เมื่อวานเห็นข่าวบางคนพยายามปลุกกระแสโจมตีโครงการอีอีซี ซึ่งเป็นโครงการแห่งความหวังของรัฐบาลที่จะให้ช่วยยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าเหตุผลที่ยกมากระแทกนั้นอ่อนทุกข้อ บางข้อเหมือนไม่ทำการบ้านมา ปิดหูปิดตา ไม่ฟังเหตุฟังผล แต่ต้องออกโรงมาคัดค้านก็แค่พอให้มีผลงาน หรือแค่รักษาตัวตนหรือตำแหน่งทางสังคมเอาไว้

อย่างประเด็นการเปิดให้วิศวกรต่างชาติเข้ามาทำงานในโครงการอีอีซี ที่อ้างว่าอาชีพวิศวกรเป็นอาชีพสงวน ตรงนี้ผมรู้สึกเห็นต่างตรงที่ วิศวกรเป็นวิชาชีพที่ต้องสัมพันธ์กับเทคโนโลยี และต้องอิงตามมาตรฐานสากลหรือมาตรฐานโลก ไม่ใช่แค่มาตรฐานในประเทศเท่านั้น ซึ่งบางสาขาวิชา ความเชี่ยวชาญของวิศวกรไทยยังอยู่ระหว่างการพัฒนา หรือถ้าพูดตรง ๆ ก็คือยังขาดความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อยู่ อย่างเช่นในโครงการรถไฟความเร็วสูง ตรงนี้จะมัวมารอความพร้อมของวิศวกรไทยอยู่ไม่ได้ เมื่อประเทศต้องเดินหน้า เราก็ต้องแสวงหาความเชี่ยวชาญหรือคนเก่งจากข้างนอกที่เขามีความพร้อมมาช่วย โดยคนของเราก็เรียนรู้จากเขา ถ้าเป็นการทำงานในบริษัทก็เรียกกันว่า on the job training ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ know how องค์ความรู้จากต่างประเทศ เข้ามาพัฒนาทั้งในเชิงกายภาพและบุคลากรของเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรจะเปิดใจรับมากกว่าที่จะไปตั้งแง่กีดกัน
ผมนึกถึงคำพูดของใครบางคนที่อ่านข่าวเจอเมื่อวันก่อนว่า เมืองไทยนี่แปลกตรงที่ คนไม่ดีเข้ามาง่ายเหลือเกิน ส่วนคนดี ๆ หรือคนเก่ง ๆ ที่จะเอาเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ อย่างนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แพทย์ วิศวกร ฯลฯ กลับเข้ามายากสุด ๆ เช่น ต้องต่อวีซ่าขออยู่ในประเทศไทยอย่างลำบาก ต้องติดเงื่อนไขนู่นนี่นั่นมากมาย

ส่วนอีกประเด็นในเรื่องการให้นักลงทุนต่างชาติเช่าที่ดินนานถึง 99 ปี ซึ่งนานเกินไป เสมือนไทยกลายเป็นอาณานิคม ในข้อนี้ก็ยังคงเป็นการคัดค้านแบบฟังเขาเล่ามา โดยไม่สนใจค้นหาเหตุผลข้อเท็จจริง ทั้ง ๆ ที่ทางคณะกรรมการอีอีซีและคนที่เกี่ยวข้องก็ออกมาชี้แจงไปแล้ว และให้ไปดูกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นไปตามกฎหมายการเช่าอสังหาริมทรัพย์ฯ เหมือนเดิม คือให้เช่าได้ 50 ปี ไม่ใช่ 99 ปี แต่หลังจากครบ 50 ปีแล้ว นั่นเป็นสิทธิของเจ้าของที่ดิน เช่น การรถไฟว่าจะพิจารณาให้ต่อสัญญาเช่าหรือไม่ ถ้าไม่สบอารมณ์ เพราะให้เช่าแล้วทำเจ๊ง ทำไม่ดี ผลประโยชน์ไม่กลับมาที่เจ้าของที่ดิน ก็ไม่ต้องต่อสัญญา หรือถ้าจะให้ต่อ ก็ไม่เกิน 49 ปี อันนี้แล้วแต่กรณีไป จะมาเหมารวมว่าให้เช่า 99 ปีทีเดียวไม่ได้
เมื่อพูดถึงประเด็นการเช่าที่ดินเพื่อพัฒนาหรือสร้างความเจริญให้เกิดขึ้น ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเป็นการเสียหายหรือเป็นการยกสมบัติของประเทศไปให้ต่างชาติตรงไหน เพราะที่ดินก็ยังคงอยู่อย่างเดิม มันไม่ใช่สิ่งที่จะเคลื่อนย้ายหรือยกไปไหนได้ เมื่อหมดสัญญาเช่า ที่ดินก็ยังอยู่ที่เดิม ตกเป็นสมบัติของเจ้าของเดิม แถมเพิ่มเติมมาด้วยสิ่งก่อสร้างบนที่ดินที่เจ้าของสามารถนำไปหากินต่อได้ หรือถ้าผู้เช่าจะยกสิ่งก่อสร้างออกไปก็เอาไปซิ่ เจ้าของที่ดินก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่มันจะยกที่ดินขึ้นเครื่องบินกลับบ้านมันไปไม่ได้อยู่แล้วนี่

โดยธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง หรือการเกิดขึ้นของสิ่งใหม่ ๆ ก็จะมีการกระทบกันเป็นธรรมดาระหว่างของเก่ากับของใหม่ หรือขั้วความคิดแบบเก่ากับความคิดแบบใหม่ แต่หากการแสดงความคิดเห็นอย่างปราศจากอคติ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้ ความปรารถนาดี การเปิดใจรับ ก็ไม่เป็นปัญหา แต่ในบางมิติความเห็นกลายเป็นความขัดแย้ง หรือเป็นความเชื่อที่ฝังแน่น หรือยึดติดกับผลประโยชน์ของพวกพ้อง ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เราจะมาขัดแข้งขัดขากันเอง ทำให้เสียผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของชาติไป เพราะโอกาสทองอย่างโครงการอีอีซีไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ หรือบ่อย ๆ การเรียกนักลงทุนเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศก็ไม่ได้ทำกันง่าย ๆ
ผมชอบใจความคิดของท่านทูตวิบูลย์ คูสกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง ที่ว่า “ยามที่ลมพัดมานั้น มี 2 แนวทางที่เราทำได้ คือ สร้างกำแพงกั้น หรือสร้างกังหันกางใบรับลม”
วันนี้คนมากมายขึ้นไปเหยียบกำแพงเมืองจีน เยอรมนีก็ทำลายกำแพงเบอร์ลินที่กั้นสองเมืองไปแล้ว แต่เราบางคนยังนิยมการสร้างกำแพงในใจ ขึ้นมาขวางกั้นความเจริญและอิสระที่จะเห็นโลกกว้างอีกหรือ
เมื่ออีอีซีมา เราจะสร้างกำแพงกั้น หรือจะตั้งกังหันกางใบรับลม
อย่างประเด็นการเปิดให้วิศวกรต่างชาติเข้ามาทำงานในโครงการอีอีซี ที่อ้างว่าอาชีพวิศวกรเป็นอาชีพสงวน ตรงนี้ผมรู้สึกเห็นต่างตรงที่ วิศวกรเป็นวิชาชีพที่ต้องสัมพันธ์กับเทคโนโลยี และต้องอิงตามมาตรฐานสากลหรือมาตรฐานโลก ไม่ใช่แค่มาตรฐานในประเทศเท่านั้น ซึ่งบางสาขาวิชา ความเชี่ยวชาญของวิศวกรไทยยังอยู่ระหว่างการพัฒนา หรือถ้าพูดตรง ๆ ก็คือยังขาดความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อยู่ อย่างเช่นในโครงการรถไฟความเร็วสูง ตรงนี้จะมัวมารอความพร้อมของวิศวกรไทยอยู่ไม่ได้ เมื่อประเทศต้องเดินหน้า เราก็ต้องแสวงหาความเชี่ยวชาญหรือคนเก่งจากข้างนอกที่เขามีความพร้อมมาช่วย โดยคนของเราก็เรียนรู้จากเขา ถ้าเป็นการทำงานในบริษัทก็เรียกกันว่า on the job training ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ know how องค์ความรู้จากต่างประเทศ เข้ามาพัฒนาทั้งในเชิงกายภาพและบุคลากรของเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรจะเปิดใจรับมากกว่าที่จะไปตั้งแง่กีดกัน
ผมนึกถึงคำพูดของใครบางคนที่อ่านข่าวเจอเมื่อวันก่อนว่า เมืองไทยนี่แปลกตรงที่ คนไม่ดีเข้ามาง่ายเหลือเกิน ส่วนคนดี ๆ หรือคนเก่ง ๆ ที่จะเอาเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ อย่างนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แพทย์ วิศวกร ฯลฯ กลับเข้ามายากสุด ๆ เช่น ต้องต่อวีซ่าขออยู่ในประเทศไทยอย่างลำบาก ต้องติดเงื่อนไขนู่นนี่นั่นมากมาย
ส่วนอีกประเด็นในเรื่องการให้นักลงทุนต่างชาติเช่าที่ดินนานถึง 99 ปี ซึ่งนานเกินไป เสมือนไทยกลายเป็นอาณานิคม ในข้อนี้ก็ยังคงเป็นการคัดค้านแบบฟังเขาเล่ามา โดยไม่สนใจค้นหาเหตุผลข้อเท็จจริง ทั้ง ๆ ที่ทางคณะกรรมการอีอีซีและคนที่เกี่ยวข้องก็ออกมาชี้แจงไปแล้ว และให้ไปดูกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นไปตามกฎหมายการเช่าอสังหาริมทรัพย์ฯ เหมือนเดิม คือให้เช่าได้ 50 ปี ไม่ใช่ 99 ปี แต่หลังจากครบ 50 ปีแล้ว นั่นเป็นสิทธิของเจ้าของที่ดิน เช่น การรถไฟว่าจะพิจารณาให้ต่อสัญญาเช่าหรือไม่ ถ้าไม่สบอารมณ์ เพราะให้เช่าแล้วทำเจ๊ง ทำไม่ดี ผลประโยชน์ไม่กลับมาที่เจ้าของที่ดิน ก็ไม่ต้องต่อสัญญา หรือถ้าจะให้ต่อ ก็ไม่เกิน 49 ปี อันนี้แล้วแต่กรณีไป จะมาเหมารวมว่าให้เช่า 99 ปีทีเดียวไม่ได้
เมื่อพูดถึงประเด็นการเช่าที่ดินเพื่อพัฒนาหรือสร้างความเจริญให้เกิดขึ้น ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเป็นการเสียหายหรือเป็นการยกสมบัติของประเทศไปให้ต่างชาติตรงไหน เพราะที่ดินก็ยังคงอยู่อย่างเดิม มันไม่ใช่สิ่งที่จะเคลื่อนย้ายหรือยกไปไหนได้ เมื่อหมดสัญญาเช่า ที่ดินก็ยังอยู่ที่เดิม ตกเป็นสมบัติของเจ้าของเดิม แถมเพิ่มเติมมาด้วยสิ่งก่อสร้างบนที่ดินที่เจ้าของสามารถนำไปหากินต่อได้ หรือถ้าผู้เช่าจะยกสิ่งก่อสร้างออกไปก็เอาไปซิ่ เจ้าของที่ดินก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่มันจะยกที่ดินขึ้นเครื่องบินกลับบ้านมันไปไม่ได้อยู่แล้วนี่
โดยธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง หรือการเกิดขึ้นของสิ่งใหม่ ๆ ก็จะมีการกระทบกันเป็นธรรมดาระหว่างของเก่ากับของใหม่ หรือขั้วความคิดแบบเก่ากับความคิดแบบใหม่ แต่หากการแสดงความคิดเห็นอย่างปราศจากอคติ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้ ความปรารถนาดี การเปิดใจรับ ก็ไม่เป็นปัญหา แต่ในบางมิติความเห็นกลายเป็นความขัดแย้ง หรือเป็นความเชื่อที่ฝังแน่น หรือยึดติดกับผลประโยชน์ของพวกพ้อง ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เราจะมาขัดแข้งขัดขากันเอง ทำให้เสียผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของชาติไป เพราะโอกาสทองอย่างโครงการอีอีซีไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ หรือบ่อย ๆ การเรียกนักลงทุนเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศก็ไม่ได้ทำกันง่าย ๆ
ผมชอบใจความคิดของท่านทูตวิบูลย์ คูสกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง ที่ว่า “ยามที่ลมพัดมานั้น มี 2 แนวทางที่เราทำได้ คือ สร้างกำแพงกั้น หรือสร้างกังหันกางใบรับลม”
วันนี้คนมากมายขึ้นไปเหยียบกำแพงเมืองจีน เยอรมนีก็ทำลายกำแพงเบอร์ลินที่กั้นสองเมืองไปแล้ว แต่เราบางคนยังนิยมการสร้างกำแพงในใจ ขึ้นมาขวางกั้นความเจริญและอิสระที่จะเห็นโลกกว้างอีกหรือ