ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าผมเองไม่มีความอคติใด ๆ ต่อสื่อออนไลน์นะครับ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบเล่น Social Media เหมือนกับทุกคน (เป็นคนรุ่นใหม่ที่ทำงานสาย Tech ) ที่ชอบใช้สื่อเพื่อความบันเทิง แบ่งปันรูปภาพ คลิป วิดีโอ หรือพูดคุยกับเพื่อน ๆ แต่พอใช้งานมาเป็นสิบปี ความรู้สึกบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไป จากตอนแรกที่คิดว่า Social Media คือพื้นที่แห่งความสนุกสนานและการเชื่อมต่อ มันกลับทำให้ผมเริ่มตั้งคำถามว่า
"ใครที่ครองสื่อได้ คนนั้นจะครองโลกได้หรือเปล่า?"
ผมลองทบทวนดู ตัวอย่างเช่น...
ประเทศอินเดีย ผมไม่เคยไป แต่ในหัวกลับคิดว่า “สกปรก”
ประเทศจีน ผมไม่เคยไป แต่ก็รู้สึกว่ามัน “เป็นประเทศที่แย่”
รัสเซีย ผมก็ไม่เคยไป แต่ภาพจำที่ถูกส่งต่อมาคือ “ประเทศที่โหดร้ายและไม่น่าไว้ใจ”
คำถามคือ…ความคิดเหล่านี้มันมาจากไหน?
ผมไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง ไม่เคยสัมผัสวัฒนธรรมหรือชีวิตจริง ๆ ของคนในประเทศเหล่านั้น แต่สิ่งที่เข้ามาในหัวตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา คือ สิ่งที่ถูกป้อนมาทาง
Social Media และนี่อาจจะคือจุดที่เราต้องเริ่มระวัง
สื่อไม่ได้เป็นเพียงแค่ช่องทางบันเทิง แต่มันสามารถเป็นเครื่องมือในการปลุกปั่นและชี้นำทางการเมืองได้ด้วย
ลองคิดดูว่า…
ถ้า
Facebook เลือกปล่อยข่าวโจมตีฝ่ายการเมืองหนึ่งซ้ำ ๆ แต่ซ่อนข่าวอีกฝ่าย จะเกิดอะไรขึ้น?
ถ้า
Instagram ปรับอัลกอริทึมให้คอนเทนต์แนวรุนแรงหรือภาพที่บิดเบือนเป็นไวรัล จะทำให้ทัศนคติคนรุ่นใหม่ เปลี่ยนไปหรือไม่?
ถ้า
TikTok ปั่นคลิปสั้นให้เราเห็นแต่ภาพด้านลบของประเทศหนึ่ง จะทำให้คนรุ่นใหม่ “เกลียด” ชาตินั้นทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปจริงหรือไม่?
ถ้า
X ปล่อยให้กองทัพบอทปั่น Hashtag ขึ้นอันดับหนึ่ง คนจำนวนมากอาจเชื่อว่านั่นคือ “กระแสสังคมจริง” ทั้ง ๆ ที่มันถูกสร้างขึ้น
การชี้นำเชิงเศรษฐกิจก็สำคัญไม่แพ้กัน
สื่อสามารถกำหนดภาพลักษณ์ของสินค้า แบรนด์ หรือแม้แต่ทั้งประเทศ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของผู้บริโภค นักลงทุน และนโยบายการค้า ตัวอย่างรูปแบบการชี้นำเชิงเศรษฐกิจที่ควรตั้งคำถาม เช่น:
การปั่นข่าวเชิงบอยคอต ถ้าข่าวหรือบทความถูกออกแบบให้กล่าวถึงสินค้าจากชาติหนึ่งในเชิงลบอย่างต่อเนื่อง อาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจไม่ซื้อสินค้าเหล่านั้น ส่งผลให้ธุรกิจของชาตินั้นเสียหายทางเศรษฐกิจ
การทำ Branding ให้ชาติหรือสินค้าอื่นดูดีกว่า สื่ออาจโปรโมทหรือดันภาพลักษณ์ของสินค้าจากชาติหนึ่งให้เหนือกว่า (ผ่านการรีวิว เชียร์ หรือโฆษณาที่ไม่โปร่งใส) ทำให้ตลาดเปลี่ยนทิศทางไปสู่ฝ่ายเดียว
การปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทาน ข่าวลือว่าวัตถุดิบขาดแคลนหรือสินค้าจากชาติหนึ่งมีปัญหา คุณภาพต่ำ ฯลฯ อาจทำให้ผู้ซื้อหันไปหาคู่ค้ารายอื่นทันที
บทสรุปสุดท้ายคือ
มันก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะ
การรับข่าวสารเพียงด้านเดียวตลอดเวลา อาจทำให้มุมมองของเราต่อโลกบิดเบี้ยวโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น บทความนี้ไม่ใช่เพื่อกล่าวหาสื่อใด ๆ แต่เพื่อชวนให้คิดว่า…เรากำลังเสพสื่อด้วย “สายตาเรา” หรือ “สายตาที่ใครบางคนอยากให้เราเห็น”?
ใครครองสื่อ คนนั้นครองโลก จริงไหม?
"ใครที่ครองสื่อได้ คนนั้นจะครองโลกได้หรือเปล่า?"
ผมลองทบทวนดู ตัวอย่างเช่น...
ประเทศอินเดีย ผมไม่เคยไป แต่ในหัวกลับคิดว่า “สกปรก”
ประเทศจีน ผมไม่เคยไป แต่ก็รู้สึกว่ามัน “เป็นประเทศที่แย่”
รัสเซีย ผมก็ไม่เคยไป แต่ภาพจำที่ถูกส่งต่อมาคือ “ประเทศที่โหดร้ายและไม่น่าไว้ใจ”
คำถามคือ…ความคิดเหล่านี้มันมาจากไหน?
ผมไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง ไม่เคยสัมผัสวัฒนธรรมหรือชีวิตจริง ๆ ของคนในประเทศเหล่านั้น แต่สิ่งที่เข้ามาในหัวตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา คือ สิ่งที่ถูกป้อนมาทาง Social Media และนี่อาจจะคือจุดที่เราต้องเริ่มระวัง สื่อไม่ได้เป็นเพียงแค่ช่องทางบันเทิง แต่มันสามารถเป็นเครื่องมือในการปลุกปั่นและชี้นำทางการเมืองได้ด้วย
ลองคิดดูว่า…
ถ้า Facebook เลือกปล่อยข่าวโจมตีฝ่ายการเมืองหนึ่งซ้ำ ๆ แต่ซ่อนข่าวอีกฝ่าย จะเกิดอะไรขึ้น?
ถ้า Instagram ปรับอัลกอริทึมให้คอนเทนต์แนวรุนแรงหรือภาพที่บิดเบือนเป็นไวรัล จะทำให้ทัศนคติคนรุ่นใหม่ เปลี่ยนไปหรือไม่?
ถ้า TikTok ปั่นคลิปสั้นให้เราเห็นแต่ภาพด้านลบของประเทศหนึ่ง จะทำให้คนรุ่นใหม่ “เกลียด” ชาตินั้นทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปจริงหรือไม่?
ถ้า X ปล่อยให้กองทัพบอทปั่น Hashtag ขึ้นอันดับหนึ่ง คนจำนวนมากอาจเชื่อว่านั่นคือ “กระแสสังคมจริง” ทั้ง ๆ ที่มันถูกสร้างขึ้น
การชี้นำเชิงเศรษฐกิจก็สำคัญไม่แพ้กัน
สื่อสามารถกำหนดภาพลักษณ์ของสินค้า แบรนด์ หรือแม้แต่ทั้งประเทศ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของผู้บริโภค นักลงทุน และนโยบายการค้า ตัวอย่างรูปแบบการชี้นำเชิงเศรษฐกิจที่ควรตั้งคำถาม เช่น:
การปั่นข่าวเชิงบอยคอต ถ้าข่าวหรือบทความถูกออกแบบให้กล่าวถึงสินค้าจากชาติหนึ่งในเชิงลบอย่างต่อเนื่อง อาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจไม่ซื้อสินค้าเหล่านั้น ส่งผลให้ธุรกิจของชาตินั้นเสียหายทางเศรษฐกิจ
การทำ Branding ให้ชาติหรือสินค้าอื่นดูดีกว่า สื่ออาจโปรโมทหรือดันภาพลักษณ์ของสินค้าจากชาติหนึ่งให้เหนือกว่า (ผ่านการรีวิว เชียร์ หรือโฆษณาที่ไม่โปร่งใส) ทำให้ตลาดเปลี่ยนทิศทางไปสู่ฝ่ายเดียว
การปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทาน ข่าวลือว่าวัตถุดิบขาดแคลนหรือสินค้าจากชาติหนึ่งมีปัญหา คุณภาพต่ำ ฯลฯ อาจทำให้ผู้ซื้อหันไปหาคู่ค้ารายอื่นทันที
บทสรุปสุดท้ายคือ
มันก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะ การรับข่าวสารเพียงด้านเดียวตลอดเวลา อาจทำให้มุมมองของเราต่อโลกบิดเบี้ยวโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น บทความนี้ไม่ใช่เพื่อกล่าวหาสื่อใด ๆ แต่เพื่อชวนให้คิดว่า…เรากำลังเสพสื่อด้วย “สายตาเรา” หรือ “สายตาที่ใครบางคนอยากให้เราเห็น”?