ฝรั่งมองคนจีนขาด ปรัชญา คุณธรรม ค่านิยม หลายพันปี ล้วนมีนัยแค่เชิงสัญลักษณ์ที่ไม่ได้มาจากตัวตนที่แท้จริง

“ทัศนคติที่ฝรั่งมองคนจีน”

มักจะเป็นที่ประจักษ์ว่า ชนชาติจีนเป็นพวกขยันขันแข็ง สู้ชีวิต ความผูกพันทางครอบครัวสูง

แล้วในสายตาของชนต่างชาติ โดยเฉพาะชาวตะวันตก เขามีทัศนคติต่อคนจีนอย่างไร

ลองอ่านและพิจารณาบทความนี้ด้วยดุลยพินิจของคุณเอง คุณอาจเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ย่อมขึ้นอยู่กับความเห็นของคุณ

บทความนี้แต่งขึ้นและเผยแพร่โดยดอกเตอร์ หลี่ ตง เซียง ศาสตราจารย์และนักวิเคราะห์ด้านรัฐศาสตร์ของประเทศจีน และต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความทั้งหมด

*************

เราชาวจีนมักจะรู้สึกว่า พวกเรามีความรักและความผูกพันกับครอบครัวมากที่สุดชนชาติหนึ่ง มันเป็นความภูมิใจของพวกเราทุกคน แต่ในสายตาพวกชาวตะวันตกแล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น

มีโอกาสนั่งคุยแลกเปลี่ยนทัศนะคติกับเพื่อนชาวออสเตรเลียเกี่ยวกับเรื่องของครอบครัว ไม่คิดว่าผมจะได้ยินคำวิจาณ์จากเพื่อนผมว่า "ขอพูดอะไรตรงๆแล้วคุณอย่าโกรธ ผมรู้สึกว่าแท้จริงแล้วพวกคุณที่เป็นคนจีนทั้งหลายไม่ได้รักครอบครัว พวกคุณไม่ได้ให้ความสำคัญกับครอบครัว แต่พวกคุณรักเงินทองมากกว่า"

ผมตกใจที่ได้ยินคำพูดแบบนี้

"ไม่ว่าจะอยู่ในออสเตรเลียหรือในเมืองจีนเอง คนจีนมักจะเป็นคนที่ขยันมาก เวลาอยู่ต่างประเทศ คนจีนก็มักสามารถหาเงินจนร่ำรวยกว่าคนท้องถิ่นเสียอีก แต่ผมกลับคิดว่าพวกคุณไม่ได้มีพรสวรรค์เรื่องค้าขายสักเท่าไหร่ แต่พวกคุณรู้จักประหยัด ยินยอมลดคุณภาพความเป็นอยู่เพื่อสะสมเงินทองให้ได้มากๆ พวกคุณไม่ค่อยนั่งดื่มตามผับ ไม่ยอมเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ แม้กระทั่งไม่ยอมหยุดทำงานในวันเสาร์อาทิตย์ เสื้อผ้าก็ไม่ได้พิถีพิถัน ผมยังเห็นกับตา พวกนักศึกษาจีนนำหม้อนำชามติดตัวมาจากเมืองจีน"

"พวกคุณทำงานแบบลืมวันลืมคืน เอาลูกหลานให้คนแก่ที่บ้านเลี้ยงดู แค่มากก็สนใจแต่ผลการเรียนของลูกๆ พวกคุณยุ่งจนแทบไม่เคยมีเวลาเล่นกับลูก วันตรุษวันสารทก็ไม่ยอมหยุดพัก"

"ถึงแม้ลูกหลานพวกคุณจะมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยมก็ตาม แต่พวกเขามักจะค่อนข้างผิดแปลกจากคนอื่น พวกเขารู้ว่าพ่อแม่ของพวกเขาสนใจแต่รายได้ของครอบครัว สนใจแต่ผลการเรียนของลูกๆ แต่ไม่ใช่ชีวิตที่มีความสุขมีสีสัน"

"ผมรู้ว่าคุณกำลังจะเถียงผม พวกคุณจะบอกว่าที่ทำทุกอย่างก็เพื่อลูกหลาน เพื่อพวกเขาจะได้มีเงินทองใช้ แต่ทุกๆรุ่นของคนจีนก็จะพูดว่าตนกำลังก่อร่างสร้างตัวเพื่อรุ่นต่อไป แล้วขอถามว่ารุ่นไหนถึงจะได้มีโอกาสใช้เงินใช้ทองพวกนี้สักที"

"พวกคุณอุทิศเต็มที่ให้กับการงาน สามีภรรยายอมเสียสละอยู่กันคนละเมืองหรือคนละประเทศ แต่ในความคิดเห็นของพวกเรา สามีภรรยาที่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันเกินสามเดือนไปแล้ว โดยหลักการอาจต้องคำนึงถึงเรื่องหย่าร้างกันแล้ว เพราะฉะนั้น เวลาที่พวกเราต้องเดินทางไปทำงานประจำยังต่างประเทศ เราต้องอพยพไปหมดทั้งครอบครัว หากลูกเมียไม่ยอมไปด้วย ผมก็คงต้องปฏิเสธงานชิ้นนั้นไป เพราะผมถือว่า ครอบครัวต้องสำคัญกว่างาน ตอนที่ผมอยู่เมืองจีน ได้ยินมาว่าคนรุ่นก่อนหน้านี้ สามีภรรยาแยกย้ายกันอยู่คนละที่เกือบทั้งชีวิตหรือเป็นเวลาหลายสิบปี ต้องรอจนกว่าถึงวันเกษียณหรือวันประสบความสำเร็จในเรื่องฐานะแล้ว ถึงจะได้มีโอกาสมาอยู่ด้วยกัน มันฟังดูโหดร้ายมาก ทำไมพวกคุณไม่ยอมทิ้งงานเพื่อครอบครัว เพราะคุณจะหางานใหม่ทำก็ได้ไม่ใช่เหรอ"

"ผมมีพนักงานชาวจีนเก่งๆในบริษัทผมที่นครเซี่ยงไฮ้ แต่พวกเขาไม่ใช่คนเซี่ยงไฮ้ ครอบครัวเลยต้องอยู่อีกที่ ทุกหนึ่งหรือสองเดือนจึงจะได้มีโอกาสเจอกันสักครั้ง ทำไมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เสียสละเรื่องหน้าที่การงาน มีชาวนาจีนเยอะแยะที่เดินทางเข้ามาขายแรงงานในเมือง ปีหนึ่งจะได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้งสองครั้ง ทุกคนบอกว่าที่ทำทั้งหมดก็เพื่อหาเงินให้ครอบครัว แต่วิธีการหาเงินแบบนี้ แม้จะได้เงินมากโข แต่ความหมายของชีวิตมันอยู่ที่ไหน"

"ในออสเตรเลีย โดยทั่วไปแล้วคนจีนส่วนใหญ่มีเงินมีทองมากกว่าคนท้องถิ่น แต่เชื่อเถอะ ไม่มีใครอิจฉาความเป็นอยู่ของพวกคุณ พวกเรารู้สึกว่าคุณเป็นแค่เครื่องยนต์สำหรับหาเงิน พวกคุณเป็นคนชอบหาเงิน แล้วก็แต่งแต้มสีสันครอบครัวให้ดูดีแค่เปลือกนอก"

"ลูกหลานพวกคุณ เรียนหนักกันทั้งนั้น เลยหาความสุขของชีวิตยามเด็กไม่เจอ วันๆต้องวิ่งวุ่นไปหาที่เรียนพิเศษเพิ่มเติม ก็หวังแค่ว่าเดี๋ยวเข้าเรียนชั้นมัธยมก็น่าจะสบายขึ้น ความจริงไม่ใช่แน่นอน เด็กๆไม่มีเวลาเล่น มีอะไรต่อมิอะไรให้เรียนเพิ่มเติมมากมาย พอเรียนจบมหาวิทยาลัย ก็ต้องวุ่นวายหางานทำ พอได้งานก็คงสบายจริงๆสักที แต่รอก่อน งานแต่งงานกำลังตามมา ต้องซื้อบ้าน มีลูก ภาระกิจที่ผูกพันไม่มีวันจบสิ้น"

ใจที่ว้าวุ่นไม่มีวันจบ ความเหนื่อยล้าที่ไม่มีวันลดละ มันวนเวียนไปเรื่อยๆ พวกเรามองแต่อนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพื่ออนาคต เพื่อวันพรุ่งนี้ ต้องสะสมทรัพย์สินเงินทองไว้ให้มาก ในที่สุดก็จะกลายเป็นเสียงบ่น เสียงต่อว่า สายตาพวกเราไม่เคยหยุดอยู่ที่ความเป็นอยู่ของวันนี้ ชีวิตทั้งชีวิต ไม่มีวันไหนอยู่เพื่อตัวเอง นี้คือชีวิตแท้ๆของหนึ่งชั่วอายุคนของคนจีนเกือบทุกคน

เขาเชื่อกันว่า
ชนชาติที่รู้จักเสพสุขที่สุดคือชาวอเมริกัน
ชนชาติที่เชื่อมั่นในศาสนาที่สุดคือชาวยุโรป
และชนชาติที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและแรงกดดันตั้งแต่เกิดจนตายคือชาวจีน

************

ขอย้ำเตือนอีกครั้งว่า จงอ่านบทความนี้ด้วยวิจารณญาณของคุณอย่างมีสติ
โดยส่วนตัวของผู้แปลมองว่า ภูมิหลังแต่ละประเทศย่อมมีความแตกต่างกัน มันก่อให้เกิดความตั้งใจ ความมุ่งมั่น และทัศนคติต่อการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมือนกัน และมุมมองหรือความมุ่งมั่นเหล่านั้น คงจะต้องเปลี่ยนไปแน่นอนตามสถานการณ์แต่ละยุคแต่ละสมัย

คำสอนของศาสนาพุทธที่สอนไว้ว่า
มัชฌิมาปฏิปทา หรือ ทางสายกลาง
น่าจะเป็นทางออกที่ควรแก่การพิจารณา สำหรับวิถีการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมอย่างไม่มีวันล้าสมัย

"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่