเอื้อมมือออกไป ปลายนิ้วคีบใบบอกความติดไปด้วย ยื่นใกล้เปลวเทียน
 
       ไฟไหม้กระดาษลามเร็ว เขาดีดมันลงบนจานดินเผาใกล้แท่นฝนหมึกใบกลมสีดำ วางอยู่คู่กันบนโต๊ะไม้ตัวเตี้ยตรงหน้า ไม่ใส่ใจสิ่งที่กำลังไหม้ ทำเพียงประสานมือทั้งสอง นั่งเอกเขนกเอนกายอิงหมอนเงียบๆ สีหน้าไม่บ่งบอกว่าคิดการใด
 
       “ใบบอกความนี้ ส่งถึงผู้ใดอีก” ทักขิเณถามผู้รับใช้ใกล้ชิด
 
       “มีหนึ่งเดียว ส่งถึงนายท่านเจ้าข้า” สมัญญาเหลือบมองนายของตน เขาเป็นคนนำใบบอกความเข้ามา
 
       ในสายตาของผู้รับใช้ใกล้ชิด ท่านทักขิเณคือบุรุษหนุ่มรูปงาม หน้าตาคมเข้ม สีผิวเข้มกว่าพวกชาววังเล็กน้อย แต่มิได้เข้มดั่งผิวชาวบ้านทั่วไป เข้มตามประสาคนออกแดดและฝึกปรือฝีมือกลางแจ้งเสมอ เขาเคารพเลื่อมใสอีกฝ่ายยิ่งนัก ส่วนกิริยายามนี้ที่ดูนั่งสบายๆ มักเป็นเฉพาะอยู่ในที่ส่วนตัว แตกต่างจากเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นที่มักดูเรียบร้อยเงียบขรึม
 
       ผู้คนในมิถิลานครรู้ดีว่าท่านทักขิเณคือศิษย์ใกล้ชิดท่านครูวัฑฒะโก เป็นศิษย์พี่ของพระเจ้าวิเทหะพระองค์ใหม่ และเป็นศิษย์พี่กึ่งผู้ดูแลพระอัครมเหสีอุษามันตราเมื่อครั้งยังศึกษาในสำนักเรียนท่านครูวัฑฒะโกด้วยเช่นกัน นิยมอยู่แต่ในสำนักเรียน ไม่นิยมเดินทางไปที่ใด
 
       สำนักเรียนท่านครูวัฑฒะโกขึ้นชื่อด้านศาสตร์การรบและศาสตร์การปกครอง ประจักษ์แก่ผู้คนมาหลายสิบปี ชัดเจนอย่างยิ่งในสองสามปีมานี้ ศิษย์เก่าแต่ละคนล้วนฝีมือฉกาจฉกรรจ์ ศิษย์เข้าเรียนใหม่ก็เก่งกาจ ก่อนฝากตัวได้ถูกคัดสรร หากไร้ความสามารถมิอาจย่างกรายเข้าไปได้ ศิษย์มากหลายสร้างชื่อเสียง ย้ำชัดถึงการสอนของสำนักเรียนท่านครูวัฑฒะโก แม้แต่องค์รัชทายาทแห่งอังคะนครที่เป็นมหามิตรกับมิถิลานครก็ยังเป็นศิษย์ในสำนักเรียนท่านครูวัฑฒะโกด้วยเช่นกัน ซึ่งช่วงหลังมีท่านทักขิเณเป็นผู้ดูแลสำนักเรียน
 
       ดังนั้นเมื่อผู้ใดได้เข้าเรียนและสำเร็จการศึกษาจากสำนักเรียนท่านครูวัฑฒะโก จึงต่างเป็นที่หมายตาของทุกแคว้น ศิษย์บางคนถูกจองตัวไว้แต่เนิ่น บางคนได้รับงานสำคัญทันทีที่จบการศึกษา บางคนเพียงเริ่มต้นรับใช้แผ่นดินก็ได้กินตำแหน่งทางราชการที่ดีงามยิ่งนัก เติบใหญ่ภายภาคหน้าล้วนมีอนาคตสดใส บ้างเป็นลูกหลานบุคคลสำคัญของแคว้นต่างๆ
 
       ฉะนั้นตัวท่านทักขิเณซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดและเป็นศิษย์พี่ของฝ่าบาททั้งสอง ซ้ำเป็นผู้ดูแลสำนักเรียนย่อมมิอาจดูเบา แม้ท่าทางเงียบขรึมเป็นอาจิณของท่านทักขิเณมีเพื่อกลบเกลื่อนภูมิความรู้ หรือกลบเกลื่อนฐานะอื่นใดยามมิใช่ทักขิเณ บ้างยิ้มเล็กน้อยอย่างมีเมตตา แต่ทหารหรือผู้ใกล้ชิดติดตามต่างรู้กัน ‘นี่คือบุคคลที่มิอาจล่วงเกิน’ เพราะเมื่อใดได้ลงมือหรือมีรอยยิ้มเช่นนั้น จักปรากฏฝีมือให้เห็นดั่งอสนีบาต ทำลายล้างผิดกับท่าทางที่แสดงออก เรียกว่ายามดีก็ดีใจหาย ยามร้ายก็ร้ายจนยากบรรยาย เพราะทุกวิธีการลงมือสุดน่ากลัวขนหัวลุก ชวนขนพองสยองเกล้าเกินจินตนาการ จนมิอาจบรรยายได้ครบถ้วนจากเคยเห็นมา แต่นั่นก็เป็นเพราะบ้านเมืองสำคัญยิ่งนัก ภาระแบกไว้บนบ่าไม่อาจเกิดความผิดพลาด มากน้อยขึ้นชื่อว่าเป็นผลเสียต่อแผ่นดินย่อมไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้น ทุกงานในหน้าที่ล้วนคาดหวังผลสำเร็จสูงสุดเสมอ จึงไม่แปลกที่ลงมือจัดการเช่นนั้น
 
       ว่ากันว่าพะลัญจะคหบดี ผู้วางแผนโค่นล้มบัลลังก์พระเจ้าวิเทหะพระองค์ก่อนกับพวก สามารถฆ่าล้างราชวงศ์ก็ยังตกหลุมพรางท่านทักขิเณด้วยซ้ำไป แม้แต่เสือร้ายเยี่ยงนั้นยังพลาดให้กับท่านทักขิเณได้ ฉะนั้นท่านทักขิเณจะมิร้ายยิ่งกว่าหรอกหรือ
 
       นายท่านของเขาเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่งหลังตรง ท่าทางเคลื่อนไหวเหมือนช้าแต่ไม่ช้า ทว่าทำให้คนยำเกรง
 
       สมัญญารู้ว่านายตนกำลังจะเขียนใบบอกความ จึงขยับเข้าไปใกล้ รักษากิริยาไม่ช้าไม่เร็ว แต่คล่องแคล่วกระฉับกระเฉง วางกระดาษลงตรงหน้าท่านทักขิเณทันที ฝนหมึกจนเกือบไร้เสียง ทว่าน้ำหมึกเข้มจัด
 
       กระทั่ง...
 
       “นี่...มอบให้ท่านครูวัฑฒะโก” ท่านทักขิเณเลื่อนกระบอกขนาดเล็กที่ยัดกระดาษและปิดหัวปิดท้าย ผนึกครั่งเรียบร้อยให้เขา “นี่ของฝ่าบาท”
 
       ผู้รับใช้ใกล้ชิดรับมา เหลือบมองนายตน “นายท่าน จักส่งฝ่าบาท...”
 
       “ถึงมือพระจุฑามณีมาศ” ท่านทักขิเณตอบเหมือนมิได้ใส่ใจ ตัดประโยคที่ว่า ‘พระองค์ใด?’ ของผู้รับใช้ใกล้ชิด ทว่าการแสดงออกเช่นนี้กลับทำให้ทราบดี ย้ำชัดว่านายตนใส่ใจยิ่งนัก
 
       ท่านทักขิเณกล่าวว่า “เตรียมพลอารักขาฝีมือดีสิบนายติดตาม ท่านครูสอบถามสิ่งใดจงตอบเพียง ‘อย่ากังวล’ แลตัวเจ้าจงเตรียมการ ยามค่ำขึ้นชายแดนทิศเหนือ ดูเหตุการณ์ยามสามใกล้ยามสี่[1]
 
       แน่ชัดแล้วว่าเหตุการณ์บางอย่างเป็นอันตราย ร้ายแรงมากน้อยมิทราบได้ แต่การที่ท่านทักขิเณประสงค์ไปดูด้วยตนเองหลังได้รับใบบอกความ คือไม่อาจปล่อยผ่าน
 
       นี่อาจเป็นศึกใหญ่ หรือศึกย่อมที่อาจจะเกิดขึ้นกับมิถิลานครก็เป็นได้
 
- * - * - * - * -


[1]  ‘ยามสาม’ หมายถึงช่วงเวลาเที่ยงคืน (0 นาฬิกา) ถึง 3 นาฬิกา
   ‘ยามสี่’ หมายถึงช่วงเวลา 3 นาฬิกา ถึง 6 นาฬิกา
   ‘ยามหนึ่ง’ หรือ ‘หนึ่งยาม’ หมายถึง ช่วงเวลา 18 นาฬิกา ถึง 21 นาฬิกา
   ‘ยามสอง’ หรือ ‘สองยาม’ หมายถึง ช่วงเวลา 21 นาฬิกา ถึง เที่ยงคืน (0 นาฬิกา)

~ จบตอน ~
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่