ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๔๕ ม่านน้ำประกายดาบ

.
                                                  

บทที่ ๔๕ ม่านน้ำประกายดาบ

สายน้ำไหลแทรกผ่านทุกสรรพสิ่ง
น้ำที่สาดรดมา ยากจะปัดป้องมิให้เปียกได้
เปลวไฟที่ร้อนรุนแรงปานใด ก็มิอาจฝ่าม่านน้ำตก

เพลงดาบของกบิลก็เป็นเช่นนั้น... บรรลุถึงขั้นม่านน้ำประกายดาบ

ว่ากันว่า.. ไม่มีผู้ใดจะปิดป้องสองดาบของกบิลที่ฟาดแทงครอบคลุมทุกจุดตาย และไม่มีผู้ใดจะใช้ดาบรุกล้ำกล้ำกรายฝ่าม่านดาบของกบิลได้

กบิลคือดาบที่ไม่เคยแพ้

นั่นคือเหตุผลที่ขุนพลมะเมียนักษัตรจากตรังผู้รั้งอันดับที่ ๓ ของการแข่งขันยิงธนูจึงเลือกจะหลบเลี่ยงการประลองกับกบิลและเจ้าทิพในรอบนี้

การประลองเป็นไปดังที่ทุกคนคาดหมาย ขุนพลเมืองตรังเอาชนะเพลงดาบของขุนพลระกานักษัตรจากเมืองสะอุเลาไปได้อย่างง่ายดายในการประลองเป็นคู่แรกของเช้านี้
แม้ว่าขุนพลเมืองสะอุเลาจะรุกโหมจู่โจมอย่างหนัก แต่ดูเหมือนเชิงดาบยังห่างไกลกับขุนพลเมืองตรังมากนัก จึงถูกดักฟันเป็นแผลฉกรรจ์ถึงสามดาบพ่ายแพ้ไป โดยเจ้าตัวสามารถเรียกบาดแผลจากขุนพลเมืองตรังได้เพียงแผลเดียว

กติการะบุเงื่อนไขการแพ้ชนะไว้หลายข้อ หนึ่งในนั้นคือฝ่ายใดเรียกแผลฉกรรจ์จากฝ่ายตรงข้ามได้สามดาบก่อนเป็นฝ่ายชนะ

สนามประลองคือลานกว้างด้านนอกทางทิศเหนือของสนามวงกลมที่ใช้ประลองธนูเมื่อวาน มีอัฒจันทร์ที่นั่งทอดยาวราว ๖๐ วา (๑๒๐ เมตร) สร้างเป็นชั้น ลาดเฉียงลดหลั่นหันหน้าสู่ด้านทิศเหนือที่เป็นลานประลอง ยามนี้ผู้ชมนั่งกันแน่นขนัดทุกชั้นตลอดแนวยาว ชั้นล่างสุดของอัฒจันทร์ยกพื้นขึ้นสูงราว ๒ ศอกกึ่ง (๑.๒๕ เมตร) และขึงเชือกกั้นบริเวณลานประลองห่างออกไปราว ๓ วา ทำให้มีพื้นที่สำหรับผู้ชมได้ยืนดูอยู่ด้านล่างอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งบัดนี้ต่างยืนเบียดเสียดเต็มไปหมด

ตรงกลางอัฒจันทร์เป็นปะรำที่ประทับขององค์กษัตริย์และองค์ราชาทั้งสิบสามพระองค์พร้อมพระมเหสีและเชื้อพระวงศ์

บัดนี้กลางลานประลองมีสองขุนพลนักดาบจากสองเมืองยืนจรดดาบเข้าหากัน..
การรำดาบไหว้บูชาครูยุติลงแล้ว การต่อสู้ของคู่ที่สองกำลังจะเริ่มขึ้น นี่คือคู่ประดาบที่ทุกคนรอคอย.. เจ้าทิพแห่งเมืองปตานีและกบิลแห่งเมืองพัทลุง

เสียงโห่ร้องอื้ออึงก่อนหน้าพลันสงบเงียบ...
เงียบจนรู้สึกถึงสายลมที่พัดสะบัดชายเสื้อของเจ้าทิพพลิ้วไหว ชายหนุ่มเพียงสวมใส่เสื้อผ้าไร้เครื่องเกราะห่อหุ้มป้องกัน.. ผิดกับกบิลในชุดเกราะหนังอ่อน

ดาบคู่ของเจ้าทิพยื่นเฉียงไปด้านหน้า คล้ายงาช้างคู่ที่คดเกเฉปลายสอบเข้าหากัน สองดาบตรึงนิ่งในขณะที่ทิ้งลำตัวโน้มไปเบื้องหน้าเล็กน้อย
ผิดกับดาบคู่ของกบิลที่หมุนวนไปมาทั้งซ้ายและขวา คล้ายเคลื่อนไหวรอคอยการปัดป่ายดาบรุกของอีกฝ่าย ส่วนร่างกายก็ขยับโยกไปมา มีเพียงสองเท้าที่มิได้ยกเคลื่อนย้ายออกไปจากจุดเดิม

วิถีการเคลื่อนไหวของดาบซ้ายและขวาสะกดกั้นการรุกไว้ทุกจุดจนไร้จังหวะให้เข้าปะทะจู่โจม

แต่ดาบหนึ่งของเจ้าทิพเริ่มต้นแล้ว...
ดาบในมือซ้ายพุ่งเข้าหาม่านดาบอย่างรวดเร็วรุนแรง

ดาบขวาที่หมุนวนของกบิลพลันสะบัดปัดป้องดาบรุกจนตกไป ดาบซ้ายย้ายวนมาอยู่ในตำแหน่งพร้อมรับการฟาดกราดของดาบรุกที่สอง
เป็นจริงดังคาด ดาบที่สองของเจ้าทิพถูกสะบัดปัดออกไปในพริบตา มิอาจพลิกแพลงให้จบกระบวนท่าจู่โจมที่สองได้

เจ้าทิพพลันเริ่มดาบที่หนึ่งใหม่ ตามด้วยดาบที่สอง แต่ทุกครั้งกลับถูกปัดป่ายออกไป มิได้ใกล้เคียงกับการจบกระบวนท่าที่สองเพื่อเริ่มต้นเข้าสู่ท่าจู่โจมที่สาม

วิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติก็มิได้ช่วยมากนัก ด้วยสองดาบของเจ้าทิพที่เคลื่อนย้ายไปมามีระยะเงื้อง่า แม้รวดเร็วกว่าแต่ใช้เวลาลากและฟัน เมื่อเทียบกับการขยับย้ายตำแหน่งดาบเพียงวนระยะแค่ฝ่ามือของกบิลนับว่ามิได้เปรียบใดๆ เลย

...ม่านดาบของกบิลคล้ายสายน้ำที่หลั่งไหลต่อเนื่องอยู่เบื้องหน้า ปิดบังจุดอ่อนของตนตลอดเวลา

“ไม่น่าเชื่อว่าเพลงดาบของกบิลจะรัดกุมปานนี้” พระศรีมหาราชรับสั่งขึ้น

“ขอเดชะ จากที่ข้าพระพุทธเจ้าเห็น คาดว่ากบิลคงฝึกสำเร็จวิชาม่านน้ำประกายดาบขั้นสูงสุดแล้ว พระพุทธเจ้าข้า” ขุนพลสิงหลกราบทูล “วิชานี้ยึดอารมณ์ของสายน้ำเป็นวิถีดาบ ทั้งความต่อเนื่อง ความหนักแน่น และการประสานสัมพันธ์.. วิถีดาบประสานกับวิถีใจ จะฝึกสำเร็จได้ผู้ฝึกต้องสำเร็จวิชาสมาธิขั้นสูง พระพุทธเจ้าข้า”

พระเจ้านครศรีธรรมราชทรงพยักพระพักตร์ด้วยพอพระราชหฤทัย
“ดูเหมือนทุกดาบของเจ้าทิพคล้ายอยู่ในความคาดคิดของกบิลทั้งสิ้น เพราะเหตุใดหรือ”

“ม่านดาบของกบิลเปรียบประดุจสายน้ำ ส่วนดาบของเจ้าทิพคล้ายขอนไม้ลอยอยู่ในน้ำ จะขยับหรือเตรียมปรับเปลี่ยนเช่นไร ก็อยู่ในกระแสล่วงรู้ของสายน้ำ... เมื่อเป็นเช่นนี้ เพลงดาบของพระมหาเถรศรีศรัทธาแม้จะร้ายกาจรุนแรงเพียงใด ก็มิอาจเริ่มต้นเข้าสู่ท่าจู่โจมที่สามได้ พระพุทธเจ้าข้า”

“หากจู่โจมมิได้.. ก็มีแต่หนทางพ่ายแพ้สถานเดียว หรือท่านคิดเห็นอย่างไร”

พระดำรัสนี้ ขุนพลสิงหลสู้สงบนิ่งอยู่ มิรู้จะกราบทูลตอบเช่นไร..
ไม่มีผู้ใดจะใช้ดาบรุกล้ำกล้ำกรายฝ่าม่านดาบของกบิลได้...ความข้อนี้ยังจะเป็นจริงกระทั่งเพลงดาบของพระมหาเถรศรัทธาหรือ...

พลันสถานการณ์กลางสนามประลองเริ่มเปลี่ยนแปลง เมื่อเจ้าทิพที่ไล่เพลงดาบจู่โจมวนไปมาในท่าที่หนึ่งและท่าที่สองเกิดช่องโหว่เพลี่ยงพล้ำ กบิลเปลี่ยนกลับจากรับเป็นฝ่ายรุก

เสียงผู้คนโห่ร้อง เมื่อเห็นประกายดาบของกบิลสาดซัดเข้าครอบคลุมไปทั่วร่างของเจ้าทิพ ดุจสายน้ำซัดสาดเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง

ว่ากันว่า.. ไม่มีผู้ใดจะปิดป้องสองดาบของกบิลที่ฟาดแทงครอบคลุมทุกจุดตาย...
ทุกคนในสนามเริ่มคิดกันแล้วว่า.. กบิลคือผู้เข้าแข่งขันหนึ่งในสี่คนสุดท้ายของรอบถัดไป

เพียงแต่คู่ต่อสู้ของกบิลคือเจ้าทิพ ผู้มีวิชาราชสีห์ก้าวแปดทิศ และความเร็วของปราณเปลี่ยนมิติ

เจ้าทิพอาศัยความเร็วของวิชาปิดปราณเปลี่ยนมิติปัดป้องเพลงดาบที่ซับซ้อนต่อเนื่องของกบิล อาศัยก้าวย่างที่เปลี่ยนแปลงดึงจังหวะรุกของกบิล
ผู้คนเพียงเห็นกบิลรุกไล่ เจ้าทิพโยกย้ายหลบหลีกสับสน พลันร่างเจ้าทิพคล้ายเสียหลักล้มพุ่งเฉียงไปเบื้องหน้า

กระทั่งดาบเจ้าทิพกวาดฟาดใส่ต้นขาของกบิล.. ผู้คนจึงรู้ว่าไม่ใช่

เจ้าทิพมิได้เสียหลักล้มคะมำลงแต่อย่างใด

“หนึ่งแผลพัทลุง”
เสียงขุนพลภัทธิยะผู้เป็นกรรมการขานขึ้น

จากนั้นเป็นเจ้าทิพที่กลับมารุกไล่ ประกายเพลงดาบพระมหาเถรศรีศรัทธาถูกใช้ออกไป ผสานท่าเท้าราชสีห์ก้าวแปดทิศ คุมจังหวะย่างก้าวของกบิลจนสับสน

ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าทิพเริ่มผนึกท่าเท้าที่ใช้ถอย กับเพลงดาบที่ใช้รุก..ตามคำแนะนำของพานอินได้ระดับหนึ่งแล้ว.. แม้แต่ขุนพลสิงหลก็ยังสังเกตไม่ออก

ม่านดาบของกบิลยังคงอยู่ แต่เพลงดาบของเจ้าทิพคล้ายสามารถวกอ้อมไปยังด้านข้างของม่านดาบนั้นเสียแล้ว...
ท่าจู่โจมที่สามของเพลงดาบพระมหาเถรศรีศรัทธากวาดฟาดฟันลงยังต้นแขนซ้ายของกบิลจนเลือดสาด

“สองแผลพัทลุง”

กบิลถอยกายไปด้านหลัง พลิกกายไปด้านซ้ายหวังประจันกับเจ้าทิพ แต่กลับเป็นอีกฝ่ายที่โผเปลี่ยนตำแหน่งไปด้านขวาของตนพร้อมดาบซ้ายที่แทงออกมา กบิลกัดฟันรีบหมุนร่างสลับตำแหน่งขาแล้วสบัดดาบขึ้นปะทะ

บาดแผลแรกที่ต้นขาคืออุปสรรคสำคัญในการเคลื่อนย้ายตำแหน่งม่านดาบ.. ด้วยวิชาม่านน้ำประกายดาบแม้จะเคลื่อนย้ายตำแหน่งดาบที่อยู่เบื้องหน้าไม่มาก แต่กลับอาศัยรากฐานจากเท้าทั้งสองในการเปลี่ยนมุมประจันกับคู่ต่อสู้

เป็นเจ้าทิพที่จับจุดอ่อนนี้ได้.. แสร้งเป็นเพลี่ยงพล้ำให้กบิลใช้ดาบรุก แล้วอาศัยวิชาราชสีห์ก้าวแปดทิศควบคุมจังหวะรุกของกบิล
ในจังหวะรุกย่อมไม่มีม่านดาบตั้งรับ
ต้นขาของกบิลจึงถูกฟาดทำลายให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก

บัดนี้ม่านดาบของกบิลถูกลดทอนประสิทธิภาพลงมากแล้ว เจ้าทิพสลับฟาดดาบขวาพร้อมทิ้งน้ำหนักโผร่างไปยังฝั่งเดียวกัน ดึงจังหวะกบิลให้เบี่ยงกลับด้านซ้ายอีกครั้งพร้อมยกดาบขึ้นปัดป้อง ดาบซ้ายในมือเจ้าทิพก็ฟาดออก ปัดสองดาบของกบิลลู่ไปด้วยกำลังแรง

พลันเจ้าทิพชะงักร่าง อาศัยแรงส่งของดาบที่ปะทะ หมุนคว้างพุ่งร่างไปด้านขวาของกบิลแล้วฟาดดาบขวาเข้าสู่ต้นแขนขวาของกบิล.. เป็นท่าจู่โจมที่หกในเพลงดาบพระมหาเถรศรีศรัทธา

“สามแผลพัทลุง.. การประลองยุติ”

เสียงผู้ชมชาวปตานีโห่ร้องดังกึกก้อง
เจ้าทิพคือผู้ชนะ ผ่านเข้าสู่การประลองถัดไป.. รอบสี่คนสุดท้าย

-----------------------------------

“เจ้าทำได้ดีมาก ใช้การถอยเพื่อทำลายการป้องกันของกบิล”
พานอินกล่าวขึ้นเมื่อการประลองสิ้นสุดลง

“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านพี่ช่วยแนะนำสั่งสอนเรื่องการผนวกรวมเพลงดาบพระมหาเถระเข้ากับจังหวะการถอยของเท้าราชสีห์.. วันนี้จึงมีโอกาสได้ใช้ออกมา”

รุกแฝงอยู่ในการถอยรับ นั่นคือสิ่งแรกที่พานอินแนะนำ.. เดิมทีเพื่อนำมาใช้หากเจ้าทิพกำเริบพิษไข้และมิอาจใช้ปราณเปลี่ยนมิติ แต่ครั้นนำมาใช้ร่วมกับความเร็วของปราณเปลี่ยนมิติ อานุภาพจึงร้ายแรงนัก

ตลอดครึ่งวันของเมื่อวาน พานอินเพียรเฝ้าดูเจ้าทิพฝึกวิชา และคอยชี้แนะเลือกท่าจู่โจมจากเพลงดาบรุกให้สัมพันธ์กับการก้าวย่างของเท้าราชสีห์แปดทิศ

เจ้าทิพฝึกสำเร็จไปสี่ทิศแล้ว.. เหลืออีกสี่ทิศที่ต้องฝึกฝนให้สำเร็จ

“เราไปหาสิงขรกันเถอะ แล้วนั่งดูการประลองระหว่างกัมพะทมิฬและขุนพลเมืองตรัง”
“ไปหาสิงขร..” เจ้าทิพกล่าวเสียงดังขึ้น จนเกือบจะเป็นเสียงร้อง “ท่านพี่บอกให้ข้าพเจ้าคอยหลบสิงขร ทั้งตัวท่านพี่และนายราบนายเรืองก็คอยกันไว้ไม่ให้เข้าใกล้ตัวข้าพเจ้า... ทำไมตอนนี้เปลี่ยนใจจะให้ไปพบเล่า”

พานอินยิ้มในมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่เป็นสุข ไร้ร่องรอยของความกังวลใจทั้งปวง
“ตอนเราเข้าไปกันสิงขร เราได้กลิ่นคล้ายกำยานเช่นกัน.. หากคาดไม่ผิด นี่อาจเป็นกำยานเร่งพิษในตัวเจ้า จะออกฤทธิ์ไม่นานหลังสูดดมไอระเหย ตอนนี้สิ่งที่สิงขรต้องการที่สุด คือให้เจ้าได้สูดดมกลิ่นของมันก่อนการประลองชนช้างกับเขมราฐ.. แต่ไม่ใช่ช่วงเวลานี้”

“ท่านพี่จึงคิดว่าสิงขรจะเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงเรา จนกระทั่งถึงตอนก่อนข้าพเจ้าลงสนามประลองอีกครั้ง”

พานอินไม่ตอบคำ แต่เผยรอยยิ้มให้.. เป็นรอยยิ้มที่งามสง่า ประกายตาเจิดจรัส ในสถานการณ์ความเป็นความตายเยี่ยงนี้เจ้าทิพยังอดคำนึงชื่นชมในบุคลิคภาพมิได้...


“นายท่าน พวกข้าพเจ้าได้เตรียมช้างศึกของเจ้าทิพไว้พร้อมแล้วขอรับ”
นายราบนายเรืองเร่งเข้ามารายงาน พานอินเพียงพยักหน้ารับทราบ

“ท่านพี่จะให้ข้าพเจ้าอยู่ดูการประลองของกัมพะทมิฬ โดยไม่ต้องไปเตรียมตัวกับช้างศึกด้วยตนเองหรือ”
“เจ้าขี่ช้างควงของ้าวไปมาตั้งแต่รุ่งเช้า นั่นก็เพียงพอแล้ว.. สิ่งสำคัญตอนนี้คือสงบใจ กำหนดวิธีเอาชนะเขมราฐ และชมเพลงทวนบนหลังม้าของกัมพะทมิฬ”

“กำหนดวิธีเอาชนะ...” คำนี้ ทำให้เจ้าทิพอดนึกถึงเซียงจือกงมิได้

“เจ้าคิดว่าทำไมเขมราฐจึงเลือกวิธีประลองด้วยของ้าวบนหลังช้าง”
แม้เป็นคำถามที่เจ้าทิพตระหนักรู้ถึงคำตอบอยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะเป็นคำถามจากปากของพานอิน ทำให้ชายหนุ่มอดไตร่ตรองให้รอบคอบอีกครั้งก่อนจะตอบออกไปมิได้..

“ข้าพเจ้าคิดว่า เพราะเขมราฐมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง มีช้างตัวใหญ่ทรงพลัง และเป็นช้างชำนาญศึก หากเลือกต่อสู้บนพื้นดิน ย่อมเสียเปรียบข้าพเจ้าในจังหวะและความเร็ว หากอยู่บนหลังช้างอาจอาศัยวิชาคชสาร ข่มจุดอ่อนเพิ่มจุดแข็ง”

พานอินพยักหน้า ถามต่อ
“แล้วเจ้าจะกระทำเยี่ยงไร”

“เขมราฐไม่รู้ว่าข้าพเจ้าสำเร็จวิชาควบคุมบังคับสัตว์ ดังนั้นข้าพเจ้าจะไสช้างเข้าต่อสู้ แม้ช้างจะขนาดเล็กกว่าแต่อาศัยความชำนาญในการขี่บังคับ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะได้”

พานอินยิ้ม ส่ายหน้า
“เอาจุดแข็งของเรา สู้กับจุดแข็งของเขา มิใช่วิธีที่ดีนัก”

เจ้าทิพเบิกตากว้าง พลันรู้แล้วว่าพานอินกำลังจะแนะนำสิ่งใหม่ให้กับตน...

ตลอดเวลา พานอินคล้ายมองทะลุทุกสิ่งออกทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนปลาย เพียงแต่รอเวลาให้เหมาะสมเท่านั้นจึงค่อยบอกออกมา...

-----------------------------------

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่