สวัสดีค่ะ ผู้เขียนนำตัวอย่างมาให้ทดลองอ่านกันค่ะ
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทนำ
https://pantip.com/topic/37975317
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 1
https://pantip.com/topic/37975324
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 2
https://pantip.com/topic/37978699
บทที่ 3
อะเวรานั่งมองกองไฟ เปลวของมันกำลังลอยขึ้นใกล้ห่อข้าวที่กำลังหุง ความร้อนทำให้ใบสีเขียวสดก่อนนั้นกลายเป็นสีน้ำตาลเกรียมๆ เกือบจะไหม้แต่ยังไม่ไหม้เพราะอยู่สูงกว่าและไม่ถึงก้น กลิ่นข้าวใกล้สุกลอยโชยมาอีกครั้ง
เจ้าของกระท่อมใช้ใบไม้แทนหม้อดิน หุงด้วยวัตถุดิบที่พอจะหาได้จากในป่า มัดห้อยต่องแต่งกับท่อนไม้ที่ผูกโยงเป็นคานอยู่ครั้งละสามห่อ ส่วนเสาค้ำซ้ายขวาใช้ท่อนไม้ปักดินข้างละสองท่อนเป็นแนวทแยงไขว้กัน คล้ายเครื่องหมายกากบาทอยู่ในที แต่ก็เหมือนทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่วเช่นกัน เหลือปลายไม้ที่ไขว้กันไว้เล็กน้อย ใช้เปลือกไม้ทุบๆ มัดให้เข้ารูปอยู่ทรง วางคานสำหรับย่างไว้เหนือส่วนที่ไขว้กัน
เขาเขี่ยไฟ ย่างห่อกลมๆ เขียวๆ ขณะเดียวกันก็ปิ้งเนื้อแห้งไปด้วย
อะเวรามองของในมือ มันคือใบไม้ห่อข้าวก่อนหน้านั้น ตอนนี้เหลือแค่ซาก ก่อนนี้กินของในห่อหมดอย่างรวดเร็ว จึงนั่งมองข้าวชุดใหม่ตาละห้อย กลิ่นของมันล่อหลอกยั่วยวนน้ำลายยิ่งนัก รู้สึกใจจะขาดเมื่อยังไม่อิ่ม
“ตัวเล็ก แต่กินเก่งนักนะเจ้า” เจ้าของกระท่อมพูดจบก็ยัดข้าวที่เหลือไม่มากในมือ ใส่ปากในคราวเดียว เคี้ยวหยับๆ แบบไร้เสียง มองมาด้วยสีหน้ายียวนระดับหนึ่ง กิริยาเหมือนหยาบคายแต่ก็มิได้หยาบคายเกินไปนัก ดูมีระเบียบเรียบร้อยอยู่ในที
แต่ท่ายัดเนื้อย่างตามเข้าไปอีกครึ่งชิ้นโดยไม่สนใจว่าเธอจ้องมองมานานมากเพียงใดระหว่างรอข้าวชุดใหม่หุงสุกช่างใจร้ายเหลือเกิน จะแบ่งให้สักหน่อยก็ไม่ได้ จนเผลอกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง
นี่คือที่มาของความรู้สึกทรมาน ได้กินแค่พอหอมปากหอมคอแต่ไม่อิ่ม แล้วต้องมานั่งรอ ต้องทนนั่งมองอีกฝ่ายได้กินอย่างเอร็ดอร่อย นั่นทรมานยิ่งกว่าตอนยังไม่ได้กินข้าวเสียอีก
อะเวรากลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกอีกรอบ ชิงชังข้อกล่าวหาที่ถูกยัดเยียดยิ่งนัก เขาหาว่าเด็กตัวสูงเพียงเอวของเขากินเก่ง ก็เห็นอยู่ตำตาว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่กินเก่ง
เขาต่างหาก!
นั่นมันคือห่อที่สองของเขา และทั้งสองห่อก็ใหญ่กว่าของเธอเกือบเท่าตัว หุงครั้งแรกสามห่อ ให้เธอมาหนึ่งห่อแต่เป็นห่อเล็กสุด ส่วนเขาเอาไปสอง กินห่อโตๆ อย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่อินังขังขอบ แม้เธอนั่งจ้องก็ไม่มีน้ำจิตน้ำใจจะแบ่งให้
เป็นผู้ใดกันแน่!
อะเวราอยากตะโกนบอกว่าเอาข้อกล่าวหานี้กลับไป แต่ก็ได้แค่นั่งน้อยใจในใจเท่านั้น จะกล้าพูดหรือแสดงกิริยาไม่งามต่อเขาได้อย่างไร ที่เขาช่วยเหลือ ที่แบ่งปันให้ก็นับว่าดีมากแล้ว ไม่สมควรจะคิดเป็นอื่นได้อีก
แล้วก็กลืนน้ำลายลงคออีกเอื๊อกหนึ่ง
“จักถามหาความเมตตาจากผู้อดอยากโหยหิวเช่นเดียวกัน ย่อมยากยิ่งนัก จดจำไว้”
อะเวราพยักหน้ารับทราบ
“ได้กินมากน้อยย่อมขึ้นอยู่กับฝีมือ หากคิดแย่งชิง เจ้าต้องแข็งแกร่งกว่า มีอำนาจกว่า ใจดำยิ่งกว่า เลือดเย็นยิ่งกว่า ไร้ความเมตตายิ่งกว่า รึหากเจ้าใคร่อิ่มท้องโดยไว แม้ยังเยาว์นัก ก็ต้องหมั่นฝึกปรือตนเอง เพียรศึกษาวิธี รู้จักใช้กลต่างๆ เพื่อให้ได้กินอิ่มปลอดภัย นั่นจึ่งมีชีวิตต่อไปได้ นี่คือหลักการง่ายๆ ของผู้อยู่รอด”
เขามองนิ่ง “อย่าได้มีเมตตาหากตัวเจ้ายังมิได้อิ่มท้อง ด้วยนั่นจักทำให้เจ้าตายเร็วกว่าผู้ที่เจ้าคิดช่วยเหลือ เมื่อใดเจ้าไร้กำลัง ปกป้องตนเองมิได้แล้วไซร้ ย่อมเกิดความเสี่ยงให้พลาดพลั้งต่อศัตรูได้ทุกรูปแบบ จงจำไว้ว่าเจ้าต้องอิ่มก่อน แข็งแรงก่อน ดูแลตนเองให้เรียบร้อยดีก่อน จากนั้นจึ่งแบ่งปัน จึ่งดูแลผู้อยู่ในความดูแล คือให้ตามสภาพ มิได้เป็นภาระต่อผู้ช่วยเหลือ มิฉะนั้นจักตายกันหมด
“แต่จำไว้ว่านี่คือข้อปฏิบัติยามภาวะสงคราม...แลอยู่ท่ามกลางศัตรูเพียงลำพัง ทว่าหลักการนี้จักใช้มิได้เมื่อเจ้าได้ร่วมกับกองทัพ ด้วยคนในกองทัพต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เป็นดั่งพี่น้องญาติมิตรเรา หากสหายตาย...เราจักสู้จนตัวตาย สหายตาย...แต่เรารอด...เราจักลากศพสหายกลับค่าย ฤๅสุดแต่กำลังเรามีในยามนั้น ครั้นยามนี้เจ้ามิได้เป็นคนของกองทัพ...กำลังหลบหนีศัตรู ย่อมต้องใช้กฎแรกที่ข้าพเจ้าบอกไป” หยิบเนื้ออีกชิ้นเข้าปาก เคี้ยวทั้งยังมองเธอ
อะเวรากลืนน้ำลายลงคออีกเอื๊อกหนึ่ง พยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว
เขาเอ่ย “แม้นว่าเจ้าน้ำตาคลอเบ้า ฤๅได้ร้องขอผู้อื่นให้เห็นใจ ก็ใช่ว่าจักมีผู้ใดสงสาร รึหากสงสาร ก็ย่อมต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ใช่ให้เปล่า ยิ่งเป็นหญิง...ต่อให้เจ้ายังเด็กนัก แต่ดูแลตนเองมิได้ ปกป้องตนให้พ้นภัยมิได้ มิแคล้วว่าต้องแลกด้วยร่างกาย ฤๅแลกด้วยผลประโยชน์อื่นใดที่ผู้เอาประโยชน์เห็นว่าคุ้มค่า นั่นจึ่งได้มาซึ่งอาหารบรรเทาหิว” จกเนื้อแห้งใส่ปากอีกคำ
อะเวราพยายามกลั้นใจ ไม่แสดงอาการ
เขาว่า “หากเจ้ามิอาจสร้างคุณค่าแก่ตน จนทำให้ผู้คนยำเกรง ทั้งชื่อเสียง ฤๅการกระทำ คอยแต่หวังพึ่งพาผู้อื่น เจ้าจักถูกเอาเปรียบเรื่อยไป สูญเสียสิ่งที่เจ้ารักใคร่หวงแหน หากเสียหนึ่งครั้งย่อมเสียอีกเป็นครั้งที่สอง หากเจ้ายืนหยัดมิยอมสูญเสีย...ย่อมปลูกฝังวินัยตนให้เป็นผู้ชนะ แต่หากว่าเจ้าถอดใจยอมสูญเสียแล้วไซร้ ด้วยเหตุจำเป็นใดๆ ในยามนั้น แต่นั่นย่อมปลูกฝังความปราชัยแก่ตนเรื่อยไป ครั้นนึกเสียใจก็ยากเกินกว่าเอากลับคืน ฉะนั้นอย่าดูดายในคำบอกนี้”
อะเวราพยักหน้าอีกครั้งหนึ่ง ค่อยๆ บ่ายหน้าหนีไปยังทิศตรงกันข้ามกับที่เขานั่งอยู่
คำสอนที่ได้ยินนั้นซึมซับยิ่งนัก แต่ที่มากกว่านั้นคือไม่อยากเห็นท่าทางเคี้ยวเนื้อของเขาเลย มันโหดร้ายมากเกินไปสำหรับคนที่ยังกินไม่อิ่ม อดข้าวมาทั้งวัน และท้องยังร้องจ๊อกๆ
“รออีกประเดี๋ยว ก็ได้กิน”
อะเวราพยักหน้าโดยไม่หันมองเขา เม้มริมฝีปากไว้แน่น
แต่ความหิวไม่ปรานีใครจริงๆ อึดใจเดียวก็แอบเหลือบมองห่อใบไม้กลมๆ เหนือไฟนั่นแวบหนึ่ง อยากกินให้ได้ตอนนี้เลย ไม่เอาเนื้อแห้งปิ้งก็ได้ แต่ขอข้าวห่อใหญ่ที่สุด อดข้าวมาหลายมื้อ ได้กินข้าวห่อเล็กนิดเดียว อย่างไรก็รู้สึกไม่อิ่มท้อง
เขาบอก “ระหว่างรอ เจ้าควรเปิดห่อผ้า ตรวจสอบว่าท่านครูของเจ้ามอบสิ่งใดไว้ให้ หากเจ้ารอดตาย แต่ของสิ่งนี้หาย อย่างน้อยย่อมได้รู้ จดจำสิ่งจำเป็น รึหากเจ้าต้องตาย อย่างน้อยยังได้รู้ความว่าท่านครูของเจ้ามอบสิ่งใดไว้ให้ ฤๅประสงค์ให้เจ้ารับรู้สิ่งใดกันแน่ เพลานี้...เหมาะสมยิ่งแล้ว”
อะเวรามองเขาเต็มตา ในใจคิดเพียงว่าจะถูกหลอกให้เปิดโดยเขาร่วมดูด้วยใช่หรือไม่
เขาว่า “นับจากนี้ เจ้าก็นับว่าอยู่ในปกครองของข้าพเจ้า มาตรแม้นต้องการอยู่เป็นเอกเทศ ย่อมได้ แต่การไร้ผู้คุ้มครองนั้น ข้อบังคับแรกแลสำคัญยิ่ง คือเจ้าต้องเก่งกาจ ดูแลตนได้เป็นอย่างดี แต่หากไร้ความสามารถเช่นที่เห็นนี้ ก็จงทำตามที่ข้าพเจ้าบอกแต่ไว จักมิได้เสียประโยชน์เปล่าระหว่างรอข้าวสุก” เขามองห่อผ้านั้น เป็นความหมายว่าเปิดซะ
อะเวรานั่งนิ่งไม่ขยับ ใจหนึ่งคิดว่าตนกำลังถูกล่อหลอกด้วยถ้อยคำที่ดูมีเหตุผลใช่หรือไม่ แต่อีกใจก็คิดทำตามทันที แต่เหนือทั้งหมดทั้งปวงที่ยังเงียบ ไม่เอ่ยถ้อยคำ ก็ด้วยกลัวน้ำลายจะพุ่งออกไปด้วยความหิว นับตั้งแต่หนีออกจากพระนครไม่มีอะไรลงท้องเลย พอเจอเขาที่ป่าใต้ มาถึงจุดนี้ก็ไม่ได้พัก กว่าเขาจะจัดการทุกอย่าง ที่ได้กินก็ไม่อิ่ม จึงตื้อไปหมด ไม่รู้จะพูดเรื่องใด จะตอบอย่างไร
“เราอยู่ที่ใดฤๅเจ้าข้า” เธอเอ่ย ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านั้น อย่างน้อยขอได้ทราบความเป็นไปแล้วค่อยเปิดดูก็ไม่เสียหายนัก ดูเหมือนว่าอยู่ในป่าลึก แต่ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด
เขามองรอบตัว หันไปเขี่ยไฟ เอื้อมมือไปปลดห่อข้าว “ป่า”
อะเวรานิ่งงัน อึ้งกับคำตอบแบบกำปั้นทุบดิน เธอเห็นแล้วว่าเป็นป่า แค่อยากรู้ว่าเป็นบริเวณใดของนครใด
สหายท่านครูคนนี้ไม่น่ารักเช่นท่านครูของเธอ แต่ก็เลือกไม่ได้ เขาเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่พบกัน เพียงแค่ไม่คิดว่าจะพบคำตอบประหนึ่งโดนหมัดชกหน้าเท่านั้น
เขาส่งห่อข้าวให้ วางไว้กับพื้นตรงหน้า แล้วหันไปขยับห่อข้าวที่เหลือให้ใกล้ไฟอีกนิด
อะเวรายื่นมือจะปลด
“ร้อน” เขาเอ่ยเตือน ยื่นเนื้อแห้งปิ้งทั้งไม้ให้เธอ สีหน้าและการกระทำของเขาทำให้นึกหวั่น
ดุเหลือเกิน
เด็กหญิงรับไม้มา ปากคาบปลายไม้ไว้ มือแกะห่อข้าวทันที จากนั้นก้มลงไปเป่าข้าวให้หายร้อนอย่างเอาเป็นเอาตาย ตั้งหน้าตั้งตากิน กระทั่งหมดห่อ จึงได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดว่า...
“เราจักข้ามไปแดนใต้”
“เจ้าข้า” อะเวราเฝ้าฟัง แต่เขาไม่พูด จึงรีบกิน
และเมื่อท้องอิ่ม ก็มีสมาธิดีขึ้น
เขาเอ่ย “มิทราบได้ว่าเจ้ารู้เห็นมากน้อย ข้าพเจ้าจำต้องอธิบาย”
“เรื่องใดเจ้าข้า”
“หลายสิ่ง เบื้องต้น เจ้าต้องทราบเรื่องผู้มีอำนาจในแดนใต้กับแดนเหนือมิยุ่งเกี่ยวกัน พ้นเขตชายแดนของฝั่งแดนเหนือเมื่อใด เข้าสู่แดนใต้ได้ เจ้าจักปลอดภัย ท่านครูของเจ้าหวังใจพาเจ้าไปแดนใต้ หวังไว้เช่นนั้นนานมา ติดว่ายาวะท้าวเธอผู้ครองสักกะนครจับตาทุกฝีก้าว หากพ้นเขตแม่น้ำสักกะเข้าสู่เขตปกครองรอบนอกโดยมิได้รับอนุญาต มิเกินอึดใจคงมีลูกธนูพุ่งติดตามราวห่าฝนเป็นแน่แท้ นั่นจึ่งจำใจพำนักในสักกะนครเรื่อยมา”
อะเวราเช็ดปากด้วยต้นแขน คืนกระบอกน้ำที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ดื่มก่อนนี้ และเอ่ย “ท่านครูเป็นผู้วางแผนการรบให้ยาวะท้าวเธอมิใช่ฤๅเจ้าข้า จักถูกฆ่าด้วยเหตุใด”
เขามองมา “ท่านครูของเจ้า มิเคยบอกเล่าความใดแก่เจ้าเลยรึ?” สีหน้าแววตาคล้ายถามว่ามิรู้อะไรบ้างเลยหรือ ก่อนจะเท้าคางบนหลังมือ วางข้อศอกกับเข่าชันขึ้นข้างหนึ่ง และรอ
เด็กหญิงส่ายหน้า
เขาเอ่ยว่า “เช่นนั้นคงต้องเอ่ยความกันยาว” เขาถอนหายใจ ขยับนั่งหลังตรง “แดนเหนือกับแดนใต้ใช้วิธีปกครองต่างกัน อาจด้วยลักษณะพื้นที่ น้ำ ดิน ฟ้า แลองค์ประกอบอื่น ว่าแต่...เรื่องของแดนเหนือนี้ เจ้ารู้จักถิ่นที่อยู่ดีมากน้อยฤๅ”
“ท่านครูบอกว่า ขนาดพื้นที่โดยรวมของแดนเหนือ ใกล้เคียงกับพื้นที่โดยรวมของแดนใต้ แต่แดนเหนือมีพื้นที่แห้งแล้งเกือบสองในสามของขนาดพื้นที่ทั้งหมด สักกะนครเพาะปลูกได้ผลผลิตดีกว่านครอื่น ตำแหน่งค่อนกลางของพื้นที่รวม อีกทั้งมีแร่โลหะ แม้มิได้มีมากเช่นนครย่อยรอบด้าน แต่เพราะข้อได้เปรียบดั่งว่า ทั้งมิไกลจากชายแดนระหว่างแดนเหนือกับแดนใต้ จึ่งเป็นศูนย์กลาง แลด้วยความสะดวกกว่าพื้นที่อื่นนี่เอง จึ่งมั่งคั่งเจ้าข้า”
เขานั่งหลังตรง พยักหน้าว่าถูกต้อง และพูดอธิบายแก่เธอว่า...
“ความมั่งคั่งมากกว่าพื้นที่อื่นนี้ สักกะนครจึงเป็นศูนย์กลางของแดนเหนือโดยปริยาย ส่วนนครย่อยทั้งหลายล้วนด้อยกว่า แม้บางนครมีแร่โลหะมากกว่าสักกะนครหลายเท่าตัวเช่นภัคคะนคร แต่การเดินทางยากลำบากยิ่งนัก ต่อให้มีทรัพย์ฤๅมีกำลังคนมาก รึตั้งตนแยกออกไปปกครองตนเองได้ แต่ใช่ง่ายเรื่องปากท้อง ด้วยแห้งแล้งเหลือคณนา อีกทั้งการค้าขายต้องผ่านเขตของสักกะนคร มิผ่านโดยตรงก็ต้องผ่านเขตที่เป็นคนของท้าวเธอแห่งสักกะนครทั้งสิ้น ดังนั้นต่อให้ในแดนเหนือมีนครย่อยจำนวนเท่าใด แต่เงื่อนไขจากพื้นที่ธรรมชาติเช่นนี้ จึ่งพร้อมใจรับคำสั่งผู้ครองสักกะนครเท่านั้น ยอมเป็นนครใต้อาณัติ มิอาจแยกเป็นอิสระ ผู้ครองนครย่อยต่างๆ จึงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยปริยาย นี่คือการปกครองของแดนเหนือ ซึ่งแตกต่างจากการปกครองของแดนใต้โดยสิ้นเชิง เจ้ารู้จักแดนใต้รึไม่”
อะเวราตอบ “พอทราบเพียงเล็กน้อย แต่จะว่าไปแล้ว ก็ประหนึ่งมิทราบนั่นแลเจ้าข้า”
เขาก็อธิบายว่า “แดนใต้แบ่งเป็นหลายนคร อาจด้วยฟ้าฝนดินดี นครต่างๆ จึงปกครองตนเอง มีวิธีดูแลคนของตน อาจมีศึก แต่มิได้เกิดขึ้นบ่อยนัก รู้รึไม่ ด้วยเหตุใด
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 3 ... [นวนิยาย]
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทนำ https://pantip.com/topic/37975317
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 1 https://pantip.com/topic/37975324
ปฐภูมิภักดิ์ (ทักขิเณ-อะเวรา) ... บทที่ 2 https://pantip.com/topic/37978699
บทที่ 3
อะเวรานั่งมองกองไฟ เปลวของมันกำลังลอยขึ้นใกล้ห่อข้าวที่กำลังหุง ความร้อนทำให้ใบสีเขียวสดก่อนนั้นกลายเป็นสีน้ำตาลเกรียมๆ เกือบจะไหม้แต่ยังไม่ไหม้เพราะอยู่สูงกว่าและไม่ถึงก้น กลิ่นข้าวใกล้สุกลอยโชยมาอีกครั้ง
เจ้าของกระท่อมใช้ใบไม้แทนหม้อดิน หุงด้วยวัตถุดิบที่พอจะหาได้จากในป่า มัดห้อยต่องแต่งกับท่อนไม้ที่ผูกโยงเป็นคานอยู่ครั้งละสามห่อ ส่วนเสาค้ำซ้ายขวาใช้ท่อนไม้ปักดินข้างละสองท่อนเป็นแนวทแยงไขว้กัน คล้ายเครื่องหมายกากบาทอยู่ในที แต่ก็เหมือนทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่วเช่นกัน เหลือปลายไม้ที่ไขว้กันไว้เล็กน้อย ใช้เปลือกไม้ทุบๆ มัดให้เข้ารูปอยู่ทรง วางคานสำหรับย่างไว้เหนือส่วนที่ไขว้กัน
เขาเขี่ยไฟ ย่างห่อกลมๆ เขียวๆ ขณะเดียวกันก็ปิ้งเนื้อแห้งไปด้วย
อะเวรามองของในมือ มันคือใบไม้ห่อข้าวก่อนหน้านั้น ตอนนี้เหลือแค่ซาก ก่อนนี้กินของในห่อหมดอย่างรวดเร็ว จึงนั่งมองข้าวชุดใหม่ตาละห้อย กลิ่นของมันล่อหลอกยั่วยวนน้ำลายยิ่งนัก รู้สึกใจจะขาดเมื่อยังไม่อิ่ม
“ตัวเล็ก แต่กินเก่งนักนะเจ้า” เจ้าของกระท่อมพูดจบก็ยัดข้าวที่เหลือไม่มากในมือ ใส่ปากในคราวเดียว เคี้ยวหยับๆ แบบไร้เสียง มองมาด้วยสีหน้ายียวนระดับหนึ่ง กิริยาเหมือนหยาบคายแต่ก็มิได้หยาบคายเกินไปนัก ดูมีระเบียบเรียบร้อยอยู่ในที
แต่ท่ายัดเนื้อย่างตามเข้าไปอีกครึ่งชิ้นโดยไม่สนใจว่าเธอจ้องมองมานานมากเพียงใดระหว่างรอข้าวชุดใหม่หุงสุกช่างใจร้ายเหลือเกิน จะแบ่งให้สักหน่อยก็ไม่ได้ จนเผลอกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง
นี่คือที่มาของความรู้สึกทรมาน ได้กินแค่พอหอมปากหอมคอแต่ไม่อิ่ม แล้วต้องมานั่งรอ ต้องทนนั่งมองอีกฝ่ายได้กินอย่างเอร็ดอร่อย นั่นทรมานยิ่งกว่าตอนยังไม่ได้กินข้าวเสียอีก
อะเวรากลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกอีกรอบ ชิงชังข้อกล่าวหาที่ถูกยัดเยียดยิ่งนัก เขาหาว่าเด็กตัวสูงเพียงเอวของเขากินเก่ง ก็เห็นอยู่ตำตาว่าเป็นผู้ใดกันแน่ที่กินเก่ง
เขาต่างหาก!
นั่นมันคือห่อที่สองของเขา และทั้งสองห่อก็ใหญ่กว่าของเธอเกือบเท่าตัว หุงครั้งแรกสามห่อ ให้เธอมาหนึ่งห่อแต่เป็นห่อเล็กสุด ส่วนเขาเอาไปสอง กินห่อโตๆ อย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่อินังขังขอบ แม้เธอนั่งจ้องก็ไม่มีน้ำจิตน้ำใจจะแบ่งให้
เป็นผู้ใดกันแน่!
อะเวราอยากตะโกนบอกว่าเอาข้อกล่าวหานี้กลับไป แต่ก็ได้แค่นั่งน้อยใจในใจเท่านั้น จะกล้าพูดหรือแสดงกิริยาไม่งามต่อเขาได้อย่างไร ที่เขาช่วยเหลือ ที่แบ่งปันให้ก็นับว่าดีมากแล้ว ไม่สมควรจะคิดเป็นอื่นได้อีก
แล้วก็กลืนน้ำลายลงคออีกเอื๊อกหนึ่ง
“จักถามหาความเมตตาจากผู้อดอยากโหยหิวเช่นเดียวกัน ย่อมยากยิ่งนัก จดจำไว้”
อะเวราพยักหน้ารับทราบ
“ได้กินมากน้อยย่อมขึ้นอยู่กับฝีมือ หากคิดแย่งชิง เจ้าต้องแข็งแกร่งกว่า มีอำนาจกว่า ใจดำยิ่งกว่า เลือดเย็นยิ่งกว่า ไร้ความเมตตายิ่งกว่า รึหากเจ้าใคร่อิ่มท้องโดยไว แม้ยังเยาว์นัก ก็ต้องหมั่นฝึกปรือตนเอง เพียรศึกษาวิธี รู้จักใช้กลต่างๆ เพื่อให้ได้กินอิ่มปลอดภัย นั่นจึ่งมีชีวิตต่อไปได้ นี่คือหลักการง่ายๆ ของผู้อยู่รอด”
เขามองนิ่ง “อย่าได้มีเมตตาหากตัวเจ้ายังมิได้อิ่มท้อง ด้วยนั่นจักทำให้เจ้าตายเร็วกว่าผู้ที่เจ้าคิดช่วยเหลือ เมื่อใดเจ้าไร้กำลัง ปกป้องตนเองมิได้แล้วไซร้ ย่อมเกิดความเสี่ยงให้พลาดพลั้งต่อศัตรูได้ทุกรูปแบบ จงจำไว้ว่าเจ้าต้องอิ่มก่อน แข็งแรงก่อน ดูแลตนเองให้เรียบร้อยดีก่อน จากนั้นจึ่งแบ่งปัน จึ่งดูแลผู้อยู่ในความดูแล คือให้ตามสภาพ มิได้เป็นภาระต่อผู้ช่วยเหลือ มิฉะนั้นจักตายกันหมด
“แต่จำไว้ว่านี่คือข้อปฏิบัติยามภาวะสงคราม...แลอยู่ท่ามกลางศัตรูเพียงลำพัง ทว่าหลักการนี้จักใช้มิได้เมื่อเจ้าได้ร่วมกับกองทัพ ด้วยคนในกองทัพต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เป็นดั่งพี่น้องญาติมิตรเรา หากสหายตาย...เราจักสู้จนตัวตาย สหายตาย...แต่เรารอด...เราจักลากศพสหายกลับค่าย ฤๅสุดแต่กำลังเรามีในยามนั้น ครั้นยามนี้เจ้ามิได้เป็นคนของกองทัพ...กำลังหลบหนีศัตรู ย่อมต้องใช้กฎแรกที่ข้าพเจ้าบอกไป” หยิบเนื้ออีกชิ้นเข้าปาก เคี้ยวทั้งยังมองเธอ
อะเวรากลืนน้ำลายลงคออีกเอื๊อกหนึ่ง พยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว
เขาเอ่ย “แม้นว่าเจ้าน้ำตาคลอเบ้า ฤๅได้ร้องขอผู้อื่นให้เห็นใจ ก็ใช่ว่าจักมีผู้ใดสงสาร รึหากสงสาร ก็ย่อมต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ใช่ให้เปล่า ยิ่งเป็นหญิง...ต่อให้เจ้ายังเด็กนัก แต่ดูแลตนเองมิได้ ปกป้องตนให้พ้นภัยมิได้ มิแคล้วว่าต้องแลกด้วยร่างกาย ฤๅแลกด้วยผลประโยชน์อื่นใดที่ผู้เอาประโยชน์เห็นว่าคุ้มค่า นั่นจึ่งได้มาซึ่งอาหารบรรเทาหิว” จกเนื้อแห้งใส่ปากอีกคำ
อะเวราพยายามกลั้นใจ ไม่แสดงอาการ
เขาว่า “หากเจ้ามิอาจสร้างคุณค่าแก่ตน จนทำให้ผู้คนยำเกรง ทั้งชื่อเสียง ฤๅการกระทำ คอยแต่หวังพึ่งพาผู้อื่น เจ้าจักถูกเอาเปรียบเรื่อยไป สูญเสียสิ่งที่เจ้ารักใคร่หวงแหน หากเสียหนึ่งครั้งย่อมเสียอีกเป็นครั้งที่สอง หากเจ้ายืนหยัดมิยอมสูญเสีย...ย่อมปลูกฝังวินัยตนให้เป็นผู้ชนะ แต่หากว่าเจ้าถอดใจยอมสูญเสียแล้วไซร้ ด้วยเหตุจำเป็นใดๆ ในยามนั้น แต่นั่นย่อมปลูกฝังความปราชัยแก่ตนเรื่อยไป ครั้นนึกเสียใจก็ยากเกินกว่าเอากลับคืน ฉะนั้นอย่าดูดายในคำบอกนี้”
อะเวราพยักหน้าอีกครั้งหนึ่ง ค่อยๆ บ่ายหน้าหนีไปยังทิศตรงกันข้ามกับที่เขานั่งอยู่
คำสอนที่ได้ยินนั้นซึมซับยิ่งนัก แต่ที่มากกว่านั้นคือไม่อยากเห็นท่าทางเคี้ยวเนื้อของเขาเลย มันโหดร้ายมากเกินไปสำหรับคนที่ยังกินไม่อิ่ม อดข้าวมาทั้งวัน และท้องยังร้องจ๊อกๆ
“รออีกประเดี๋ยว ก็ได้กิน”
อะเวราพยักหน้าโดยไม่หันมองเขา เม้มริมฝีปากไว้แน่น
แต่ความหิวไม่ปรานีใครจริงๆ อึดใจเดียวก็แอบเหลือบมองห่อใบไม้กลมๆ เหนือไฟนั่นแวบหนึ่ง อยากกินให้ได้ตอนนี้เลย ไม่เอาเนื้อแห้งปิ้งก็ได้ แต่ขอข้าวห่อใหญ่ที่สุด อดข้าวมาหลายมื้อ ได้กินข้าวห่อเล็กนิดเดียว อย่างไรก็รู้สึกไม่อิ่มท้อง
เขาบอก “ระหว่างรอ เจ้าควรเปิดห่อผ้า ตรวจสอบว่าท่านครูของเจ้ามอบสิ่งใดไว้ให้ หากเจ้ารอดตาย แต่ของสิ่งนี้หาย อย่างน้อยย่อมได้รู้ จดจำสิ่งจำเป็น รึหากเจ้าต้องตาย อย่างน้อยยังได้รู้ความว่าท่านครูของเจ้ามอบสิ่งใดไว้ให้ ฤๅประสงค์ให้เจ้ารับรู้สิ่งใดกันแน่ เพลานี้...เหมาะสมยิ่งแล้ว”
อะเวรามองเขาเต็มตา ในใจคิดเพียงว่าจะถูกหลอกให้เปิดโดยเขาร่วมดูด้วยใช่หรือไม่
เขาว่า “นับจากนี้ เจ้าก็นับว่าอยู่ในปกครองของข้าพเจ้า มาตรแม้นต้องการอยู่เป็นเอกเทศ ย่อมได้ แต่การไร้ผู้คุ้มครองนั้น ข้อบังคับแรกแลสำคัญยิ่ง คือเจ้าต้องเก่งกาจ ดูแลตนได้เป็นอย่างดี แต่หากไร้ความสามารถเช่นที่เห็นนี้ ก็จงทำตามที่ข้าพเจ้าบอกแต่ไว จักมิได้เสียประโยชน์เปล่าระหว่างรอข้าวสุก” เขามองห่อผ้านั้น เป็นความหมายว่าเปิดซะ
อะเวรานั่งนิ่งไม่ขยับ ใจหนึ่งคิดว่าตนกำลังถูกล่อหลอกด้วยถ้อยคำที่ดูมีเหตุผลใช่หรือไม่ แต่อีกใจก็คิดทำตามทันที แต่เหนือทั้งหมดทั้งปวงที่ยังเงียบ ไม่เอ่ยถ้อยคำ ก็ด้วยกลัวน้ำลายจะพุ่งออกไปด้วยความหิว นับตั้งแต่หนีออกจากพระนครไม่มีอะไรลงท้องเลย พอเจอเขาที่ป่าใต้ มาถึงจุดนี้ก็ไม่ได้พัก กว่าเขาจะจัดการทุกอย่าง ที่ได้กินก็ไม่อิ่ม จึงตื้อไปหมด ไม่รู้จะพูดเรื่องใด จะตอบอย่างไร
“เราอยู่ที่ใดฤๅเจ้าข้า” เธอเอ่ย ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านั้น อย่างน้อยขอได้ทราบความเป็นไปแล้วค่อยเปิดดูก็ไม่เสียหายนัก ดูเหมือนว่าอยู่ในป่าลึก แต่ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด
เขามองรอบตัว หันไปเขี่ยไฟ เอื้อมมือไปปลดห่อข้าว “ป่า”
อะเวรานิ่งงัน อึ้งกับคำตอบแบบกำปั้นทุบดิน เธอเห็นแล้วว่าเป็นป่า แค่อยากรู้ว่าเป็นบริเวณใดของนครใด
สหายท่านครูคนนี้ไม่น่ารักเช่นท่านครูของเธอ แต่ก็เลือกไม่ได้ เขาเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่พบกัน เพียงแค่ไม่คิดว่าจะพบคำตอบประหนึ่งโดนหมัดชกหน้าเท่านั้น
เขาส่งห่อข้าวให้ วางไว้กับพื้นตรงหน้า แล้วหันไปขยับห่อข้าวที่เหลือให้ใกล้ไฟอีกนิด
อะเวรายื่นมือจะปลด
“ร้อน” เขาเอ่ยเตือน ยื่นเนื้อแห้งปิ้งทั้งไม้ให้เธอ สีหน้าและการกระทำของเขาทำให้นึกหวั่น
ดุเหลือเกิน
เด็กหญิงรับไม้มา ปากคาบปลายไม้ไว้ มือแกะห่อข้าวทันที จากนั้นก้มลงไปเป่าข้าวให้หายร้อนอย่างเอาเป็นเอาตาย ตั้งหน้าตั้งตากิน กระทั่งหมดห่อ จึงได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดว่า...
“เราจักข้ามไปแดนใต้”
“เจ้าข้า” อะเวราเฝ้าฟัง แต่เขาไม่พูด จึงรีบกิน
และเมื่อท้องอิ่ม ก็มีสมาธิดีขึ้น
เขาเอ่ย “มิทราบได้ว่าเจ้ารู้เห็นมากน้อย ข้าพเจ้าจำต้องอธิบาย”
“เรื่องใดเจ้าข้า”
“หลายสิ่ง เบื้องต้น เจ้าต้องทราบเรื่องผู้มีอำนาจในแดนใต้กับแดนเหนือมิยุ่งเกี่ยวกัน พ้นเขตชายแดนของฝั่งแดนเหนือเมื่อใด เข้าสู่แดนใต้ได้ เจ้าจักปลอดภัย ท่านครูของเจ้าหวังใจพาเจ้าไปแดนใต้ หวังไว้เช่นนั้นนานมา ติดว่ายาวะท้าวเธอผู้ครองสักกะนครจับตาทุกฝีก้าว หากพ้นเขตแม่น้ำสักกะเข้าสู่เขตปกครองรอบนอกโดยมิได้รับอนุญาต มิเกินอึดใจคงมีลูกธนูพุ่งติดตามราวห่าฝนเป็นแน่แท้ นั่นจึ่งจำใจพำนักในสักกะนครเรื่อยมา”
อะเวราเช็ดปากด้วยต้นแขน คืนกระบอกน้ำที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ดื่มก่อนนี้ และเอ่ย “ท่านครูเป็นผู้วางแผนการรบให้ยาวะท้าวเธอมิใช่ฤๅเจ้าข้า จักถูกฆ่าด้วยเหตุใด”
เขามองมา “ท่านครูของเจ้า มิเคยบอกเล่าความใดแก่เจ้าเลยรึ?” สีหน้าแววตาคล้ายถามว่ามิรู้อะไรบ้างเลยหรือ ก่อนจะเท้าคางบนหลังมือ วางข้อศอกกับเข่าชันขึ้นข้างหนึ่ง และรอ
เด็กหญิงส่ายหน้า
เขาเอ่ยว่า “เช่นนั้นคงต้องเอ่ยความกันยาว” เขาถอนหายใจ ขยับนั่งหลังตรง “แดนเหนือกับแดนใต้ใช้วิธีปกครองต่างกัน อาจด้วยลักษณะพื้นที่ น้ำ ดิน ฟ้า แลองค์ประกอบอื่น ว่าแต่...เรื่องของแดนเหนือนี้ เจ้ารู้จักถิ่นที่อยู่ดีมากน้อยฤๅ”
“ท่านครูบอกว่า ขนาดพื้นที่โดยรวมของแดนเหนือ ใกล้เคียงกับพื้นที่โดยรวมของแดนใต้ แต่แดนเหนือมีพื้นที่แห้งแล้งเกือบสองในสามของขนาดพื้นที่ทั้งหมด สักกะนครเพาะปลูกได้ผลผลิตดีกว่านครอื่น ตำแหน่งค่อนกลางของพื้นที่รวม อีกทั้งมีแร่โลหะ แม้มิได้มีมากเช่นนครย่อยรอบด้าน แต่เพราะข้อได้เปรียบดั่งว่า ทั้งมิไกลจากชายแดนระหว่างแดนเหนือกับแดนใต้ จึ่งเป็นศูนย์กลาง แลด้วยความสะดวกกว่าพื้นที่อื่นนี่เอง จึ่งมั่งคั่งเจ้าข้า”
เขานั่งหลังตรง พยักหน้าว่าถูกต้อง และพูดอธิบายแก่เธอว่า...
“ความมั่งคั่งมากกว่าพื้นที่อื่นนี้ สักกะนครจึงเป็นศูนย์กลางของแดนเหนือโดยปริยาย ส่วนนครย่อยทั้งหลายล้วนด้อยกว่า แม้บางนครมีแร่โลหะมากกว่าสักกะนครหลายเท่าตัวเช่นภัคคะนคร แต่การเดินทางยากลำบากยิ่งนัก ต่อให้มีทรัพย์ฤๅมีกำลังคนมาก รึตั้งตนแยกออกไปปกครองตนเองได้ แต่ใช่ง่ายเรื่องปากท้อง ด้วยแห้งแล้งเหลือคณนา อีกทั้งการค้าขายต้องผ่านเขตของสักกะนคร มิผ่านโดยตรงก็ต้องผ่านเขตที่เป็นคนของท้าวเธอแห่งสักกะนครทั้งสิ้น ดังนั้นต่อให้ในแดนเหนือมีนครย่อยจำนวนเท่าใด แต่เงื่อนไขจากพื้นที่ธรรมชาติเช่นนี้ จึ่งพร้อมใจรับคำสั่งผู้ครองสักกะนครเท่านั้น ยอมเป็นนครใต้อาณัติ มิอาจแยกเป็นอิสระ ผู้ครองนครย่อยต่างๆ จึงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยปริยาย นี่คือการปกครองของแดนเหนือ ซึ่งแตกต่างจากการปกครองของแดนใต้โดยสิ้นเชิง เจ้ารู้จักแดนใต้รึไม่”
อะเวราตอบ “พอทราบเพียงเล็กน้อย แต่จะว่าไปแล้ว ก็ประหนึ่งมิทราบนั่นแลเจ้าข้า”
เขาก็อธิบายว่า “แดนใต้แบ่งเป็นหลายนคร อาจด้วยฟ้าฝนดินดี นครต่างๆ จึงปกครองตนเอง มีวิธีดูแลคนของตน อาจมีศึก แต่มิได้เกิดขึ้นบ่อยนัก รู้รึไม่ ด้วยเหตุใด