ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๔๖ ชนช้าง

.
                                                  

บทที่ ๔๖ ชนช้าง

“ในเมื่อเจ้าทิพไม่สวมเกราะ ข้าก็จะไม่สวมเช่นกัน”

นั่นคือคำประกาศกร้าวของเขมราฐ ก่อนเข้าสู่สนามประลอง
ขุนพลใหญ่แห่งบันทายสมอย่อมมิอาจท้วงติงขุนพลนักษัตรของตนได้ หากจะบังคับให้สวมเกราะหนังเท่ากับทำลายความมั่นใจของเขมราฐลง

ความมั่นใจคือสิ่งสำคัญที่สุดยามนี้...

เมื่อสามเดือนก่อน เขมราฐเดินทางมาปตานีเพื่อชมการประลองชิงตำแหน่งขุนพลฉลูนักษัตร ในครั้งนั้นเกิดการท้าทายและต่อสู้กันกับสองขุนพลต่างเมือง
เขมราฐพิชิตขุนพลเมืองกลันตรังด้วยเพลงดาบ และเอาชนะขุนพลเมืองตะกั่วป่าด้วยเพลงทวนบนหลังม้า

ชาวปตานีที่เห็นการต่อสู้ในครั้งนั้นเล่ากันว่า พลังของเขมราฐมหาศาล ดาบที่ฟาดฟันรุนแรง กระทั่งง่ามมือขุนพลกลันตรังที่กุมด้ามดาบฉีกขาด.. ยามใช้ทวนตั้งรับสกัดการรุก มิเพียงรัดกุมมั่นคง หากแต่วกวนซับซ้อนแฝงซ่อนทวนรุก ขุนพลตะกั่วป่ารุกไล่ได้สักพัก ก็ถูกดักแทงทวนสวนกลับ.. กระหน่ำซัดดุจพายุคลั่งจนตกม้าพ่ายไป

วลี “เข้มแข็งดุจภูผา วกวนราวสายลม” ซึ่งเคยใช้เปรียบเปรยราชาสิบสองนักษัตรองค์ที่ห้า เขมราชา ในช่วงยี่สิบปีก่อน.. บัดนี้หวนย้อนมาให้ผู้คนกล่าวขวัญถึงอีกครั้ง ด้วยอานุภาพเพลงอาวุธของบุตรชาย.. เขมราฐ

ผู้ซึ่งบัดนี้ได้รับสมญา.. เจ้าแห่งภูผา สายลมคร่าวิญญาณ.. ตามมรดกวิชาที่ได้รับ

ช้างพลายรูปร่างใหญ่โตทรงพลังถูกนำเข้ามายังลานประลอง เป็นช้างขนาดใหญ่ที่แทบมิเคยได้เห็นในเมืองปตานี
กลางลานประลองมีสองขุนพลนักษัตรคู่ชิงชัยยืนอยู่คนละมุม ห่างกันราว ๔ วา ช้างพลายตัวใหญ่พลันวิ่งตรงเข้าหาขุนพลเขมราฐพร้อมยกงวงขึ้นจรดหน้าผาก แผดเสียงร้องดังลั่น ครั้นไปถึงนายของตนก็ทอดงวงสะบัดออก

เขมราฐไม่รอช้าโจนทะยานขึ้นเหยียบงวงช้าง พร้อมจังหวะที่งวงยาวใหญ่ยกสะบัด ส่งร่างขุนพลบันทายสมอไต่ขึ้นไปพลิกกายนั่งคร่อมคอช้างอย่างองอาจ

ฝ่ายเจ้าทิพรอให้ทหารควาญช้างสั่งให้ช้างตนยกขาหน้าขึ้นมา แล้วค่อยก้าวขึ้นเหยียบย่างขานั้น เหวี่ยงตัวเองขึ้นไปนั่งบนคอช้าง

เพียงเริ่มต้นทุกคนที่เอาใจช่วยเจ้าทิพก็หวั่นไหวเสียแล้ว
ขนาดของช้างเจ้าทิพแม้ถือว่าใหญ่ แต่เปรียบแล้วกลับเล็กกว่า ความชำนาญในการขึ้นช้างก็ธรรมดา ทั้งช้างทั้งคนดูไม่ประสานสัมพันธ์ ในขณะที่อีกฝั่ง เหมือนช้างจะคุ้นเคยใกล้ชิด เพียงเห็นตัวนายก็วิ่งร้องเข้าหา

ของ้าวถูกส่งขึ้นไป..
การต่อสู้กำลังจะเริ่มหลังกลองศึกลั่น

สายลมหอบหนึ่งพัดวนกวาดพื้นลานประลองระหว่างช้างสองเชือกจนฝุ่นผงตลบขึ้น

ทุกอย่างเริ่มเงียบสงบ กระทั่งฝุ่นผงก็กำลังทิ้งตัวตกลง
พลันกลองศึกรัวดัง.. เสียงช้างแผดร้องสนั่นวิ่งเข้าหากัน ฝุ่นผงกระจายติดตามไป...

เจ้าทิพบังคับช้างของตนพุ่งเข้าชนช้างใหญ่ของเขมราฐ แต่จะเพราะด้วยความหวาดกลัวของสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่า ช้างของเจ้าทิพพลันยกงวงชี้ชันขึ้นก่อนจะลู่ลงเข้าประสานงา ช้างใหญ่จึงได้จังหวะงัดใต้งวงช้างเล็กจนหัวผงกขึ้น พร้อมกับง้าวของเขมราฐกวาดฟาดฟันมาโดยแรง

ชายหนุ่มรีบสะบัดของ้าวเข้าต้าน แรงปะทะกระแทกจนง่ามมือชา ฝ่ายรุกอาศัยแรงสะท้อนดีดกลับดึงอาวุธมาแล้วฟาดจากบนลงล่าง เจ้าทิพได้แต่ยกด้ามง้าวขึ้นป้องกันเหนือศีรษะด้วยสองมือ จังหวะนั้นช้างของตนพลันถูกหนุนยกสูง เขมราฐก็เหนี่ยวกระชากของ้าวที่ตัวขอเกี่ยวด้ามง้าวของเจ้าทิพโดยแรง ร่างชายหนุ่มเซคะมำไปข้างหน้า อาวุธแทบหลุดจากมือ

จังหวะที่หน้าคว่ำ คมง้าวที่รออยู่เบื้องหน้าถูกเขมราฐพุ่งแทงย้อนกลับมา ชายหนุ่มรีบถลันหลบข้างด้วยความเร็วของปราณเปลี่ยนมิติ ปลายคมง้าวแฉลบผ่านใบหน้าไปอย่างหวุดหวิด ก่อนที่ขอเหล็กตรงคอง้าวจะได้กระแทกไหล่ ชายหนุ่มรีบสะบัดยกด้ามง้าวขึ้นสูง กระแทกง้าวรุกพ้นไป

เจ้าทิพอาศัยจังหวะต่อเนื่องหมุนวนง้าวเหนือศีรษะ ระยะง้าวนั้นสั้นนักเพราะจับตรงกลางด้ามง้าว.. แต่พอคมง้าวหมุนเลื่อนได้ตำแหน่งชายหนุ่มรีบพุ่งแทงตรงเข้าสู่ทรวงอกเขมราฐทันที เจ้าแห่งภูผารีบรั้งร่างเอนกลับไปด้านหลัง ระยะแทงหยุดลงก่อนปะทะ พลันช้างของเจ้าทิพฉากถอยออกไปแล้ว

ที่แท้เจ้าทิพฉวยจังหวะแทงง้าว แต่เท้าสั่นขยิกเร่งช้างที่ถูกงัดขึ้นบนเสียเปรียบอยู่ให้ถอยออก
เขมราฐหัวเราะลั่น รู้แล้วว่าเจ้าทิพอ่อนด้อยกว่าฝ่ายตนทั้งคนทั้งช้าง

ข้างสนามผู้ชมชาวปตานีและเมืองละแวกฝ่ายใต้ต่างส่ายหน้าพากันวิจารณ์ขรม.. เจ้าทิพมิชำนาญการศึกบนหลังช้าง แม้พุ่งช้างเข้าชนแต่มิอาจบังคับช้างตนให้หยุดตื่นกลัวได้ เป็นเหตุให้ยกงวงขึ้นป้องปะทะจนถูกแบกอยู่บน.. ขณะที่ผู้ชมเมืองบันทายสมอและเมืองละแวกรอบข้างต่างโห่ร้องเริงร่า ในความมีเปรียบของขุนพลนักษัตรฝ่ายตน

บนปะรำที่ประทับบรรดาราชาและองค์กษัตริย์ต่างมีรับสั่งถึงสภาพการต่อสู้.. ไม่มีพระองค์ไหนคิดว่าเจ้าทิพจะชนะ
องค์หญิงวิสาณีสีพระพักตร์ซีดเผือด ทรงรวบพระหัตถ์บีบแน่นกุมเหนือพระอุระ.. ทรงภาวนาให้มีปาฏิหาริย์ใดเกิดขึ้นกับชายที่พระนางทรงรัก

ไม่มีปาฏิหาริย์ มีเพียงไหวพริบแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า...
เขมราฐเห็นเจ้าทิพชิงถอย พลันกระตุ้นช้างใหญ่พุ่งประชิดติดตาม แต่ช้างเล็กกลับหยุดยั้งแล้วโจนพุ่งเบียดเฉียงไปด้านข้างทางขวา ช้างตัวเล็กกว่าแต่เคลื่อนไหวเร็ว จังหวะนั้นง้าวของเจ้าทิพฟาดเข้าใส่ลำตัวด้านข้างของเขมราฐแล้ว

เขมราฐนึกไม่ถึงเจ้าทิพจะตีขนาบข้าง เร่งใช้ความเร็วของตนยกด้ามง้าวขึ้นขวาง แม้จะเคลื่อนไหวช้ากว่าแต่ก็ทันรับง้าวของเจ้าทิพที่เร่งมาด้วยปราณเปลี่ยนมิติ

เสียงง้าวปะทะดังลั่น ตามด้วยเสียงช้างแผดร้องก้อง เมื่อเจ้าแห่งภูผาเบี่ยงช้างใหญ่เบียดเข้าหาสีข้างช้างเล็กทันที ทั้งคนทั้งช้างและของ้าวลู่เข้าหา ไม่ต้องการให้เจ้าทิพอาศัยความไวลงง้าวอีก

ลำตัวช้างใหญ่เบียดกระแทกจนช้างเล็กโคลงไหล ชายหนุ่มหวั่นใจช้างของตนจะถูกชนจนล้ม รีบเร่งช้างหนี
ช้างสองตัวหันหัวคนละทิศ ช้างเจ้าทิพวิ่งตรงออกไป แต่ช้างใหญ่เร่งหมุนวนแล้ววิ่งติดตามทันที..

ช้างใหญ่วิ่งไล่ แผดเสียงกัมปนาทจนน่าหวาดหวั่น ของ้าวเขมราฐก็เงื้อง้างรอจ้วงฟัน ผู้คนทั้งสนามต่างตะลึงงันขนลุกเกรียว...

“ทำไมจึงไม่ยอมใส่เสื้อเกราะกันเล่า”
พระสุรเสียงของพระผู้เป็นใหญ่ทั้งสิบสองเมืองรับสั่ง
ไม่มีผู้ใดจะกล้ากราบทูล หรือบางทีอาจตะลึงงันกับภาพที่เห็น

ช้างเล็กแม้วิ่งเร็วแต่มิอาจวกหันกลับมาประจัน มิฉะนั้นจังหวะหันรีหันขวางอาจถูกช้างใหญ่ชนจนล้ม อีกทั้งเจ้าทิพจะอยู่ในตำแหน่งหันข้าง เป็นตำแหน่งตายให้เขมราฐจ้วงฟัน

ช้างที่วิ่งหนีช่างหน้าขายหน้า.. และอาจจะถูกตัดสินแพ้พ่าย

เจ้าทิพเอามือลูบตระพองช้างของตนไปมา ใช้วิชาสัตวญาณ.. พลันช้างหมุนคว้างหันข้าง เจ้าทิพก็ยกขาขวาที่คร่อมคอช้างขึ้น ไถลร่างไปเบื้องซ้ายของตัวช้าง ประจันหน้ากับช้างใหญ่ที่พุ่งเข้าหา

พริบตานั้นงาช้างใหญ่พุ่งแทงเข้ามา ก่อนที่จะเสียบท้องช้างเล็ก ร่างของชายหนุ่มก็ร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว สองเท้าเหยียบไปบนงาช้าง มือขวากำด้ามง้าว มือซ้ายเอื้อมคว้างวงช้างที่ยกชูชันไว้.. วิชาสัตวญาณสื่อสารใช้ออกไปในเสี้ยวแห่งจิตทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก..
ง้าวของเขมราฐมิอาจฟาดฟันลงมาในตำแหน่งที่งวงช้างของตนชูขึ้นบดบังร่างชายหนุ่มได้

ลมหายใจรอบสนามพลันขาดหาย..
เห็นเพียงภาพชายหนุ่มเลื่อนไถลลงมาเหยียบงาช้างใหญ่ จนหัวช้างส่ายออกไปเบื้องขวา งาช้างเพียงครูดไถเป็นรอยถลอกกับสีข้างช้างเล็ก มิได้เสียบแทงอย่างที่เกรงกัน แล้วช้างใหญ่ก็สะบัดงาขึ้นไปเบื้องซ้ายจนชายหนุ่มกระเด็นลอยกลับไปตกอยู่บนหลังช้างของตน ก่อนจะเร่งปีนป่ายขึ้นคร่อมคอช้าง

ช้างใหญ่สะบัดร่างชายหนุ่มออกพ้นแล้วก็หันเหร่างห่างออกไปเช่นกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงพริบตา แม้แต่เขมราฐเองก็ตะลึงเสียจังหวะมิอาจจะจู่โจมสิ่งใดออกได้

ทุกคนส่งเสียงโห่ลั่น คิดกันว่าเป็นความบังเอิญที่ช่างโชคดี ยังไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย และยังไม่มีผลพ่ายแพ้

“เจ้าทิพจะโชคดีได้ตลอดเชียวหรือ”
“หม่อมฉันเกรงว่าจะไม่มีครั้งที่สอง พระองค์” ราชาพัธยาแห่งเมืองพัทลุง กราบทูลพระเจ้าเมืองนครฯ
“ใครเก่งกว่า สุดท้ายผู้นั้นก็จะเป็นฝ่ายชนะไป พระองค์” ขุนแปดสรรเจ้าเมืองตรัง รับสั่งบ้าง

องค์หญิงวิสาณีทรงส่ายพระพักตร์ด้วยอึดอัดพระทัย น้ำพระเนตรแทบจะหลั่งไหล มิทรงปรารถนาจะทอดพระเนตรฉากการสู้รบอีกต่อไป.. ผิดกับองค์ชายอัศวเมฆที่ประทับอยู่ด้านข้าง ทั้งทรงยิ้มทรงหัวเราะพอพระทัย บางครั้งถึงกับลืมพระองค์ทรงอุทานซ้ำเติมยามเจ้าทิพพลาดพลั้ง

ช้างศึกกลางลานประลองทั้งสองเชือกบัดนี้หันกลับมายืนทิ้งระยะห่าง หันหน้าประจันกัน.. ต่างฝ่ายต่างชูงวงแผดเสียงร้องก้องปฐพี

สองขุนพลเขม่นมองกัน ถือง้าวมั่นในมือ พลันที่เขมราฐไสช้างออกจากที่ เจ้าทิพก็ลูบตระพองช้างแล้วขับเคลื่อนเข้าหาทันที สองช้างต่างยกเหยียดงวงไปเบื้องหน้า พอเข้าปะทะก็ม้วนเก็บงวงก้มหน้า สะบัดงาปะทะกันเสียงดังสนั่น.. ช้างเจ้าทิพสู้ไปถอยไปทิ้งระยะห่างระหว่างปลายงา คนบนหลังช้างต่างแลกง้าวจ้วงฟันกันพัลวัน คนหนึ่งทรงพลังอีกทั้งได้เปรียบจังหวะรุกไล่ของช้าง อีกคนอาศัยความเร็วของอาวุธและการหลบหลีก มองไปยังเห็นเป็นฝ่ายเจ้าทิพที่คอยตั้งรับอยู่เนืองๆ

พอถอยไปจังหวะหนึ่ง ช้างใหญ่พลันเหยียดงวงออกพัวพันกับงวงช้างเล็ก ด้วยหวังดึงรั้งไว้มิให้ถอยร่น.. ช้างเล็กพลันถูกนายของตนสื่อสารให้รัดประสานงวงแน่นไว้เช่นกัน

จังหวะนั้นง้าวรุกของเขมราฐยิ่งเพิ่มอานุภาพด้วยระยะเป้าหมายเข้าใกล้ขึ้น มิต้องเหยียดจ้วงฟันจนสุดปลายแขน
ง้าวเจ้าแห่งภูผาฟาดสะบัดมาทางด้านซ้ายของชายหนุ่ม เจ้าทิพยันรับแล้วตวัดคมง้าวสับใส่ใบหน้า เขมราฐรีบม้วนง้าวตีตลบคมง้าวของเจ้าทิพไปจนสุดอีกฝั่ง กระทั่งปลายง้าวทั้งสองชี้เฉียงลงไปอยู่ด้านข้าง ง้าวเจ้าทิพถูกทับอยู่ล่าง..

พลันร่างเจ้าทิพถลันโผขึ้นจากคอช้าง เหยียบไต่จากตระพองสู่งวงช้างของตน.. และสู่งวงช้างของเขมราฐ
เป็นจังหวะเดียวกับการกระชากง้าวม้วนวนขึ้นฟาดใส่ศีรษะของเขมราฐอย่างเร็ว.. บัดนี้ความเร็วของปราณเปลี่ยนมิติมิได้ถูกจำกัดด้วยการนั่งคร่อมบนหลังช้างอีกแล้ว ทั้งคนทั้งง้าวรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

เขมราฐนึกไม่ถึงเจ้าทิพจะกล้ากระทำการเสี่ยงเยี่ยงนี้ รีบดึงง้าวยกขึ้นรับทั้งสองแขน เท้านั้นก็เร่งกระแทกคอช้างใหญ่ให้คลายงวงและฟาดสะบัดออก..

เขมราฐก็คือเขมราฐ.. นักสู้อันดับหนึ่งของดินแดนสิบสองนักษัตรตอนบน
ทั้งแก้ไขสถานการณ์คับขันและสามารถทำลายล้างเจ้าทิพที่กล้าจู่โจมอุกอาจไปพร้อมกัน

จังหวะนั้นเจ้าทิพเหยียบย่างอยู่บนงวงช้างใหญ่ ครั้นงวงที่เกี่ยวพันรัดสลาย กลายเป็นงวงช้างใหญ่ที่สะบัดออก.. นั่นคือจุดจบของเจ้าทิพ
ผู้ที่ตกสู่พื้นดินเบื้องล่าง.. คือผู้พ่ายแพ้

ผู้คนรอบสนามบ้างเริ่มกรีดร้องแล้ว...

หากแต่เจ้าทิพพลันบิด “ขอ” ตรงคอง้าวให้เกี่ยวกับด้ามง้าวที่ยกขึ้นรับตั้งฉากของเขมราฐ
ร่างชายหนุ่มถูกโยนลอยไปตามแรงเหวี่ยงของงวงช้างใหญ่ แต่มิได้ปลิวหลุดร่วงไป กลับถูกเหวี่ยงกระเด็นเป็นวงจากด้านหน้าช้างไปอยู่ด้านหลัง
“ขอ” ที่ไหลลู่ตามคันง้าวก็เกี่ยวเอามือซ้ายของเขมราฐจนเจ้าตัวสะท้านขึ้น..

ของ้าวของเจ้าทิพหลุดจากมือและคันง้าวของเขมราฐไปแล้ว พร้อมกับเจ้าของของ้าวถูกเหวี่ยงขึ้นไปยืนหยัดอยู่บนหลังช้างใหญ่..

ลางมรณะแล่นจู่โจมเข้าสู่แผ่นหลังเจ้าแห่งภูผาที่เปิดกว้าง ขาข้างหนึ่งที่คร่อมคอช้างพลันเลื่อนยกขึ้น.. เร่งตวัดหมุนร่างกลับไปด้านหลังพร้อมสะบัดฟาดง้าว

ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว

สิ่งที่เห็นคือร่างเจ้าทิพยืนค้ำ.. พร้อมง้าวที่เสียบพุ่งแทงลงมา
จากเป้าหมายแผงหลัง บัดนี้เปลี่ยนเป็นหัวใจของเขมราฐที่พลิกหมุนกลับตัวมา

ไม่มีแผงเกราะหนังป้องกัน
ทุกอย่างจบสิ้น.. ทั้งชีวิตและความหวัง

ในเสี้ยวพริบตาก่อนที่ปลายคมง้าวจะได้ชำแรกสู่ทรวงอก.. พลันถูกยกกระดกขึ้น
คมง้าวพุ่งเฉียดผ่านเหนือบ่าด้านซ้าย แต่ “ขอ” ของง้าวกระแทกบ่าด้านนั้นรุนแรง

ง้าวของเขมราฐยังคงกวาดสะบัดตามแรง ฟาดใส่เจ้าทิพจนร่วงตกช้าง
แล้วร่างของเขมราฐก็ร่วงหล่นตามไป

“การประลองยุติ”
เสียงขุนพลภัทธิยะประกาศลั่น ตัวท่านเร่งควบม้าไปยังจุดตกช้างของคู่ชิงชัยทั้งสอง
เสียงผู้คนโห่ร้องดังสับสน

“ใครคือผู้ชนะ” พระเจ้านครศรีธรรมราชรับสั่งขึ้น

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่