คู่เล่ห์เคียงรัก ตอนที่ 14

กระทู้สนทนา
วันรุ่งขึ้น ผู้จัดการรีสอร์ทพาพนักงานสาวคนเดิมมาเยี่ยมแต่เช้าพร้อมของชำร่วยโรงแรมแทนคำขอบคุณ สรุปว่ามีคนเจอแหวนเมลิซ่าตกอยู่ริมทางเดินหน้าห้อง ดูเหมือนตอนแรกราฟาเอลจะถอดเสื้อวางบนโต๊ะเครื่องแป้ง พอเสร็จธุระกับแทนไท อารามรีบร้อนจึงคว้ารวบออกจากห้อง แหวนคงติดไปกับเสื้อแล้วหล่นแถวนั้นเอง

ผู้จัดการรายงานว่าเมลิซ่าเก็บกระเป๋าออกจากเกาะพร้อมเรือเที่ยวแรกของวัน ส่วนแทนไทก็แจ้งความประสงค์ขอเช็กเอาท์เช่นกัน แต่น่าจะไปเรือคนละเที่ยวกับเมลิซ่า เนื่องจากต้องอยู่สะสางค่าเสียหายภายในห้องพักหลังอดีตแฟนสาวอาละวาดให้เรียบร้อย ซึ่งจากสีหน้าอิหลักอิเหลื่อของคนพูด...ดูท่าจะเละเทะไม่เบา

ธีร์วราแอบโล่งอก ด้วยจากรูปการณ์เมลิซ่าคงไม่เหลือความคิดตามรังควานหล่อนแล้ว ส่วนแทนไทอาจเจ็บใจที่โดนเปิดโปง แต่เขาย่อมไม่อยากให้ความลับเรื่องเสพยาและชอบเพศเดียวกันรู้ถึงหูญาติในไทย คงจะรีบหนีกลับเมืองนอกเสียแหละมาก

ทุกอย่างราบรื่นจนถึงเช้าวันที่ต้องกลับบ้าน ระหว่างกินข้าวมื้อสุดท้ายในห้องอาหารบนเกาะ ปานเรขาก็ได้รับโทรศัพท์จากมารดา แจ้งว่าจะมารอที่ท่าเรือบนแผ่นดินใหญ่เพื่อรับปานเรขากลับต่างจังหวัดด้วยกันจนกว่าจะเปิดเทอม ซึ่งก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน

พออาสาวทราบจึงว่า “แม่เขาคงคิดถึงป่านน่ะ ปิดเทอมแทบไม่เจอกันเลยนี่ ไปอยู่กับแม่หน่อยก็ดี”

ปานเรขายิ้มแหย รับคำเสียงอ่อย ธีร์วราค่อยหันไปพูดกับพวกผู้ชาย “แบบนี้ฉันก็ขอแยกตัวกลับเครื่องบินดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะติดต่อฟรอนต์ให้ช่วยจองตั๋ว”

ขามาพวกหล่อนสี่คนนั่งรถของสุเมธด้วยกัน เพราะธีร์วราไม่เก่งพอขับออกต่างจังหวัดคนเดียว เคยคิดจะเดินทางด้วยเครื่องบินแต่ปานเรขาอยากนั่งรถกับพฤกษ์ สุดท้ายหล่อนแพ้ลูกอ้อนหลานสาว จำต้องทิ้งรถไว้ตรงลานจอดระยะยาวย่านชานเมือง หน้าตึงรอสุเมธมารับไปด้วยกัน

“อาแก้วไม่กลับกะพวกผมแล้วหรือครับ”

พฤกษ์ท้วงอย่างสับสนจนธีร์วราเผลอเหลือบมองไปทางสุเมธ และดันสบตาพอดีราวกับเขาเฝ้ามองหล่อนอยู่แล้ว แววตาเรียบเฉยทว่าสะกิดหัวใจปวดแปลบ ช่วงหลังสุเมธทำแบบนี้บ่อย...ใช่ ทำบ่อยหลังจากคืนนั้นที่ริมทะเล

หากเป็นเมื่อสักเดือนก่อน ถ้ามีใครบอกว่าประธานฯ หนุ่มจะอยากสานไมตรีกับหล่อน ธีร์วราคงมองเป็นเรื่องตลกขนานใหญ่ ทว่าเวลานี้กลับหัวเราะไม่ออก ได้แต่เบือนหน้าหนีขณะพยายามตอบคำถามพฤกษ์

“อาเกรงใจน่ะ ไม่อยากให้คุณเมธขับอ้อมไปมา”

เด็กหนุ่มตั้งท่าจะค้านแต่ถูกอาผู้ชายตบบ่าแล้วชิงพูด “จะว่าไปพ่อแม่เราก็ถามถึงเหมือนกันนี่ ไหนๆ ก็เหลือกันแค่สองคน งั้นอาแวะส่งเราค้างบ้านแม่จนเปิดเทอมแล้วกัน”

พฤกษ์เห็นด้วยจึงเลิกตื๊อธีร์วรา เปลี่ยนไปโทรศัพท์แจ้งข่าวกับที่บ้านแทน หลังกินข้าวเสร็จธีร์วราแวะที่ฟรอนต์ให้ช่วยจองตั๋วเครื่องบิน แต่ผลปรากฎว่าเต็มทุกรอบ

“วันอาทิตย์ฤดูท่องเที่ยวก็อย่างนี้แหละค่ะ คนเฮละโลกลับบ้าน” พนักงานโรงแรมชี้แจง “ลองรถโดยสารไหมครับ”

แต่โชคร้ายรถโดยสารที่ใช้งานเกิดเสียหนึ่งคันเมื่อคืน คิวรถจึงรวนไปหมด ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าแค่ผู้โดยสารที่ตกค้างและที่จองตั๋วไว้ก็รับกลับไม่ทันแล้ว สุเมธจึงว่า

“เปลี่ยนแผน ผมส่งพฤกษ์เสร็จก็ขับไปส่งคุณแก้วเหมือนเดิมแล้วกัน”

“เอ้อ แต่...”

“ยังไงคุณก็ต้องกลับกรุงเทพฯ ภายในคืนนี้ไม่ใช่เหรอ พักมาเป็นอาทิตย์งานคงสุมเต็มโต๊ะ”

ธีร์วรากลอกตา ลืมไปเลยว่าคนคนนี้รู้ใจหล่อนดีขนาดไหน เขาจึงเลิกคิ้วพูดต่อ

“หรือคุณอยากอู้อีกสักวัน ไว้เป็นข้ออ้างตอนลายหงส์แพ้อมราคราวหน้า”

“อย่าดีกว่าค่ะ ขืนฉันอู้แล้วคู่แข่งยังแพ้ราบคาบ ใครคนนั้นคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน”

ปานเรขาหัวเราะทันที “แหม พอกลับกรุงเทพฯ คงไม่เจอฉากต่อปากต่อคำแบบนี้แล้ว คิดถึงเหมือนกันนะคะ”

คู่ Cool Couple มองหน้ากันก่อนหลุดขำเบาๆ บรรยากาศเริ่มคลี่คลายขึ้น จะว่าไปนอกจากสายตาแปลกๆ นั่นอย่างอื่นสุเมธก็เหมือนเดิมทุกอย่าง แค่นั่งรถด้วยกันอีกไม่กี่ชั่วโมงมันจะอะไรนักหนา ธีร์วราคิดแล้วจึงตอบตกลงตามแผนเขา

*****
ราวสามชั่วโมงถัดมาเรือที่ออกจากเกาะก็เทียบท่าบนฝั่ง ธีร์วราพาปานเรขาไปรับหน้ามารดาโดยไร้พิรุธ ก่อนกลับมาสมทบกับพวกสุเมธอีกครั้ง

ระหว่างเดินทางพฤกษ์เล่าว่าสุเมธซื้อบ้านที่ต่างจังหวัดไว้หลังหนึ่ง มีครอบครัวของพฤกษ์อาศัยอยู่เพื่อคอยดูแลมารดาเขา ความจริงแล้วสุเมธเคยคิดพามารดาไปอยู่ด้วยที่กรุงเทพฯ แต่ติดขัดตรงที่...

“แม่ผมเป็นนักร้องตามร้านอาหารเลี้ยงผมจนโต” สุเมธอธิบายขณะขับรถ “พอแก่ร้านเขาเลยเลิกจ้าง ก็ไม่มีปัญหาเพราะผมเลี้ยงดูแม่ได้อยู่แล้ว แต่แม่รักอาชีพนี้มาก ไม่ได้ร้องเพลงก็ซึมจนน่าใจหาย ผมไม่รู้ทำไงเลยซื้อร้านอาหารไว้ให้แม่ร้องเพลง ลูกค้าเดิมๆ เขายังรับได้มากินกันต่อ ถ้าเป็นกรุงเทพฯ คงทำแบบนี้ไม่ได้”

หล่อนทำหน้าเหมือนสุเมธกำลังบอกว่าเขาตีลังกาเดินต่างเท้า พฤกษ์จึงช่วยยืนยันมาจากเบาะหลัง

“เรื่องจริงนะครับ พอย่าชมนาดได้กลับมาร้องเพลงเท่านั้นล่ะ กระปรี้กระเปร่าผิดหูผิดตา แต่พวกเราให้ร้องแค่สี่ห้าเพลงช่วงหัวค่ำพอ เดี๋ยวแกจะเหนื่อยเกิน”
“ถ้าแค่ร้องเพลง จัดชุดคาราโอเกะที่บ้านก็ได้นี่คะ”

“ย่าบอกไม่ได้ฟิลลิ่งครับ” พฤกษ์เดาะใช้ภาษาอังกฤษ “แกว่าถ้าไม่มีคนฟังเยอะๆ แกร้องไม่ออก อาเมธเลยยอมแพ้ไปเจรจากับเจ้าของร้านซื้อหุ้นครึ่งหนึ่งโดยให้สิทธิเขาบริหารเหมือนเดิม แลกกับย่าชมนาดมีที่ร้องเพลงใกล้บ้านทุกคืน”

“ไม่ลองคุยแบบเดียวกันกับร้านอาหารในกรุงเทพฯ ละคะ”

“ร้านอาหารในกรุงถ้าไม่เจ๊งง่ายก็เปลี่ยนมือบ่อยจะตาย เผลอๆ ต้องคุยขอร้องเจ้าของคนใหม่ทุกเดือน” สุเมธตอบ “หรือถ้าเป็นร้านเก่าแก่มั่นคงใครเขาจะยอมปล่อยแม่ร้องเพลง อีกอย่างผมกลัวลูกค้าขาจรที่ไม่เข้าใจบ่นใส่แม่บนเวที แต่ถ้าเป็นบ้านเดิมทุกคนรู้จักกันหมด เจ้าถิ่นเขาจะช่วยปรามพวกขาจรไม่ให้ซ่าเกินไป ทุกอย่างลงตัวจนแม่ไม่อยากย้ายไปอยู่กับผมแล้ว โชคดีมีครอบครัวเจ้าพฤกษ์คอยดูแลที่นี่”

“พูดอะไรอย่างนั้น พวกผมต่างหากได้อาเมธช่วยเหลือมาตลอด ไม่งั้นป่านนี้อย่าว่าแต่นั่งเรียนสบายเลยๆ ต้องไปกัดก้อนเกลือกินข้างทางซะละมาก” หันไปเล่าให้ธีร์วราฟัง “เพื่อนพ่อเขาหนีหนี้ที่พ่อเป็นคนค้ำประกันครับ เงินหลายล้านอาเมธจ่ายให้หมด แล้วยังส่งพวกผมสามพี่น้องเรียนหนังสือ ช่วยค่ากินค่าอยู่ บุญคุณท่วมหัวเลยครับ ผมถึงตั้งใจว่าเรียนจบต้องรีบหาเงินใช้คืนให้เร็วที่สุด”

“บุญคุณอะไรวะพฤกษ์ สมัยก่อนอากับแม่ลำบากก็มีแต่พ่อแม่เราช่วยเหลือ แล้วพวกแกเป็นหลานนะ เห็นหลานเรียนสูงๆ อาก็ชื่นใจ”

ธีร์วราพอเดาออกว่าสมัยเด็กสุเมธอัตคัดแค่ไหน และสงสัยที่เขาไม่เอ่ยถึงบิดาสักนิด กระทั่งในรายงานของนักสืบซึ่งหล่อนเคยจ้างยังไม่มีประวัติส่วนนี้ แต่ถ้าเขาไม่เล่าหล่อนก็ไม่คิดจะซัก

เกือบสองชั่วโมงรถค่อยมาจอดหน้าบ้านไม้สองชั้น รูปทรงสมัยเก่าแต่ทาสีทับจนสดใส พอกดออดตรงรั้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเปิดประตูบ้าน พฤกษ์รีบยกมือไหว้

“หวัดดีครับแม่”

จรุงจิตเป็นผู้หญิงร่างเล็กจนน่าแปลกใจที่คลอดพฤกษ์ออกมาตัวเบ้อเร่อ หล่อนตรงเข้ากอดบุตรชายก่อนมองเลยมายังสุเมธ “ไงเมธ น้าชมนาดบ่นถึงน่ะ"

“มารายงานตัวแล้วครูจุง ส่วนนี่แก้วเพื่อนผมครับ”

ธีร์วรายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ เอ้อ...ครูจุงหรือคะ”

“อ๋อ ฉันเคยเป็นครูสอนวีเขาสมัยมัธยมจ้ะ จะเรียกยังไงก็ตามสะดวกนะ หนูเป็นเพื่อนเมธนี่นา”

ธีร์วราลูบริมฝีปากขณะเอ่ย “งั้น เอ่อ ในฐานะเพื่อนของเมธ ขออนุญาตเรียกครูจุงด้วยคนนะคะ”

จรุงจิตยิ้มรับพลางเดินกอดลูกเข้าบ้าน ส่วนสุเมธก็กระซิบกับหล่อน “คุณเอามือบังปากตอนพูดนะ...กำลังโกหกอยู่ใช่ไหม”

“หรือจะให้บอกความจริงว่าสถานะฉันมันไกลจากคำว่าเพื่อนคุณเป็นคนละโยชน์เลยล่ะคะ”

แทนที่จะต่อปากต่อคำเหมือนเคย สุเมธกลับมองหล่อนด้วยแววตาแปลกๆ นั่นอีกแล้ว ธีร์วรานึกเก้อจึงรีบหนีเข้าบ้านตามหลังจรุงจิต แต่พริบตาชายหนุ่มก็ตามทันแล้วจงใจรั้งฝีเท้าเดินคู่ ขณะที่พูดกับน้าสะใภ้ว่า

“แม่อยู่ในห้องนั่งเล่นหรือครับ”

“จ้ะ พอเมธบอกจะกลับบ้านก็ตั้งหน้าตั้งตารอ แหม...ปกติเมธมาที่นี่อาทิตย์ละสองสามครั้งประจำ แต่ช่วงหลังติดงานหายหน้าเกือบสองเดือน น้าชมนาดคงคิดถึง”

ธีร์วราเผลอคำนวณอย่างรวดเร็ว สองเดือนก่อนน่าจะเป็นตอนที่อมรากำลังวางแผนสั่งสอนน้องชายหล่อน หลังจากนั้น Cool Couple ก็เริ่มขายดีอย่างกะทันหัน สุเมธคงวุ่นวายจนแทบไม่มีเวลาหายใจ อย่าว่าแต่กลับมาเยี่ยมมารดาสักครั้ง

แม้จะไม่ควร ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้อยู่ดี

พวกหล่อนเดินมาทางด้านหลังบ้านถึงส่วนห้องนั่งเล่น ซึ่งเปิดประตูกว้างสู่สวนหย่อมเล็กๆ หญิงวัยใกล้เกษียนนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้เอนหลังเบาะนุ่ม สุเมธรีบก้าวไปคุกเข่าข้างมารดา เกาะตักหล่อนเอ่ยว่า

“มาแล้วครับแม่”

ชมนาดยกมือลูบทั่วหน้าบุตรชาย ฝ่ายนั้นจึงดึงมือมาจูบเบาๆ เล่นเอาหล่อนยิ้มแก้มปริ “ผอมไปหรือเปล่า ดูสิดู พอแม่ไม่คอยเตือนหน่อยก็ลืมกินข้าวเรื่อย นี่...ครูจุงไปซื้อขนมชั้นจากตลาดแล้วหรือยัง ตาเมธชอบกิน”

“เดี๋ยวจะให้พฤกษ์ขับมอ’ ไซค์พาไปนี่แหละค่ะ” จรุงจิตผายมือทางธีร์วรา “เมธพาเพื่อนมาด้วยนะคะ”

ธีร์วรายกมือไหว้ เดินไปคุกเข่าข้างสุเมธ “สวัสดีค่ะน้าชมนาด หนูแก้วค่ะ เอ้อ...เป็นเพื่อนกับเมธเขา”

หญิงสาวตัดสินใจเลิกใช้คำนำหน้าชายหนุ่มว่าคุณ เพราะถ้ารับสมอ้างเป็นเพื่อนกันคงผิดสังเกต ระหว่างนั้นค่อยลุกขึ้นนั่งตรงโซฟาข้างชมนาดตามอย่างสุเมธ ด้านพฤกษ์พอทักทายญาติผู้ใหญ่เสร็จก็ขอตัวไปหากุญแจรถจักรยานยนต์ สวนทางกับจรุงจิตผู้เดินยกน้ำมาให้แขก

ชมนาดมีโครงหน้าเรียวยาวที่ยังเหลือเค้าความสะสวย ผมดัดลอนใหญ่รวบปัดด้านข้างเผยตีนกาตรงหางตาและหน้าผากที่เริ่มเป็นเส้นชัด หล่อนมองธีร์วราครู่ใหญ่ค่อยยิ้มจางๆ

“นอกจากตาครามก็มีหนูนี่แหละเพื่อนที่เมธพามาบ้าน ชื่อแก้วหรือจ๊ะ ตาเมธไม่ยักกะเคยพูดถึง เอ๊ะ...หรือแม่ลืมเอง”

ถ้าสุเมธเคยเอ่ยถึงหล่อนมาก่อนก็คงมหัศจรรย์เกินไปแล้ว “เราเพิ่งสนิทกันไม่นานน่ะค่ะ”

“อ๋อ เพิ่งสนิทแต่ตาเมธก็พามาบ้านแล้วนี่เนอะ” ผู้สูงวัยหลิ่วตาใส่ลูกชาย สุเมธทำเฉยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ส่วนธีร์วรามัวพะวงเกรงจะหลุดความจริงจึงไม่ทันสังเกตความใด เอาแต่พูดว่า

“ก่อนจะสนิทเราก็เคยเห็นหน้าอยู่บ้างนะคะ เพราะ...แบบทำงานแวดวงเดียวกันน่ะค่ะ” หญิงสาวภาวนาอย่าให้อีกฝ่ายซักไซ้มากไปกว่านี้ ด้วยไม่อยากมุสาต่อหน้าผู้ใหญ่!

โชคดีสุเมธช่วยตัดบทสนทนาทั้งที่กำลังกลั้นยิ้ม “ครูจุงรีบไปเถอะเดี๋ยวซื้อของไม่ทัน แต่พวกผมคงไม่กินข้าวเย็นนะ เพราะเปลี่ยนแผนต้องพาคะ...” เขาเกือบหลุดปากว่าคุณตามความเคยชิน “...แก้วกลับกรุงเทพฯ เดี๋ยวจะมืดซะก่อน”

ชมนาดหน้าเจื่อนลงทันที ด้านจรุงจิตก็ร้องขึ้น “นึกว่าจะค้างเหมือนเคย ไม่ได้หรอกรึ เมธไม่มาตั้งนานแม่เขาคิดถึง อย่างน้อยน่าจะไปกินข้าวที่ร้านดูแม่ร้องเพลงหน่อย”

“ไม่ต้องๆ” ชมนาดรีบโบกมือปฏิเสธ “เมธมีธุระอย่ากวนเขา ฉันไม่อยากให้ลูกเหนื่อย”

สุเมธทำท่าราวกำลังแบกโลกไว้ทั้งใบ โน้มตัวสวมกอดมารดากระซิบขอโทษขอโพย ธีร์วราแอบเบือนหน้าหนี ย้ำซ้ำๆ ว่าไม่เกี่ยวกับหล่อน แค่ทำตัวสนิทสนมกับศัตรูมาหลายวันนี่ก็เกินเส้นไปมากแล้ว ขออีกไม่กี่ชั่วโมงหล่อนก็จะหลุดพ้นเสียที
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่