สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
มีการวิเคราะห์ว่า ขอม คือ คำที่กลุ่มชนที่ใช้ภาษาตระกูลไท-ไต หรือ มอญ ใช้เรียกกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงลงไปถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ละโว้ไปจนถึงทะเลสาบเขมรอย่างกว้างๆ ความหมายเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
"ขอม" สันนิษฐานว่ามาจากภาษาเขมรโบราณคือ "กโรม (karom)" ซึ่งภาษาเขมรปัจจุบันใช้คำว่า "โกฺรม (krom)" เดิมมี 2 ความหมายซึ่งไม่ได้หมายถึงชนชาติอย่างในสมัยหลัง คือ
1. หมายถึง ลงไปต่ำ, ใต้, ภายใต้, ต่ำกว่า, ลง, ผู้ต่ำกว่า พบในจารึกเขมรสมัยพระหลายหลัก เช่น จารึก K. 561 ใช้คำว่า "กุ กโรํ" แปลว่า "ทางผู้หญิงกโรม" (อาจหมายถึงผู้อยู่ทางใต้) จารึก K. 927 ใช้ "โละ กโรํ ตนลฺ" แปลว่า "ลุใต้ถนน"
2. หมายถึง ประเทศ, ดินแดน, เขต, ดิน, แผ่นดิน พบในจารึกเขมรโบราณหลายหลัก เช่น จารึก K.426 ใช้คำว่า "ทํริง กโรมฺ จํกา" แปลว่า "สวน เขต ไร่" จารึก K.904 ใช้คำว่า "โอย กโรํ ต มรตาญ" แปลว่า "ให้ที่ดินแก่มรตาญ" (ตำแหน่งขุนนางเขมรสมัยพระนคร) จารึก K.720 ใช้คำว่า “ทํนป...โตย กโรํ โผง” แปลวา “ทำนบ...โดยที่ดินผอง”
เอกสารประเภทตำนานกลุ่มชนในภาษาตระกูลไท-ไต เช่น ตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ เรียกชาวเมืองอุโมงคเสลาว่า กรอม หรือ กรอมดำ ส่วนตำนานสิงหนติกุมารเรียกกลุ่มชนเดียวกันว่า ขอม หรือ ขอมดำ ในเอกสารรุ่นหลังก็เขียนเพี้ยนจาก กรอม เป็น กล๋อม คนไตลื้อสิบสองปันนาเรียกว่า กะหลอม นอกจากนี้ยังมีเรียกเพี้ยนกันไปในภาษาต่างๆ เช่น ไทใหญ่ มูเซอ ยูนนาน แต่ในทางนิรุกติศาสตร์เป็นคำเดียวกัน (ไตลื้อรัวลิ้นเป็นตัว ร ไม่ได้ จึงออกเสียงเป็น ล)
กรอม กลายเป็น ขอม เนื่องจากชาวไท-ไตหลายกลุ่มออกเสียงควบกล้ำ ร ไม่ได้ จึงออกเสียงเป็น ฮ จึงทำให้เสียงควบ กร (kr) กลายเป็น ข (kh)
งานเขียนของบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ ระบุว่าชาวไตลื้อในสิบสองปันนาอธิบายว่า กะหลอม หมายถึง "ชาวใต้ มาจากใต้ ตัดผมสั้น นุ่งผ้าโจงกระเบนทั้งหญิงและชาย เขาเรียกว่า กะหลอม แปลว่า ขอม" ชาวไตลื้อในเมืองยองเรียกเรียกชาวไทยสยามด้วยคำเดียวกัน
จากตำนานไท-ไตเหล่านี้พบว่า กรอม หรือ ขอม คือกลุ่มชนที่เคยครองครองดินแดนตั้งแต่ปากแม่น้ำโขงขึ้นไปถึงมณฑลยูนนาน จากน้ำตูในด้านตะวันตกของรัฐชาน ผ่านลุ่มแม่น้ำกกไปจนถึงแม่น้ำดำในเวียดนามเหนือ ซึ่งมีร่องรอยว่าได้อพยพจากใต้ขึ้นเหนือ เป็นกลุ่มชนที่เคยครองดินแดนในบริเวณนี้ก่อนชาวไตจะเข้ามา จิตร ภูมิศักดิ์ วิเคราะห์ว่าหมายถึงชาวฝูหนาน ซึ่งผิวดำ ผมหยิกแบบชนชาติในตระกูลโพลีนีเซียจากทะเลใต้ และเป็นกลุ่มเดียวกับ "นาค" ที่ลาวใต้ ซึ่งเป็นประชากรของเจินละ เป็นชนชาติตระกูลมอญ-เขมร
กรอม ในภาษามอญขียนว่า โกฺรม หรือ โกฺรํ ปรากฏในพงศาวดารกรุงสุธรรมวดี (สะเทิม) ว่าใน พ.ศ. 1599 รัชกาลพระเจ้าอุทินนะ ชาวกรอมยกทัพไปตีกรุงสุธรรมวดี
พงศาวดารพม่าฉบับหอแก้วระบุว่าในรัชกาลพระเจ้าอโนรธาก็ระบุไว้ตรงกันว่ามีพวก คฺยวน ยกทัพมาตีเมืองพะโค (มอญ) พม่ายกทัพไปช่วยและได้รับชัยชนะ ตรงกับจารึกพม่าที่สักกาลัมปะเจดีย์ตอนหนึ่งระบุว่า พระเจ้าอโนรธาทำสงครามกับ "คฺยวม" ใน ค.ศ. 1599
พงศาวดารพม่ายังอธิบายอาณาเขตในสมัยพระเจ้าอโนรธาไว้ว่า ทางตะวันออกเฉียงใต้จรดแดนของชาว คฺยวน หรือที่เรียกอีกอย่างว่า อรอซะ อีกแห่งหนึ่งจดอาณาเขตใน พ.ศ. 1632 เรียกดินแดนของชาว คฺยวน ว่า อโยชะ หมายถึง อโยชชะ อันเป็นภาษาบาลีของ อโยธยา
พงศาวดารพม่ากล่าวถึงการฉลองพระมหาธาตุชเวซิคนเมืองพุกาม โดยระบุว่ามีกษัตริย์ คฺยวน แห่งอโยธยา ไปเข้าร่วม
จิตรวิเคราะห์ว่า กรอม/คฺยวม/คฺยวน ในยุคนั้นหมายถึงคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตละโว้-อโยธยา ซึ่งพงศาวดารล้านช้างเรียกว่า ละโว้โยทิยา และตำนานไตทางเหนือเรียกว่า ลวะรัฐ
เพ็ญสุภา สุขคตะ และ อัครินทร์ พงษ์พันธ์เดชา เสนอว่า "อโยชฌา/อโยชฌปุระ" ในตำนานพระแก้วมรกต และตำนานพระสิกขีปฏิมาศิลาดำ ที่มีบันทึกว่าอยู่ทางเหนือ "ลวะปุระ" (ละโว้) อาจเป็นชื่อดั้งเดิมของเมืองโบราณศรีเทพที่น่าเชื่อว่าเป็นศูนย์กลางสำคัญของวัฒนธรรมทวารวดี
เหตุที่คำว่า กรอม ที่เคยเป็นคำในเรียกกลุ่มชนในสองฝั่งโขงตามตำนานไต กลายเป็นคำเรียกกลุ่มชนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จิตรสันนิษฐานไว้ว่าชนพื้นเมืองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาน่าจะเป็นชนกลุ่มเดียวกัน ถึงแม้ว่าภายหลังจะมีกลุ่มชนที่ใช้ภาษาไท-ไตลงมาอาศัยอยู่ผสมปนเปกับคนพื้นเมือง คนต่างถิ่นก็ยังคงเรียกดังเดิม ดังที่พบว่าในยุคหลังดินแดนแถบนี้กลายเป็นของกลุ่มชนที่เรียกตนเองว่าไทยแล้ว คนไตลื้อไทใหญ่ก็ยังคงเรียกคนในแถบนี้ว่า กะหลอม อยู่
ในภาษาลาวโบราณ พบว่า ขอม ใช้กว้างๆ ในแง่การอธิบายกลุ่มชนประเภท ข่า/เขมร ดังทางภาษาลาวปัจจุบันนิยมพ่วงว่า ข่า/ขอม
หลักฐานของล้านนาในพุทธศตวรรษที่ 21 ไม่พบการใช้งานคำว่า ขอม ตรงๆ แต่มีการเรียกดินแดนละโว้ว่า กัมโพช/กัมโพชา ตั้งแต่การกล่าวถึงเหตุการณ์ในพุทธศตวรรษที่ 16 ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าแปลมาจากภาษาพื้นเมืองคือ ขอม เนื่องจากในเอกสารภาษาบาลีของล้านนาโบราณใช้คำว่า กัมโพช = ขอม บ้างก็แปลเป็น เขม รวมถึงเรียกการนับปีแบบสิบสองนักษัตรของคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาว่า ขอม เช่นเดียวกับที่พบในจารึกสมัยสุโขทัย
จารึกของสุโขทัยกล่าวถึง ขอม อยู่หลายครั้ง ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าใช้เป็นคำเรียกคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทางใต้ อาจรวมไปถึงวัฒนธรรมทะเลสาบเขมรซึ่งมีภาษาและช้ภาษาและวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน นับถือศาสนาพุทธมหายาน พบหลักฐานการนับปีแบบสิบสองนักษัตร ขอมจึงควรจะเป็นคำของกลุ่มชนที่ใช้ภาษาไท-ไตที่ใช้เรียกขานกลุ่มชนทางใต้ที่ใช้ภาษาและวัฒนธรรมแบบขอมและนับถือศาสนาพุทธมหายานอย่างกว้างๆ
เอกสารของชาวไทยสยาม ตั้งแต่สมัยอยุทธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เปลี่ยนมาเจาะจงความหมายของคำว่า "ขอม" หมายถึง "เขมร" เพียงความหมายเดียวเท่านั้น
ในทะเลสาบเขมรมีหลักฐานการเรียกกลุ่มประชากรว่า "เขมร" อยู่ในสมัยโบราณ ไม่เคยพบหลักฐานเรียกตนเองว่า "ขอม" เช่นเดียวกับที่ไม่พบหลักฐานว่ากลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า ขอม กรอม ฯลฯ จะเรียกตนเองด้วยชื่อดังกล่าว เพราะเป็นชื่อที่คนต่างถิ่นเป็นผู้เรียก
คำว่า เขมร ปรากฏครั้งแรกในศิลาจารึกสมัยก่อนพระนคร อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 คือศิลาจารึก Ka.64 พบที่บ้านเมลบ (เมลุบ) ตำบลโรกา อำเภอเปียเรียง จังหวัดไพรแวง ทางทิศตะวันออกของกรุงพนมเปญ ได้กล่าวถึง "กฺญํ อฺนกฺ เกฺมร"
คำว่า "เกฺมร (kmer)" ในภาษาเขมรโบราณสมัยก่อนพระนคร ตรงกับคำว่า "เขฺมร (khmer)" ในภาษาเขมรสมัยพระนคร เมื่อรวมความหมายของคำว่า "กฺญํ อฺนกฺ เกฺมร" จึงน้าจะแปลว่า "ข้ารับใช้(ที่เป็น)ชาวเขมร" แสดงว่าชาวเขมรเรียกตนเองว่า "เกฺมร" มาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 12 แล้ว
ต่อมามีวิวัฒนาการทางเสียง ทำให้เสียง ก (k) ในภาษาเขมรก่อนพระนคร กลายเป็น ข (kh) ในภาษาเขมรสมัยพระนคร
ในสมัยพระนครพบหลักฐานการเรียกกลุ่มชนชาว "เขฺมร" อย่างชัดเจน ปรากฏในศิลาจารึกปราสาทบันทายฉมาร์ (K.227) สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พุทธศตวรรษที่ 18 ที่ปราสาทบันทายฉมาร์ ตำบลถมอป๊วก เมืองเสียมราบ มีข้อความตอนหนึ่งว่า
"...บันทูลให้มีราชพิธี ณ เสด็จนำชาวเขมร (อฺนกเขฺมร) ทั้ง ๔ ผู้ซึ่งได้ทำการรบเพื่อรักษาความมั่นคง มีจำนวน ๗๔ ตำบลไปยังกัมพุชเทศ แล้วประสาทแก่นักสัญชักทั้งสองโอยนาม "อำเตง และสถาปนารูป"
จึงสันนิษฐานได้ว่าชาวกัมพูชาโบราณในสมัยพระนครเรียกประชากรของตนว่า "เขฺมร (khmer)" หรือ "อฺนก-เขฺมร" ซึ่งแปลว่า ชาวเขมร
ต่อมาสมัยหลังพระนครมีการเปลี่ยนแปลงทางภาษาทั้งระบบเสียงและพยัญชนะหรือสระ คำว่า "เขฺมร" ในภาษาเขมรโบราณจึงเปลี่ยนสระ "เ (e)" เป็นสระ "แ (ae)" และไม่ออกเสียงพยัญชนะท้าย "ร (r)" ภาษาเขมรหลังพระนครจึงออกเสียงว่า "แคฺมร์ (khmaer)" และเขียนว่า "แขฺมร" ส่วนคำว่า "เขมร" ที่ไทยเรียกเป็นคำที่รับมาจากสมัยพระนคร
เหตุที่คำว่า "ขอม" ในภาษาไทยสยามใช้กำจัดเรียกเฉพาะ "เขมร" เท่านั้น สันนิษฐานว่าเป็นผลจากการค้าทางทะเลกับจีนที่มากขึ้นทำให้มีการย้ายถิ่นฐานของกลุ่มคนที่ใช้ภาษาตระกูลไท-ไตลงมาตามลำน้ำเจ้าพระยา ภาษาและวัฒนธรรมไท-ไตเข้าได้ไปมีอิทธิพลในบริเวณรัฐฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นสุพรรณภูมิ ราชบุรี ลงใต้ไปถึงเพชรบุรี หรือนครศรีธรรมราช จากนั้นจึงได้เข้าไปมีอิทธิพลในรัฐทางฝั่งตะวันออกคือละโว้-อโยธยา ผสมผสานกับวัฒนธรรมมอญ-ขอมเดิม จนก่อเนิดกรุงศรีอยุทธยาที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลาง
เมื่อประชากรในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเปลี่ยนมาใช้ภาษาตระกูลไท-ไต จึงเปลี่ยนมาเรียกตนเองว่า ไท/ไทย แทน คำว่า "ขอม" จึงถูกเปลี่ยนมาเจาะจงเรียกเฉพาะชาวเขมร ดังปรากฏว่าหลักฐานไทยสมัยอยุทธยาและรัตนโกสินทร์ใช้คำว่า ขอม เจาะจงถึงเขมรโดยตลอด
ในความเห็นของผม อาจจะสรุปว่า "ขอม" เป็นคำที่คนต่างถิ่นเรียกกลุ่มชนอย่างรวมๆ โดยความหมายของ "ขอม" สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัย โดย "เขมร" ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของ "ขอม"
อ.ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม เคยให้ความเห็นไว้ว่า "ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับจิตรในลักษณะที่คำว่า “ขอม” นั้นมีความหมายทั้ง “กว้าง” และ “แคบ”
ที่ว่า “แคบ” นั้นหมายถึงการเน้นความสำคัญที่พวกเขมรเมืองพระนคร ทั้งนี้เพราะในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยามีข้อความที่กล่าวว่า “ขอมแปรพักตร์” เป็นสิ่งที่ยืนยันอยู่แล้ว
ส่วนในความหมายที่ “กว้าง” นั้น คำว่าขอมไม่จำกัดอยู่เฉพาะที่ประเทศกัมพูชา หากฟุ้งกระจายไปทั่ว รวมทั้งบ้านเมืองในเขตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย แต่ว่าการแพร่กระจายของชาวขอมนี้ไม่ได้เน้นในเรื่องการเป็นชนชาติ แต่หากเน้นในรูปของวัฒนธรรม และการที่กลุ่มชนในดินแดนที่เกี่ยวข้องกันมีสิ่งร่วมกันในทางวัฒนธรรมเป็นสำคัญ"
อีกตอนหนึ่งได้สันนิษฐานว่า "พวกขอมนั้นถ้ามองอย่างแคบๆ ก็หมายถึงชาวเขมรสมัยเมืองพระนครที่นับถือศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนาคติมหายาน แต่ในความหมายที่กว้างออกไปนั้นหมายรวมไปถึงกลุ่มชนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนที่นับถือพระพุทธศาสนาคติมหายานแบบเมืองพระนครที่พัฒนาขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เป็นต้นมา
ผู้ที่เรียกกลุ่มชนเหล่านี้ว่าขอมก็คือคนในรุ่นหลังที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแบบลังกาวงศ์นั่นเอง"
เราอาจต้องพิจารณาด้วยว่า ในบริบทสมัยโบราณยังไม่ได้แบ่งกลุ่มชาติพันธ์ุตามหลักพันธุศาสตร์ (Ethno-racial) หรือแยกเป็นสัญชาติตามแนวคิดรัฐชาติสมัยใหม่ (Ethno-national) แต่พิจารณาจากอัตลักษณ์ที่มีรวมกัน เช่น ภาษา วัฒนธรรม จารีตประเพณี ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คงอยู่ถาวรตามที่มีกฎหมายกำหนดเชื้อชาติและสัญชาติในปัจจุบัน แต่มีความเป็นพลวัต (dynamic) ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตามยุคสมัย ชาติพันธ์ุหนึ่งสามารถเคลื่อนย้ายไปอยู่ในผสมผสานกับชาติพันธุ์อื่น และสามารถถูกกลืนไปได้จนกลายเป็นกลุ่มชนหนึ่ง และนิยามขอบเขตการเรียกชนชาติอาจแตกต่างกันไปตามผู้เรียกแต่ละกลุ่มด้วย
ตัวอย่างเช่น กรุงศรีอยุทธยาไปทำสงครามตีเมืองพระนคร กวาดต้อนชาวขอม-เขมรเข้ามาในดินแดนของตนจำนวนมาก เมื่อคนกลุ่มนั้นตั้งรกรากอยู่นานอาจสามารถผสมกลมกลื่นกับชนพื้นเมืองจนความเป็นขอมนั้นสูญไป
การถามหาความหมายของ "ขอม" ในแง่ของเชื้อชาติทางพันธุกรรม คงจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะเมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ความหมายของ "ขอม" ก็เปลี่ยน ขอมในอดีตกับขอมยุคหลังไม่จำเป็นต้องมีเชื้อชาติเดียวกันหรือเป็นชนกลุ่มเดียวกัน เช่นเดียวกับคนไทย ลาว มอญ เขมร ฯลฯ ในปัจจุบันอาจไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกับคนในอดีตที่มีชื่อชนชาติเดียวกัน เพราะประชากรมีการผสมผสานและเคลื่อนย้ายไปมาตลอดครับ
ถ้าเรามองด้วยสายตาคนไตโบราณ ขอม (กรอม/กล๋อม) คือคนในลุ่มแม่น้ำโขงไปถึงรัฐชาน
ถ้าเรามองด้วยสายตาคนยุคสุโขทัย มอญพม่า ล้านนา ขอม (โกฺรม/คฺยวม/คฺยวน) อาจหมายถึงคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ลุ่มแม่น้ำป่าสัก สุโขทัยอาจรวมกลุ่มชนบริเวณทะเลสาบเขมรด้วย
ถ้าเรามองด้วยสายตาคนกัมพูชายุคพระนคร จะไม่รู้จัก ขอม เพราะไม่พบหลักฐาน พบแต่คำว่า เขมร
ถ้าเรามองด้วยสายตาคนสมัยอยุทธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ ขอม คือ เขมร
"ขอม" สันนิษฐานว่ามาจากภาษาเขมรโบราณคือ "กโรม (karom)" ซึ่งภาษาเขมรปัจจุบันใช้คำว่า "โกฺรม (krom)" เดิมมี 2 ความหมายซึ่งไม่ได้หมายถึงชนชาติอย่างในสมัยหลัง คือ
1. หมายถึง ลงไปต่ำ, ใต้, ภายใต้, ต่ำกว่า, ลง, ผู้ต่ำกว่า พบในจารึกเขมรสมัยพระหลายหลัก เช่น จารึก K. 561 ใช้คำว่า "กุ กโรํ" แปลว่า "ทางผู้หญิงกโรม" (อาจหมายถึงผู้อยู่ทางใต้) จารึก K. 927 ใช้ "โละ กโรํ ตนลฺ" แปลว่า "ลุใต้ถนน"
2. หมายถึง ประเทศ, ดินแดน, เขต, ดิน, แผ่นดิน พบในจารึกเขมรโบราณหลายหลัก เช่น จารึก K.426 ใช้คำว่า "ทํริง กโรมฺ จํกา" แปลว่า "สวน เขต ไร่" จารึก K.904 ใช้คำว่า "โอย กโรํ ต มรตาญ" แปลว่า "ให้ที่ดินแก่มรตาญ" (ตำแหน่งขุนนางเขมรสมัยพระนคร) จารึก K.720 ใช้คำว่า “ทํนป...โตย กโรํ โผง” แปลวา “ทำนบ...โดยที่ดินผอง”
เอกสารประเภทตำนานกลุ่มชนในภาษาตระกูลไท-ไต เช่น ตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ เรียกชาวเมืองอุโมงคเสลาว่า กรอม หรือ กรอมดำ ส่วนตำนานสิงหนติกุมารเรียกกลุ่มชนเดียวกันว่า ขอม หรือ ขอมดำ ในเอกสารรุ่นหลังก็เขียนเพี้ยนจาก กรอม เป็น กล๋อม คนไตลื้อสิบสองปันนาเรียกว่า กะหลอม นอกจากนี้ยังมีเรียกเพี้ยนกันไปในภาษาต่างๆ เช่น ไทใหญ่ มูเซอ ยูนนาน แต่ในทางนิรุกติศาสตร์เป็นคำเดียวกัน (ไตลื้อรัวลิ้นเป็นตัว ร ไม่ได้ จึงออกเสียงเป็น ล)
กรอม กลายเป็น ขอม เนื่องจากชาวไท-ไตหลายกลุ่มออกเสียงควบกล้ำ ร ไม่ได้ จึงออกเสียงเป็น ฮ จึงทำให้เสียงควบ กร (kr) กลายเป็น ข (kh)
งานเขียนของบุญช่วย ศรีสวัสดิ์ ระบุว่าชาวไตลื้อในสิบสองปันนาอธิบายว่า กะหลอม หมายถึง "ชาวใต้ มาจากใต้ ตัดผมสั้น นุ่งผ้าโจงกระเบนทั้งหญิงและชาย เขาเรียกว่า กะหลอม แปลว่า ขอม" ชาวไตลื้อในเมืองยองเรียกเรียกชาวไทยสยามด้วยคำเดียวกัน
จากตำนานไท-ไตเหล่านี้พบว่า กรอม หรือ ขอม คือกลุ่มชนที่เคยครองครองดินแดนตั้งแต่ปากแม่น้ำโขงขึ้นไปถึงมณฑลยูนนาน จากน้ำตูในด้านตะวันตกของรัฐชาน ผ่านลุ่มแม่น้ำกกไปจนถึงแม่น้ำดำในเวียดนามเหนือ ซึ่งมีร่องรอยว่าได้อพยพจากใต้ขึ้นเหนือ เป็นกลุ่มชนที่เคยครองดินแดนในบริเวณนี้ก่อนชาวไตจะเข้ามา จิตร ภูมิศักดิ์ วิเคราะห์ว่าหมายถึงชาวฝูหนาน ซึ่งผิวดำ ผมหยิกแบบชนชาติในตระกูลโพลีนีเซียจากทะเลใต้ และเป็นกลุ่มเดียวกับ "นาค" ที่ลาวใต้ ซึ่งเป็นประชากรของเจินละ เป็นชนชาติตระกูลมอญ-เขมร
กรอม ในภาษามอญขียนว่า โกฺรม หรือ โกฺรํ ปรากฏในพงศาวดารกรุงสุธรรมวดี (สะเทิม) ว่าใน พ.ศ. 1599 รัชกาลพระเจ้าอุทินนะ ชาวกรอมยกทัพไปตีกรุงสุธรรมวดี
พงศาวดารพม่าฉบับหอแก้วระบุว่าในรัชกาลพระเจ้าอโนรธาก็ระบุไว้ตรงกันว่ามีพวก คฺยวน ยกทัพมาตีเมืองพะโค (มอญ) พม่ายกทัพไปช่วยและได้รับชัยชนะ ตรงกับจารึกพม่าที่สักกาลัมปะเจดีย์ตอนหนึ่งระบุว่า พระเจ้าอโนรธาทำสงครามกับ "คฺยวม" ใน ค.ศ. 1599
พงศาวดารพม่ายังอธิบายอาณาเขตในสมัยพระเจ้าอโนรธาไว้ว่า ทางตะวันออกเฉียงใต้จรดแดนของชาว คฺยวน หรือที่เรียกอีกอย่างว่า อรอซะ อีกแห่งหนึ่งจดอาณาเขตใน พ.ศ. 1632 เรียกดินแดนของชาว คฺยวน ว่า อโยชะ หมายถึง อโยชชะ อันเป็นภาษาบาลีของ อโยธยา
พงศาวดารพม่ากล่าวถึงการฉลองพระมหาธาตุชเวซิคนเมืองพุกาม โดยระบุว่ามีกษัตริย์ คฺยวน แห่งอโยธยา ไปเข้าร่วม
จิตรวิเคราะห์ว่า กรอม/คฺยวม/คฺยวน ในยุคนั้นหมายถึงคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตละโว้-อโยธยา ซึ่งพงศาวดารล้านช้างเรียกว่า ละโว้โยทิยา และตำนานไตทางเหนือเรียกว่า ลวะรัฐ
เพ็ญสุภา สุขคตะ และ อัครินทร์ พงษ์พันธ์เดชา เสนอว่า "อโยชฌา/อโยชฌปุระ" ในตำนานพระแก้วมรกต และตำนานพระสิกขีปฏิมาศิลาดำ ที่มีบันทึกว่าอยู่ทางเหนือ "ลวะปุระ" (ละโว้) อาจเป็นชื่อดั้งเดิมของเมืองโบราณศรีเทพที่น่าเชื่อว่าเป็นศูนย์กลางสำคัญของวัฒนธรรมทวารวดี
เหตุที่คำว่า กรอม ที่เคยเป็นคำในเรียกกลุ่มชนในสองฝั่งโขงตามตำนานไต กลายเป็นคำเรียกกลุ่มชนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จิตรสันนิษฐานไว้ว่าชนพื้นเมืองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาน่าจะเป็นชนกลุ่มเดียวกัน ถึงแม้ว่าภายหลังจะมีกลุ่มชนที่ใช้ภาษาไท-ไตลงมาอาศัยอยู่ผสมปนเปกับคนพื้นเมือง คนต่างถิ่นก็ยังคงเรียกดังเดิม ดังที่พบว่าในยุคหลังดินแดนแถบนี้กลายเป็นของกลุ่มชนที่เรียกตนเองว่าไทยแล้ว คนไตลื้อไทใหญ่ก็ยังคงเรียกคนในแถบนี้ว่า กะหลอม อยู่
ในภาษาลาวโบราณ พบว่า ขอม ใช้กว้างๆ ในแง่การอธิบายกลุ่มชนประเภท ข่า/เขมร ดังทางภาษาลาวปัจจุบันนิยมพ่วงว่า ข่า/ขอม
หลักฐานของล้านนาในพุทธศตวรรษที่ 21 ไม่พบการใช้งานคำว่า ขอม ตรงๆ แต่มีการเรียกดินแดนละโว้ว่า กัมโพช/กัมโพชา ตั้งแต่การกล่าวถึงเหตุการณ์ในพุทธศตวรรษที่ 16 ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าแปลมาจากภาษาพื้นเมืองคือ ขอม เนื่องจากในเอกสารภาษาบาลีของล้านนาโบราณใช้คำว่า กัมโพช = ขอม บ้างก็แปลเป็น เขม รวมถึงเรียกการนับปีแบบสิบสองนักษัตรของคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาว่า ขอม เช่นเดียวกับที่พบในจารึกสมัยสุโขทัย
จารึกของสุโขทัยกล่าวถึง ขอม อยู่หลายครั้ง ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าใช้เป็นคำเรียกคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาทางใต้ อาจรวมไปถึงวัฒนธรรมทะเลสาบเขมรซึ่งมีภาษาและช้ภาษาและวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน นับถือศาสนาพุทธมหายาน พบหลักฐานการนับปีแบบสิบสองนักษัตร ขอมจึงควรจะเป็นคำของกลุ่มชนที่ใช้ภาษาไท-ไตที่ใช้เรียกขานกลุ่มชนทางใต้ที่ใช้ภาษาและวัฒนธรรมแบบขอมและนับถือศาสนาพุทธมหายานอย่างกว้างๆ
เอกสารของชาวไทยสยาม ตั้งแต่สมัยอยุทธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เปลี่ยนมาเจาะจงความหมายของคำว่า "ขอม" หมายถึง "เขมร" เพียงความหมายเดียวเท่านั้น
ในทะเลสาบเขมรมีหลักฐานการเรียกกลุ่มประชากรว่า "เขมร" อยู่ในสมัยโบราณ ไม่เคยพบหลักฐานเรียกตนเองว่า "ขอม" เช่นเดียวกับที่ไม่พบหลักฐานว่ากลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า ขอม กรอม ฯลฯ จะเรียกตนเองด้วยชื่อดังกล่าว เพราะเป็นชื่อที่คนต่างถิ่นเป็นผู้เรียก
คำว่า เขมร ปรากฏครั้งแรกในศิลาจารึกสมัยก่อนพระนคร อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 คือศิลาจารึก Ka.64 พบที่บ้านเมลบ (เมลุบ) ตำบลโรกา อำเภอเปียเรียง จังหวัดไพรแวง ทางทิศตะวันออกของกรุงพนมเปญ ได้กล่าวถึง "กฺญํ อฺนกฺ เกฺมร"
คำว่า "เกฺมร (kmer)" ในภาษาเขมรโบราณสมัยก่อนพระนคร ตรงกับคำว่า "เขฺมร (khmer)" ในภาษาเขมรสมัยพระนคร เมื่อรวมความหมายของคำว่า "กฺญํ อฺนกฺ เกฺมร" จึงน้าจะแปลว่า "ข้ารับใช้(ที่เป็น)ชาวเขมร" แสดงว่าชาวเขมรเรียกตนเองว่า "เกฺมร" มาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 12 แล้ว
ต่อมามีวิวัฒนาการทางเสียง ทำให้เสียง ก (k) ในภาษาเขมรก่อนพระนคร กลายเป็น ข (kh) ในภาษาเขมรสมัยพระนคร
ในสมัยพระนครพบหลักฐานการเรียกกลุ่มชนชาว "เขฺมร" อย่างชัดเจน ปรากฏในศิลาจารึกปราสาทบันทายฉมาร์ (K.227) สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พุทธศตวรรษที่ 18 ที่ปราสาทบันทายฉมาร์ ตำบลถมอป๊วก เมืองเสียมราบ มีข้อความตอนหนึ่งว่า
"...บันทูลให้มีราชพิธี ณ เสด็จนำชาวเขมร (อฺนกเขฺมร) ทั้ง ๔ ผู้ซึ่งได้ทำการรบเพื่อรักษาความมั่นคง มีจำนวน ๗๔ ตำบลไปยังกัมพุชเทศ แล้วประสาทแก่นักสัญชักทั้งสองโอยนาม "อำเตง และสถาปนารูป"
จึงสันนิษฐานได้ว่าชาวกัมพูชาโบราณในสมัยพระนครเรียกประชากรของตนว่า "เขฺมร (khmer)" หรือ "อฺนก-เขฺมร" ซึ่งแปลว่า ชาวเขมร
ต่อมาสมัยหลังพระนครมีการเปลี่ยนแปลงทางภาษาทั้งระบบเสียงและพยัญชนะหรือสระ คำว่า "เขฺมร" ในภาษาเขมรโบราณจึงเปลี่ยนสระ "เ (e)" เป็นสระ "แ (ae)" และไม่ออกเสียงพยัญชนะท้าย "ร (r)" ภาษาเขมรหลังพระนครจึงออกเสียงว่า "แคฺมร์ (khmaer)" และเขียนว่า "แขฺมร" ส่วนคำว่า "เขมร" ที่ไทยเรียกเป็นคำที่รับมาจากสมัยพระนคร
เหตุที่คำว่า "ขอม" ในภาษาไทยสยามใช้กำจัดเรียกเฉพาะ "เขมร" เท่านั้น สันนิษฐานว่าเป็นผลจากการค้าทางทะเลกับจีนที่มากขึ้นทำให้มีการย้ายถิ่นฐานของกลุ่มคนที่ใช้ภาษาตระกูลไท-ไตลงมาตามลำน้ำเจ้าพระยา ภาษาและวัฒนธรรมไท-ไตเข้าได้ไปมีอิทธิพลในบริเวณรัฐฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาเช่นสุพรรณภูมิ ราชบุรี ลงใต้ไปถึงเพชรบุรี หรือนครศรีธรรมราช จากนั้นจึงได้เข้าไปมีอิทธิพลในรัฐทางฝั่งตะวันออกคือละโว้-อโยธยา ผสมผสานกับวัฒนธรรมมอญ-ขอมเดิม จนก่อเนิดกรุงศรีอยุทธยาที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลาง
เมื่อประชากรในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเปลี่ยนมาใช้ภาษาตระกูลไท-ไต จึงเปลี่ยนมาเรียกตนเองว่า ไท/ไทย แทน คำว่า "ขอม" จึงถูกเปลี่ยนมาเจาะจงเรียกเฉพาะชาวเขมร ดังปรากฏว่าหลักฐานไทยสมัยอยุทธยาและรัตนโกสินทร์ใช้คำว่า ขอม เจาะจงถึงเขมรโดยตลอด
ในความเห็นของผม อาจจะสรุปว่า "ขอม" เป็นคำที่คนต่างถิ่นเรียกกลุ่มชนอย่างรวมๆ โดยความหมายของ "ขอม" สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัย โดย "เขมร" ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของ "ขอม"
อ.ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม เคยให้ความเห็นไว้ว่า "ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับจิตรในลักษณะที่คำว่า “ขอม” นั้นมีความหมายทั้ง “กว้าง” และ “แคบ”
ที่ว่า “แคบ” นั้นหมายถึงการเน้นความสำคัญที่พวกเขมรเมืองพระนคร ทั้งนี้เพราะในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยามีข้อความที่กล่าวว่า “ขอมแปรพักตร์” เป็นสิ่งที่ยืนยันอยู่แล้ว
ส่วนในความหมายที่ “กว้าง” นั้น คำว่าขอมไม่จำกัดอยู่เฉพาะที่ประเทศกัมพูชา หากฟุ้งกระจายไปทั่ว รวมทั้งบ้านเมืองในเขตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย แต่ว่าการแพร่กระจายของชาวขอมนี้ไม่ได้เน้นในเรื่องการเป็นชนชาติ แต่หากเน้นในรูปของวัฒนธรรม และการที่กลุ่มชนในดินแดนที่เกี่ยวข้องกันมีสิ่งร่วมกันในทางวัฒนธรรมเป็นสำคัญ"
อีกตอนหนึ่งได้สันนิษฐานว่า "พวกขอมนั้นถ้ามองอย่างแคบๆ ก็หมายถึงชาวเขมรสมัยเมืองพระนครที่นับถือศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนาคติมหายาน แต่ในความหมายที่กว้างออกไปนั้นหมายรวมไปถึงกลุ่มชนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนที่นับถือพระพุทธศาสนาคติมหายานแบบเมืองพระนครที่พัฒนาขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เป็นต้นมา
ผู้ที่เรียกกลุ่มชนเหล่านี้ว่าขอมก็คือคนในรุ่นหลังที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแบบลังกาวงศ์นั่นเอง"
เราอาจต้องพิจารณาด้วยว่า ในบริบทสมัยโบราณยังไม่ได้แบ่งกลุ่มชาติพันธ์ุตามหลักพันธุศาสตร์ (Ethno-racial) หรือแยกเป็นสัญชาติตามแนวคิดรัฐชาติสมัยใหม่ (Ethno-national) แต่พิจารณาจากอัตลักษณ์ที่มีรวมกัน เช่น ภาษา วัฒนธรรม จารีตประเพณี ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คงอยู่ถาวรตามที่มีกฎหมายกำหนดเชื้อชาติและสัญชาติในปัจจุบัน แต่มีความเป็นพลวัต (dynamic) ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตามยุคสมัย ชาติพันธ์ุหนึ่งสามารถเคลื่อนย้ายไปอยู่ในผสมผสานกับชาติพันธุ์อื่น และสามารถถูกกลืนไปได้จนกลายเป็นกลุ่มชนหนึ่ง และนิยามขอบเขตการเรียกชนชาติอาจแตกต่างกันไปตามผู้เรียกแต่ละกลุ่มด้วย
ตัวอย่างเช่น กรุงศรีอยุทธยาไปทำสงครามตีเมืองพระนคร กวาดต้อนชาวขอม-เขมรเข้ามาในดินแดนของตนจำนวนมาก เมื่อคนกลุ่มนั้นตั้งรกรากอยู่นานอาจสามารถผสมกลมกลื่นกับชนพื้นเมืองจนความเป็นขอมนั้นสูญไป
การถามหาความหมายของ "ขอม" ในแง่ของเชื้อชาติทางพันธุกรรม คงจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะเมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ความหมายของ "ขอม" ก็เปลี่ยน ขอมในอดีตกับขอมยุคหลังไม่จำเป็นต้องมีเชื้อชาติเดียวกันหรือเป็นชนกลุ่มเดียวกัน เช่นเดียวกับคนไทย ลาว มอญ เขมร ฯลฯ ในปัจจุบันอาจไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกับคนในอดีตที่มีชื่อชนชาติเดียวกัน เพราะประชากรมีการผสมผสานและเคลื่อนย้ายไปมาตลอดครับ
ถ้าเรามองด้วยสายตาคนไตโบราณ ขอม (กรอม/กล๋อม) คือคนในลุ่มแม่น้ำโขงไปถึงรัฐชาน
ถ้าเรามองด้วยสายตาคนยุคสุโขทัย มอญพม่า ล้านนา ขอม (โกฺรม/คฺยวม/คฺยวน) อาจหมายถึงคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ลุ่มแม่น้ำป่าสัก สุโขทัยอาจรวมกลุ่มชนบริเวณทะเลสาบเขมรด้วย
ถ้าเรามองด้วยสายตาคนกัมพูชายุคพระนคร จะไม่รู้จัก ขอม เพราะไม่พบหลักฐาน พบแต่คำว่า เขมร
ถ้าเรามองด้วยสายตาคนสมัยอยุทธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ ขอม คือ เขมร
แสดงความคิดเห็น
สรุป ขอม คือใคร แล้วหายไปไหน หรือยังเหลืออยู่ แต่เปลี่ยนชื่อเรียก
.....จึงเกิดความสงสัยว่า ใครกันแน่คือขอม .....ถ้าหาก เขมรปัจจุบัน (คนที่อาศัยอยู่ในเขตประเทศแคมโบฯ) คือ ขอม ทำไมคนที่มีความสามารถขนาดที่สร้างนครวัดได้ ถึงไม่มีเมืองที่แข็งแกร่งหรือรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ...แต่กลับกลายเป็นอยุธยาที่สร้างเมืองขึ้นมา แล้วก็รวมสุโขทัย รวมละโว้ และขอมเก่าทั้งหมดไว้ได้ ...และถึงแม้ว่าจะโดนพม่าถล่มแบบราบคาบ อยุธยาก็ยังสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาอีก (ธนบุรี & กทม) รุ่งเรืองและทรงอิทธิพลหนักกว่าเดิมอีก .....
...ดูๆไปแล้ว กลุ่มคนที่อยู่ในเขตประเทศไทยในปัจจุบันซะอีกที่น่าจะเป็นขอมกลุ่มคนที่เคยยิ่งใหญ่ก่อนหน้านั้น มากกว่าคนที่อยู่ในเขมร ...เพราะก่อนขอมจะล่มสลาย ได้มีการเป็นผู้ปกครอง (เพราะชื่อกษัตริย์ที่เป็นผู้ปกครองเปลี่ยน...) ซึ่งอาจจะเป็นคนละกลุ่มกับคนที่สร้างนครวัด แล้วอยุธยาก็เกิดขึ้น แล้วอยุธยาก็ยกทัพไปบุก เหมือนกลับไปคิดบัญชีแค้น ....
หรือเป็นไปได้มั้ยครับว่า จะเป็นลักษณะเดียวกันกับ สหภาพโซเวียต ....ที่พอโซเวียตล่มสลายก็จะกลายเป็นประเทศต่างๆ แต่ main หลักใหญ่ๆคือรัสเซีย นอกนั้นก็ยิบย่อยเป็นยูเครน เป็นทาจิกิสถาน บลาๆ ...เช่นเดียวกัน พอขอมล่มสลายก็กลายเป็น ลพบุรี เพชรบูรณ์ นครราชสีมา อยุธยา สุโขทัย แต่บังเอิญอยุธยา รวบรวมพื้นที่และอิทธิพลส่วนใหญ่ไว้ได้ แล้วกลายเป็นไทยในปัจจุบัน ส่วนยิบย่อย คืออาณาจักรอื่นที่เหลือ แล้วก็เป็นแคมโบฯ เหมือนรัสเซียกับประเทศที่เคยเป็นโซเวียด
สรุป ขอม คือใคร แล้วหายไปไหน หรือยังเหลืออยู่แต่เปลี่ยนชื่อเรียก ....เพื่อนๆพี่ๆคิดเห็งอย่างไร ช่วยวิเคราะห์ และให้ความรู้ หรือแลกเปลี่ยนความเห็นหน่อยครับ